ตอนที่ 394 : แรงกดดันอันน่ากลัว
ฟางอี้ในกลุ่มของตี้เวยจื๊อมองไปยังชายที่สวมชุดเกราะที่กำลังย่างเนื้อตรงหน้า เธอรู้สึกว่าชายคนนี้ดูคุ้นตา ในหัวของฟางอี้มีภาพของชายคนหนึ่งโผล่ขึ้นมา แต่สุดท้ายเธอก็ส่ายหน้าสลัดความคิดนี้ทิ้งไป
“จะเป็นไปได้ยังไง ไอ้บ้ากามนั่นไม่มีทางเข้ามาในมิตินี้หรอก มันคงบังเอิญเกินไป”
แต่ถึงอย่างนั้นฟางอี้ก็อดคาดหวังไม่ได้ เธอส่ายหน้าอีกครั้งก่อนจะสลัดความคิดนี้ออกจากหัว
คนที่เหลือเมื่อเห็นฟางอี้ส่ายหน้าแบบนั้นก็ถามขึ้นมา “ฟางอี้ เธอเป็นอะไรรึเปล่า ? เธอรู้สึกผิดปกติงั้นหรือ ? มีอะไรบอกมาได้ ? ”
“ไม่ ฉันไม่เป็นอะไร ขอบคุณพี่ลี่ที่เป็นห่วง” ฟางอี้ตอบกลับ
“ถ้าเธอรู้สึกแย่ก็บอกเรามาได้เลย” ผู้หญิงที่ชื่อว่าลี่ได้พูดขึ้น
คนอื่น ๆ ก็แสดงท่าทีเป็นห่วงเช่นกัน
“ได้” ฟางอี้รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาทันที
บอกได้ว่ากลุ่มทหารรับจ้างกุหลาบนั้นเหมือนกับบ้านของเธอ สมาชิกแต่ละคนไม่ต่างอะไรจากคนในครอบครัวของเธอเลยแม้แต่น้อย พวกเธอสามัคคีกัน การอยู่กับกลุ่มทหารรับจ้างคือที่ที่เธอชอบมากที่สุด
เธอรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้อยู่กับกลุ่มทหารรับจ้างกลุ่มนี้
ตอนนี้ตี้เวยจื๊อไม่ได้สนใจอะไรอื่น เธอเอาแต่มองไปที่ชายรูปร่างกำยำคนนั้น
การที่เธอสามารถรับรู้ได้แบบนั้นก็เพราะว่าเธอมีความแข็งแกร่งอยู่ที่ระดับ SSS เทียบได้กับระดับศักดิ์สิทธิ์ แต่ทว่าเธอกลับรู้สึกอึดอัดเมื่อเผชิญหน้ากับชายคนนี้
ชายหัวโล้นคนนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน บางที่เขาอาจจะแข็งแกร่งกว่าเธอด้วยซ้ำ
สัญชาตญาณของเธอแม่นยำมาตลอด เธอเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเองและมันไม่เคยที่จะผิดพลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว…
เนื้อที่ย่างอยู่นั้นคือเนื้อของมังกรพิภพที่หวังเย่าเก็บเข้ากระเป๋ามิติมาในตอนแรก
ตอนนี้เขากำลังกินมันอย่างพอใจ
“กลิ่นมันหอมจริง ๆ ”
สำหรับว่าทำไมทั้งสองถึงมากินเนื้อย่างที่นี่นั้นก็ไม่มีอะไรมาก พวกเขาแค่หิว
ใช่ ต้องยอมรับว่าพวกเขาใจกล้าจริง ๆ ที่กล้าออกไปนั่งย่างเนื้อที่เขตอันตรายแบบนั้น
“มีคนออกมาแล้ว ท่านจะไม่ไปหยุดพวกเขาหน่อยหรือ ? ” เมื่อเห็นผู้คนออกมาจากหุบเขา หวังเย่าที่กำลังเคี้ยวเนื้ออยู่นั้นก็ได้ถามชายหัวโล้น
“รอข้ากินเสร็จก่อน” ชายกำยำไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ
“ ..” หวังเย่าเงียบไปแต่ก็ยังคิดในใจ ‘ไหนว่าตอนแรกบอกว่ารีบ’
แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาและกินเนื้อของตัวเองต่อ
เขารู้สึกว่ารสชาติของเนื้อกินยังไงก็ไม่เบื่อ มันอร่อยจริง ๆ แถมกลิ่นก็ยังหอมอีกด้วย
เมื่อคิดได้แบบนั้นหวังเย่าก็กัดไปอีกคำหนึ่ง
สำหรับว่าทำไมถึงไม่มีทรายพัดเข้ามาในที่ที่พวกเขาอยู่ นี่ก็เป็นผลงานของชายหัวโล้น
หลังจากที่หวังเย่าถอดเกราะออกเผยให้เห็นใบหน้าของตัวเองแล้ว ฟางอี้ที่อยู่ข้าง ๆ ตี้เวยจื๊อก็เบิกตากว้าง
เธอไม่คิดเลยว่าชายคนที่ใส่ชุดเกราะนี้จะเป็นหวังเย่าจริง ๆ
เมื่อเห็นหวังเย่ากำลังกินเนื้อกับชายหัวโล้นอยู่ ฟางอี้ก็ถึงกับมุมปากกระตุกขึ้นมา
ไอ้บ้านี่…
เขานี่มัน…
ฟางอี้พูดอะไรไม่ออกและได้แต่มองไปที่หวังเย่า
สำหรับว่าทำไมคนอื่น ๆ ถึงยังไม่เดินทางต่อก็เพราะรอการตัดสินใจจากตี้เวยจื๊อ
ตอนนั้นตี้เวยจื๊อได้มองไปที่หวังเย่าและชายหัวโล้น ในเวลาเดียวกันเธอก็คิดถึงความเป็นไปได้ทุกอย่างที่อาจจะเกิดขึ้น
สุดท้ายเมื่อกินเนื้อจนหมดชายหัวโล้นก็ตบท้องของตัวเองอย่างพอใจ
“ไม่คิดเลยว่ามนุษย์จะมีวิธีกินแบบนี้ด้วย”
ครั้นคิดถึงศพของเพื่อนตัวเอง ถ้าไม่ใช่เพราะมันปนเปื้อนคลื่นพลังของปีศาจ บางทีเขาอาจจะลองเอามากินก็ได้
เนื้อสัตว์อสูรน่ะกินได้…
เมื่อเงยหน้ามองไปทางหุบเขาและพบผู้คนที่โผล่ออกมา ชายหัวโล้นก็ยิ้มกริ่ม หลังจากนั้นเขาก็ก้าวขาออกไปก้าวหนึ่งพร้อมกับปล่อยคลื่นพลังที่ระเบิดออกจากตัว
ตูม !
พายุทรายก่อตัวขึ้นพร้อมกับพื้นที่โดยรอบที่สั่นไหว
หวังเย่าแค่ยืนดูอยู่ข้าง ๆ ไม่คิดจะเข้าไปยุ่งด้วยแต่อย่างใด
พลังของชายคนนี้น่ากลัวเกินกว่าที่ใครจะรับมือไหว
“ระดับศักดิ์สิทธิ์ ? ”
“แรงกดดันนี่มันอะไรกัน นี่ไม่ใช่ระดับศักดิ์สิทธิ์ทั่วไปแล้ว ! ”
“ชายคนนี้เป็นใครกันแน่ ? ! ”
“มนุษย์ไม่อาจจะแผ่พลังกดดันที่น่ากลัวแบบนี้ออกมาได้ หากไม่ใช่มนุษย์ งั้นเขาคงเป็นสัตว์อสูรระดับศักดิ์สิทธิ์แปลงร่างเป็นมนุษย์งั้นหรือ ? ! ”
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปทันทีเมื่อพบกับแรงกดดันที่หนักหน่วงเช่นนี้
แม้แต่นักรบระดับ SS ก็ยังพากันกังวล แม้ว่าจะพอขยับตัวได้แต่ก็ไม่กล้าที่จะลงมือ
พวกเขารู้ดีว่าสัตว์อสูรระดับศักดิ์สิทธิ์นั้นแข็งแกร่งแค่ไหน นี่ไม่ต้องนับการที่ชายตรงหน้าพวกเขาไม่ใช่สัตว์อสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ทั่วไปเลย
มันน่ากลัวกว่านั้นไม่ใช่รึไง ?
กลุ่มคนที่อยู่ตรงทางออกหุบเขาไม่อาจจะขยับตัวได้ภายใต้แรงกดดันนี้
“ฉันหวังว่าพวกนายจะตามฉันมา ไม่งั้น…” ชายหัวโล้นยังพูดไม่ทันจบแต่ทุกคนก็เข้าใจได้ว่าเขาหมายถึงอะไร
นี่คือคำขู่ที่พวกเขาไม่อาจจะต่อต้านได้เลย ใครกันจะมีความแข็งแกร่งเทียบกับชายคนนี้ได้ ?
เมื่อได้ยินคำขู่นั้น ทุกคนก็ได้แต่ทำตามที่คำสั่งเขา
ไม่ใช่ว่าหวังเย่ายังอยู่ดีรึไง มันน่าจะบอกได้ว่าสัตว์อสูรระดับศักดิ์สิทธิ์นี่ไม่คิดที่จะทำร้ายพวกเขา
พวกเขาแค่ต้องตามอีกฝ่ายไปและรอดูว่าอีกฝ่ายจะพาพวกเขาไปที่ไหน
หลังจากที่พูดจบชายหัวโล้นก็ไม่พูดอะไรต่อ เขาหันหลังกลับแล้วเดินออกไปทันที
เมื่อเห็นแบบนั้นหวังเย่าก็ไม่ลังเลที่จะตามไป
พวกที่อยู่ด้านหน้าสุดลังเลอยู่สักพักแต่ก็ไม่กล้าที่จะหนี พวกเขาเองก็สงสัยว่าสถานการณ์ที่นี่เป็นยังไง สุดท้ายพวกเขาก็เลือกที่จะตามชายหัวโล้นไป
คนอื่น ๆ ที่อยู่ไกลออกไปก็ได้แต่ตามไปด้วย ยังไงซะพวกเขาก็ไม่คิดที่จะเสี่ยง เมื่อคนส่วนมากเลือกที่จะตามชายหัวโล้นไป พวกเขาก็ได้แต่ต้องตามไปด้วย