บทที่ 707 ราชาม้าเฮยเฟิง
ใต้เท้ารองจิ่งเข้าไปหาของกินในครัว ได้มาทั้งเมล็ดธัญพืช ไก่พะโล้ เนื้อแห้ง จากนั้นเข้านำของกินเหล่านี้จัดแจงใส่จานแล้วยกเข้าไปในห้องให้พี่ใหญ่ของตัวเอง
พอเขาเข้าไป ก็เจอกับภาพที่พี่ใหญ่กำลังสนทนาอยู่กับพ่อหนุ่มคนนี้
อันที่จริงพี่ใหญ่ของเขาไม่ใช่คนชอบเสวนานัก และนั่นทำให้เขารู้สึกแปลกใจไม่น้อย
กู้เจียวนวดให้กั๋วกงเสร็จแล้ว แต่นางก็ยังคงนั่งเป็นเพื่อนเขาอยู่ที่เดิม
ภาพที่เห็นช่างดูอบอุ่นอย่างน่าประหลาดใจ จนตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนนอกไปโดยปริยาย
ใต้เท้ารองจิ่งลังเลอยู่สามวิ ก่อนตัดสินใจเดินเข้าไปบอกกับกู้เจียว “เจ้าอย่านั่งตรงนี้ พี่ใหญ่เขาไม่ชอบให้ใครเข้าใกล้”
อันกั๋วกง “…”
อยากจะเขกกะโหลกเจ้าน้องชายตัวดีมันตอนนี้เลยจะได้ไหม
หลังจากที่ฮูหยินใหญ่ของเหล่ากั๋วกงจากไป เหล่ากั๋วกงก็ได้แต่งงานกับแม่เลี้ยงซึ่งเป็นคนที่เรียบร้อยและวางตัวดี นางดูแลเขาเป็นอย่างดี ครั้งหนึ่งเขาเคยบอกกับแม่เลี้ยงว่าอยากมีน้อง แม่เลี้ยงก็ได้ให้กำเนิดลูกน้อยออกมาสองคน หนึ่งในนั้นก็คือใต้เท้ารองจิ่ง
อันกั๋วกงเริ่มนึกเสียดายขึ้นมาแล้วตอนนี้ เขาไม่น่าขอแบบนั้นแต่แรกเลย
พอฝนหยุดตก ถึงเวลาที่กู้เจียวต้องกลับ
แววตาของกั๋วกงเผยความอาลัยอาวรณ์ ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาถึงอยากให้นางอยู่เคียงข้างเขา
เขาเบือนหน้าลงพร้อมกับเคาะนิ้วลงไปบนที่วางแขนหลายครั้ง
กู้เจียวมองปลายนิ้วของเขาแล้วตอบกลับ “ไม่ได้หรอกท่าน นี่ก็มืดแล้ว ประเดี๋ยวประตูเมืองก็จะปิดแล้ว”
ใต้เท้ารองจิ่งทำหน้าเหวอ “พี่ใหญ่พูดกับเจ้ารึ” ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย
“ใช่แล้ว” จากนั้นกู้เจียวก็ชี้ไปที่นิ้วมือของกั๋วกง
ใต้เท้ารองจิ่ง “…”
อย่ามาหลอกกันหน่อยเลย
ใต้เท้ารองจิ่งคิดว่ากู้เจียวคงกำลังล้อเขาเล่นอยู่ เขากับพี่ใหญ่ออกจะรู้ใจกันขนาดนี้ ไม่เห็นจะฟังรู้เรื่องเลยว่าพี่ใหญ่กำลังพูดอะไร แล้วนับประสาอะไรกับคนนอกอย่างกู้เจียว
เขาไม่ได้แสดงท่าทีเหนี่ยวรั้งใดๆ ตอนที่กู้เจียวบอกว่าต้องกลับ ทว่าก็เจอกับสายตาอำมหิตของพี่ใหญ่ เขาเลยต้องกุลีกุจอไปหยิบของว่างมาจากห้องครัวแล้วยื่นให้นาง “เอาไปกินระหว่างทางนะ”
“ไม่เป็นไรขอรับ” กู้เจียวตอบ
“เอาไปเถอะน่า” ไต้เท้ายืนยันอีกครั้ง
กู้เจียวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเลือกหยิบเนื้อแผ่น
ใต้เท้ารองจิ่งเห็นดังนั้นก็โพล่งขึ้น “เอ๋ เจ้าก็ชอบกินเนื้อแห้งรึ”
“ท่านชอบกินรึ” กู้เจียวถามเขา
เขาส่ายศีรษะ “ข้าไม่ได้ชอบ พี่ใหญ่ของข้าต่างหากที่ชอบ”
กู้เจียว “อ้อ”
ใต้เท้ารองจิ่งเป็นคนปากไม่ตรงกับใจ แม้เขาจะทำเป็นพูดจาสารพัดรังเกียจอีกฝ่าย แต่จู่ๆ ก็เกิดมีน้ำใจขึ้นมากะทันหันในยามจำเป็น เขาหยิบเนื้อแห้งทั้งหมดที่มีห่อใส่กระดาษแล้วยื่นให้กู้เจียว “เอาไปกินระหว่างทางนะ”
กู้เจียวฉีกเนื้อแผ่นครึ่งหนึ่งแล้วยื่นให้กั๋วกง
แม้ใต้เท้ารองจิ่งจะบอกว่าในครัวยังมีเหลืออยู่เดี๋ยวเขาจัดการป้อนพี่ใหญ่เองก็ตาม
แต่พี่ใหญ่กลับใช้นิ้วของเขากดลงไปบนเนื้อแผ่นราวกับไม่ยอมให้ใครคว้าไปได้
จู่ๆ ใต้เท้ารองจิ่งก็เริ่มรู้สึกเหมือนเห็นพี่ใหญ่ของเขากำลังยิ้มอยู่อย่างไรอย่างนั้น
เป็นรอยยิ้มของความเบิกบานใจราวกับญาติผู้ใหญ่เวลามีลูกหลานมาเยี่ยม
ใต้เท้ารองจิ่งเอามือกุมอก “ข้าต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ ”
เด็กคนนี้ทำให้เขานึกถึงพี่เขยใหญ่และยินยินในคราวเดียว เขาเริ่มสงสัยตัวเองอย่างจริงจังแล้วว่าช่วงนี้ไปรับของอะไรมา คงต้องขอให้ภรรยาพาไปวัดจุดธูปปัดเป่าวิญญาณชั่วร้ายแล้วสินะ
กู้เจียวเดินไปที่คอกม้า
แผลของเจ้าราชาม้าเฮยเฟิงเริ่มดีขึ้นหลังจากได้หมอมาดูแล ทว่าสภาพจิตใจของมันดูเหมือนจะยังไม่ดีขึ้น
กู้เจียวตัดสินใจพามันกลับไปที่เรือนก่อน
ใต้เท้ารองจิ่งเดินมาหานาง “เจ้าต้องคิดให้ดีนะ หันเย่เป็นเจ้าของม้าตัวนี้”
“หันเย่คือใครรึ” กู้เจียวถาม
ใต้เท้ารองจิ่งตอบ “ก็ท่านชายใหญ่หันอย่างไรเล่า ชื่อของเขาคือหันเย่ เย่ที่แปลว่ารุ่งโรจน์ ไม่ใช่เย่ที่แปลว่ารัตติกาล”
กู้เจียว “อ๋อ”
ใต้เท้ารองจิ่งสูดปากเบาๆ ก่อนจะเอ่ยเตือน “นี่เจ้าไม่กลัวจริงๆ หรือ ถ้าหันเย่รู้เข้าต้องตามมาราวีเจ้าแน่ๆ ! อีกทั้งดูเหมือนว่ามันจะยังไม่ลืมเจ้าของคนเดิม ต่อให้เจ้าพามันกลับไป มันคงไม่เห็นเจ้าเป็นนายของมันอยู่ดี”
กู้เจียว “อ้อ”
ใต้เท้ารองจิ่ง “…”
เจ้าจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจสักหน่อยหรือ
ต่อให้ไม่มีราชาเฮยเฟิงมาเอี่ยว พวกเขาก็มีความแค้นต่อกันเป็นเดิมทุน
อีกทั้งกู้เจียวไม่ได้มีความคิดอยากจะเป็นเจ้าของใครหรือให้ใครมาเป็นทาสด้วยซ้ำ วุ่นวายเปล่าๆ
กู้เจียวกระโดดขึ้นม้า และพาเจ้าเสี่ยวสืออีกับราชาม้าเฮยเฟิงกลับเรือน
ทุกคนต่างพากันตกใจเหมือได้เจอกับราชาม้าเฮยเฟิงอีกครั้ง กู้เจียวจึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้พวกเขาฟัง
ทุกคนนั่งอยู่ในห้องโถง ขณะที่กู้เหยี่ยนออกไปแปรงขนให้ราชาม้าเฮยเฟิง
ฟังจบ หนานเซียงก็เกิดความสงสัย “เหตุใดจู่ๆ มันถึงกลับไปหาเจ้าของเดิมล่ะ ไปเจออะไรกระทบจิตใจเข้าหรือเปล่า”
ทันใดนั้น อาจารย์หลี่ก็นึกอะไรขึ้นได้แล้วยกมือตบกะโหลกตัวเองเบาๆ “เพราะมันเห็นทวนพู่แดงหรือไม่นะ ถึงได้คิดว่าเจ้าของเดิมของมันกลับมาจากสนามรบแล้ว”
อาวุธต้องอยู่กับเจ้าของสิจริงไหม
ทวนพู่แดงเป็นอาวุธคู่ใจของนายพลเซวียนหยวน ดังนั้นเมื่อมันเห็นสิ่งนี้ย่อมแปลว่าตระกูลเซวียนหยวนเดินทางกลับมาแล้ว
นึกภาพไม่ออกเลยว่ามันต้องต้อนรับเจ้าของด้วยอารมณ์แบบไหน แล้วจิตใจของมันจะรับได้แค่ไหนตอนที่รู้ว่าเจ้าของจะไม่กลับมาอีก
“ทวนพู่แดงของข้า…” กู้เจียวเอ่ยพึมพำก่อนจะหยุดชะงัก
เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้ามึนงง อาจารย์หลี่จึงถามด้วยสีหน้าราวกับไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น “อย่าบอกนะว่าตลอดเวลามานี้เจ้าไม่รู้ว่าอาวุธของเจ้ามีประวัติมาอย่างไร”
กู้เจียว “เอ่อ…”
“เจ้าไม่รู้จริงๆ อย่างนั้นรึ” อาจารย์แม่หนานถามอย่างประหลาดใจ
กู้เจียวมองหน้าพวกเขาสองคน “พวกท่านรู้มาตลอดเลยรึ”
“ก็ต้องรู้สิ! พวกเราก็นึกว่าเจ้ารู้แล้วเสียอีก!” พวกเขาตอบพร้อมกัน
“คนที่มอบสิ่งนี้ให้ข้าไม่เห็นจะเล่าอะไรเกี่ยวกับมันให้ฟังเลย” กู้เจียวเอ่ย
“แล้วเจ้าคิดว่าอาวุธนี้เป็นอย่างไรบ้าง” อาจารย์หลู่ถาม
กู้เจียวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนตอบไป “ใช้ดีทีเดียวเลยล่ะ ข้าชอบมัน”
“ก็แน่ละสิ นั่นเป็นอาวุธเซียนของนายพลเซวียนหยวนเชียวนะ” อาจารย์หลู่เอ่ย
กู้เจียวทำหน้าตะลึง “เจ้าของทวนคือนายพลเซวียนหยวนรึ”
อันที่จริงหากมองเผินๆ ไม่มีทางดูออกได้เลยว่าทวนนี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นอาวุธเซียนของนายพลเซวียนหยวนผู้ยิ่งใหญ่ เนื่องจากความซุกซนของจิ้งคงที่เล่นวาดเล็กประดับน้อยจนทวนพู่แดงออกมาหน้าตาฉะนี้ แม้แต่ท่านชายใหญ่หันเองก็ยังดูไม่ออก
“ว่าแล้วเชียว” กู้เจียวร้องอ๋อ
“ว่าแล้วว่าอะไรรึ” อาจารย์แม่หนานถาม
“ราชาม้าเฮยเฟิงมักทำท่าทางสนใจตอนข้าหยิบทวนนี้ขึ้นมา” กู้เจียวเอ่ย
จะว่าไปแล้ว ที่กู้เจียวได้ทวนนี้มาครอบครองก็เป็นเรื่องบังเอิญล้วนๆ
หลังจากที่ตระกูลเซวียนหยวนล่มสลาย ฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนก็นำทวนนี้ถวายให้แก่ราชทูตของแคว้นเฉิน ภายหลังแคว้นเฉินพ่ายสงครามให้กับแคว้นเจา เซวียนผิงโหวจึงถือโอกาสขโมยทวนนี้มา
ตัวเขาเองไม่ถนัดใช้ทวนเป็นเดิมทุน แค่ขโมยมาเล่นๆ เท่านั้น จากนั้นก็เอากลับมาเก็บที่ห้องอาวุธในค่ายทหาร
ต่อมากู้เจียวจึงได้เข้าไปในห้องเก็บอาวุธโดยบังเอิญแล้วก็เกิดถูกชะตากับทวนพู่แดงพอดี
ท่านเหล่าโหวที่เห็นว่ากู้เจียวชอบทวนนี้เอามากๆ ก็เลยมอบให้เป็นของขวัญ
…
ณ จวนตระกูลหัน
ท่านชายใหญ่หันโมโหมากที่ราชาม้าเฮยเฟิงวิ่งหนีเขาไปแบบนั้น ครั้นจะออกไปตามกลับทว่าก็ถูกฉู่หนานห้ามไว้
“มันคงไม่กลับมาแล้วล่ะขอรับ” ฉู่หนานกล่าว
ท่านชายใหญ่หันตะคอกด้วยเสียงเย็นชา “ต่อให้ข้าต้องฝืนมัน ข้าก็ต้องพามันกลับมาให้ได้!”
ฉู่หนานส่ายศีรษะ “ไร้ประโยชน์ขอรับ หากเฮยเฟิงรู้เข้าว่าเจ้าของของมันไม่อยู่แล้ว ก็คงไม่มีประโยชน์ที่มันจะมีชีวิตต่อ”
ท่านชายใหญ่หันขมวดคิ้ว “เจ้าหมายความว่า มันจะตรอมใจตายตามเจ้าของไปด้วยรึ”
ฉู่หนานถอนหายใจ “ต่อให้มันไม่ตรอมใจตาย แต่ต่อจากนี้ มันจะเป็นม้าศึกไม่ได้อีกแล้ว หรือท่านจะยินยอมเลี้ยงม้าที่ไร้ประโยชน์ละขอรับ ถ้าอย่างนั้นก็คิดเสียว่ากระหม่อมไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้”
ท่านชายใหญ่หันกำหมัดแน่นพร้อมกับมองทางที่ราชาม้าเฮยเฟิงวิ่งออกไป
…
สภาพของราชาม้าเฮยเฟิงตอนนี้เป็นจริงตามที่ฉู่หนานพูดไว้
หลังจากที่มันกลับมา ตอนแรกมันมีพฤติกรรมปฏิเสธการรักษา จากนั้นก็เริ่มอดข้าวอดน้ำ ไม่ว่าใครป้อนมัน มันก็ไม่ยอมกิน
ตอนแรกกู้เหยี่ยนคิดว่าเป็นเพราะอาหารของพวกเขาไม่ถูกปากมัน จึงขอแบ่งอาหารม้าจากคอกม้าที่สำนักบัณฑิตเทียนฉงกลับมา
ทว่าราชาม้าเฮยเฟิงก็ยังไม่กินอยู่ดี
กลายเป็นอาหารของเจ้าสืออีไปแทน
อาจารย์แม่หนานลองใช้แครอทรวมถึงหญ้าคุณภาพสูงที่ต้องเดินทางออกไปหาซื้อราวสิบลี้
แต่ก็ไม่เป็นผล
ของกินก็ไม่แตะ น้ำดื่มก็เช่นกัน
เจ้าสืออีนึกอะไรขึ้นได้จึงรีบไปขุดผลไม้ที่มันเคยซ่อนไว้ในดิน จากนั้นก็คาบมาวางหน้าราชาม้าเฮยเฟิง
ก็ไม่ได้ผลอีกอยู่ดี
ทุกคนต่างรู้สึกไม่สบายใจและพากันถอนหายใจ
กู้เจียวเข้าไปในห้องเพื่อหยิบกล่องยาจากนั้นก็ทำการฉีดสารอาหารเข้าไปในร่างกายของมัน
“วิธีนี้ช่วยได้ใช่ไหม” กู้เหยี่ยนถาม
“ตามหลักการแล้ว ควรเป็นเช่นนั้น” สารอาหารของสถาบันมีความครบถ้วนและสมดุลมาก แค่ครึ่งขวด ก็สามารถอยู่ได้ทั้งวันโดยไม่ต้องกินอะไร เมื่อพิจารณาจากน้ำหนักตัวของเฮยเฟิงแล้ว กู้เจียวจึงฉีดให้มันสองโดส
“แต่ว่า” กู้เจียวนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อ “เรี่ยวแรงของมันอาจไม่กลับมาเหมือนเดิมแล้ว”
อีกนัยนึงก็คือ มันเป็นม้าศึกไม่ได้อีกแล้ว
“อ๋อ” กู้เหยี่ยนลูบขนราชาม้าเฮยเฟิงแล้วพูดกับมัน “ไม่เห็นจะต้องเป็นม้าศึกเลยเนอะ”
พวกเขาไม่ได้รับมันมาเลี้ยงเพราะมันเป็นม้าศึก พวกเขาแค่อยากช่วยเหลือม้าป่วยตัวหนึ่งก็เท่านั้น
พวกเขาแทบไม่ได้สนใจเลยว่ามันจะเป็นหรือไม่ได้เป็นม้าศึก
“ดูอย่างข้าสิ อ่อนแอขนาดนี้ยังอยู่รอดมาได้ตั้งนานเห็นไหม” กู้เหยี่ยนพูดกับราชาม้าเฮยเฟิง
กู้เจียว “…”
ทุกคนยอมรับความจริงที่ว่าราชาม้าเฮยเฟิงสูญเสียความตั้งใจที่จะมีชีวิตอยู่ และเตรียมพร้อมที่จะดูแลช่วงชีวิตสุดท้ายของมันอย่างดี
ท่านชายใหญ่หันเองก็ทำใจได้แล้วเช่นกัน
และตอนนี้เขากำลังฝึกม้าศึกตัวใหม่อยู่
อายุที่เหมาะสมที่สุดสำหรับม้าศึกอยู่ระหว่างหกถึงสิบห้าขวบ หลังจากนั้นความแข็งแกร่งทางกายภาพของพวกมันจะเริ่มลดลง ต่อให้ราชาม้าเฮยเฟิงยังมีแรงและพละกำลังจะเป็นม้าศึกอยู่ก็คงทำได้ไม่เต็มร้อยอยู่ดี
และแล้วตำนานของราชาม้าเฮยเฟิงก็จบลงเพียงเท่านี้