ตอนที่ 318 ฝันท่องเมฆา
จอมยุทธ์ผู้มีพรสวรรค์เริ่มมีปราณวิญญาณเข้าสู่ร่างจริงๆ แต่ปราณดั้งเดิมเป็นแค่สิ่งไร้ค่าจริงหรือ เกรงว่าคงไม่ใช่
แม้ว่าจอมยุทธ์ระดับพรสวรรค์ไม่มีวิชาเซียน ไม่อาจก่อสะพานทองจุดเตาโอสถ แต่ทำไมระดับพรสวรรค์ถึงไม่อาจกำจัดปราณดั้งเดิมเป็นปราณวิญญาณทั้งหมด
ก่อนหน้านี้จี้หยวนคิดว่าพวกเขาทำไม่ได้ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าไม่แน่ ตำรายุทธ์มากมายบอกว่าปราณดั้งเดิมคือสิ่งที่วิวัฒน์จากธัญพืชและอาหาร ทั้งมีอิทธิพลจากสารพลังภายในกาย ประโยคนี้ถือว่ามีเหตุผลระดับหนึ่ง
สารพลังคือแก่นของกายเนื้อและจิตวิญญาณ ปราณวิญญาณกับปราณดั้งเดิมของจอมยุทธ์ผู้มีพรสวรรค์ย่อมสอดประสาน นอกจากหล่อหลอมพลังกายแล้ว สิ่งที่ควรละทิ้งไม่ใช่ปราณดั้งเดิมทั้งหมด แค่ลอกปราณผสมส่วนหนึ่งในนั้น ทว่าสารพลังกับปราณเทพกลับไม่แน่นอน ถ้าอยากเลื่อนระดับคงยากมาก
ด้วยเหตุนี้วิชาวัตถุสื่อจิตบนเทียบเจตกระบี่ของจี้หยวน นอกจากทำให้เยี่ยนเฟยมองเห็นความสง่างามของจั่วหลีแล้ว เขายังแทรกความเข้าใจส่วนหนึ่งของตนเข้าไปในนั้นด้วย
แต่เรื่องราวต่อจากนี้ค่อยว่ากันในอนาคต เขตแดนของคนเรา การชี้แนะคือเรื่องหนึ่ง สิ่งสำคัญคือต้องมองตัวเองด้วย จอมยุทธ์ทั่วหล้านับพันหมื่น ผู้มีพรสวรรค์หายากดั่งขนหงส์เขากิเลน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอนาคต สิ่งที่จี้หยวนทำได้มีเพียงเท่านี้
เช้าวันที่สอง เยี่ยนเฟยค่อยตื่นขึ้นมายามตะวันโด่ง ถือว่าช้ากว่าแต่ก่อนมาก เมื่อลุกขึ้นนั่งในหัวยังมีภาพฝันวนเวียน ทำความรู้จักวิถียุทธ์แบบใหม่ซึ่งจี้หยวนกล่าวถึงเป็นครั้งแรก
ในฝันความสง่างามของจั่วหลีอยู่เหนือความเข้าใจด้านวิชายุทธ์ของเยี่ยนเฟยโดยสิ้นเชิง แทบรู้สึกว่าเหนือธรรมดา มิน่าตอนนั้นถึงมีฉายาว่าเซียนกระบี่จั่ว ทั้งบนยุทธภพไม่มีใครกล้าออกความเห็น
แม้ว่ายังไม่เข้าใจกระจ่าง แต่นัยน์ตาเยี่ยนเฟยกลับเปล่งประกายเพราะวิชายุทธ์อีกครั้ง เมื่อตนคุ้นเคยกับเขตแดนพร้อมแสวงหาถึงขีดสุด อย่างน้อยเส้นทางนี้ก็ไม่ทำให้เยี่ยนเฟยสับสนเหมือนเมื่อก่อน
ก๊อกๆๆ…
“น้องเยี่ยน เจ้ายังไม่ตื่นหรือ รีบลุกขึ้นมาเถอะ อย่าปล่อยให้ท่านจี้รอนาน!”
คำพูดของเจ้าวัวทำให้เยี่ยนเฟยตกตะลึง เลิกผ้าห่มเปิดหน้าต่างมองออกไปข้างนอก ดวงอาทิตย์ลอยเด่นแล้ว
‘สายขนาดนี้แล้วหรือ’
“ข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้!”
เยี่ยนเฟยรีบตอบรับแล้วเริ่มสวมเสื้อผ้า จากนั้นค่อยใช้พวกกิ่งหลิวน้ำสะอาดภายในห้องพักทำความสะอาดตนเอง
เมื่อเยี่ยนเฟยเปิดประตูออกไป เขาเก็บกวาดของทั้งหมดแล้ว ทั้งยังม้วนเทียบเจตกระบี่ล้ำค่าติดตัวด้วย
เช้าวันนี้เมื่อหนิวป้าเทียนเห็นเยี่ยนเฟย เขารู้สึกว่าน้องชายต่างสายเลือดคนนี้ของตนแตกต่างจากเมื่อก่อนอยู่บ้าง กลิ่นอายเขามีการเปลี่ยนแปลงกว่าก่อนหน้า แต่การเปลี่ยนแปลงนี้เล็กน้อยเหมือนเกลียวเมฆม้วนตลบ ทว่ามองไม่ชัด
…
ทางเหนือนอกเมืองลู่ผิง มีคฤหาสน์ใหญ่ทิวทัศน์งามหลังหนึ่ง โดยรอบมีที่ดินกับโรงทอมากมาย ทั้งมีเรือนแถวคล้ายหมู่บ้านชนบท เป็นที่อยู่อาศัยของตระกูลเว่ยแห่งเมืองลู่ผิงนั่นเอง
เช้าวันนี้เว่ยหมิงสวมชุดรัดรูป คลุมชุดแขนกว้าง นำคนมารอนอกจวนตระกูลเว่ย เตรียมต้อนรับมือกระบี่บินเยี่ยนเฟย
ในฐานะยอดมือกระบี่ซึ่งชื่อเสียงเลื่องลือบนยุทธภพช่วงสองสามปีมานี้ แน่นอนว่าตระกูลเว่ยคุ้นหูกับชื่อของเยี่ยนเฟย ทั้งอายุเยี่ยนเฟยยังถือว่าเยาว์วัย อนาคตหนทางข้างหน้าไม่อาจประมาณ ขอเพียงไม่ชะตาขาดระหว่างทาง ย่อมคาดหวังระดับพรสวรรค์ได้ อนาคตต้องเป็นผู้เจนจัดบนยุทธภพแน่
หลายปีนี้อาณาจักรจู่เยวี่ยนับวันยิ่งปั่นป่วน หลายแห่งทางการยังปราบปรามไม่อยู่ บนยุทธภพยิ่งเปิดฉากฝนโลหิตคาววายุอย่างต่อเนื่อง ถ้าคบหากับยอดฝีมือผู้มีอนาคตอย่างเยี่ยนเฟยได้ สำหรับตระกูลเว่ยถือว่าเป็นเรื่องดี
เว่ยหมิงคือผู้ประสบความสำเร็จมากที่สุดในบรรดาคนรุ่นเยาว์ตระกูลเว่ย แม้ว่าชื่อเสียงเทียบมือกระบี่บินไม่ได้อยู่มาก แต่ฐานะพอฝืนนับว่าเท่าเทียม ทั้งเขายังเคยเจอเยี่ยนเฟยครั้งหนึ่ง มอบหมายให้เขาต้อนรับเยี่ยนเฟยย่อมเหมาะสมที่สุด
ทว่ารอมานานขนาดนี้ ตอนนี้ดวงอาทิตย์อยู่สูงแล้ว แต่ยังไม่เห็นเยี่ยนเฟยมาเยือน เว่ยหมิงเป็นห่วงว่ามีเรื่องเช่นนี้จริงหรือไม่อยู่บ้าง เขาหันกลับไปมองชายคนหนึ่งในขบวนซ้ายขวา
“เมื่อวานจอมยุทธ์เยี่ยนบอกว่าจะมาแต่เช้าหรือ”
ชายคนนั้นสวมชุดรัดรูปเช่นกัน ได้ยินเว่ยหมิงเอ่ยถามจึงรีบกล่าวตอบ
“เรียนท่านหมิง จอมยุทธ์เยี่ยนพูดเช่นนี้จริงๆ บางทีอาจมีธุระจนล่าช้า บางที… คนผู้นั้นอาจไม่ใช่เยี่ยนเฟยตัวจริง…”
เว่ยหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย มองหนทางข้างหน้าอีกครั้ง
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง มีบ่าวคนหนึ่งรีบวิ่งมา เดินมาถึงหน้าเว่ยหมิง
“ท่านหมิง ข้างหน้ามีผู้ฝีเท้าเร็วสามคนกำลังเดินมาทางจวนตระกูลเว่ยของพวกเรา หนึ่งในนั้นถือกระบี่ รูปลักษณ์ตรงกับจอมยุทธ์เยี่ยน อีกสองคนผู้หนึ่งเหมือนบัณฑิต ยังมีผู้คล้ายบริวารสวมชุดคลุมสั้นคนหนึ่งด้วย”
“ดี พวกเราเตรียมตัว ทุกคนกระปรี้กระเปร่าหน่อย!”
บ่าวตระกูลเว่ยสองข้างทางพากันกระฉับกระเฉง
ผ่านไปไม่นานในสายตาเห็นพวกเยี่ยนเฟย เว่ยหมิงดวงตาวาววาบ จำได้ตั้งแต่พริบตาแรกว่านั่นคือเยี่ยนเฟย โดยเฉพาะท่าทางซึ่งเขาจำได้ดี
เว่ยหมิงพาทุกคนเดินไปต้อนรับ
“จอมยุทธ์เยี่ยนมาเยือนเรือนตระกูลเว่ยอันซอมซ่อของข้า ถือเป็นเกียรติของตระกูลเว่ยแห่งเมืองลู่ผิงจริงๆ ฮ่าๆๆๆๆ…”
เว่ยหมิงพูดพลางประสานมือ รอยยิ้มบนหน้าเจิดจ้าและกระตือรือร้น
เยี่ยนเฟยไม่กล้าละเลยเช่นกัน เขากุมกระบี่คารวะตอบเสียงสูง ทั้งกล่าวแนะนำคนข้างกาย
“ขอบคุณท่านที่มาต้อนรับ ท่านนี้คือท่านจี้ ผู้อาวุโสของข้าคนแซ่เยี่ยน ท่านนี้คือพี่หนิว ถือเป็นพี่ของข้าคนแซ่เยี่ยน…”
เว่ยหมิงเดินมาข้างหน้า ได้ยินคำแนะนำของเยี่ยนเฟยแล้วรีบคารวะจี้หยวนกับหนิวป้าเทียน
“คารวะท่านจี้ คารวะพี่หนิว ข้าน้อยเว่ยหมิง!”
เดิมทีเว่ยหมิงยังคาดหวังว่าเยี่ยนเฟยจะจำเขาได้ แต่จากคำพูดเมื่อครู่ เขารู้สึกว่าเยี่ยนเฟยจำเขาไม่ได้แม้แต่น้อย คราวนี้จึงรีบเอ่ยชื่อออกมา ทั้งสองฝ่ายจะได้ไม่อักอ่วน
จี้หยวนกับหนิวป้าเทียนพากันคารวะทักทาย จากนั้นเว่ยหมิงค่อยนำพวกเยี่ยนเฟยกับจี้หยวนมุ่งหน้าไปยังจวนตระกูลเว่ยอย่างกระตือรือร้นยิ่ง
คฤหาสน์แห่งนี้ครอบครองพื้นที่กว้างขวาง เต็มไปด้วยทุ่งนาอุดมสมบูรณ์ ร่องน้ำไหลผ่านสะพานน้อย บางแห่งมีต้นไม้เขียวขจี บางแห่งมีศาลาตรงตรอกเล็ก ระหว่างทางยังผ่านเรือนแถวบางจุดซึ่งมองเห็นแต่ไกล น่าจะเป็นที่อยู่อาศัยของคนตระกูลเว่ยสายรองรวมถึงบ่าวในจวน
กอปรกับวันนี้อากาศแจ่มใส ยามเดินอยู่ในสถานที่แห่งนี้ พวกเขามีความรู้สึกเหมือนก้าวเข้าสู่ดินแดนในอุดมคติ
“จอมยุทธ์เยี่ยน ท่านจี้ ยังมีพี่หนิว จวนตระกูลเว่ยของข้าทิวทัศน์ไม่เลวกระมัง”
เยี่ยนเฟยกับหนิวป้าเทียนไม่พูดจา จี้หยวนกลับกล่าวชมอย่างทอดถอนใจ
“ทิวทัศน์งดงามจริงๆ ทั้งรู้สึกเหมือนแดนสุขาวดี น่าเสียดายว่าคนนอกตระกูลเว่ยไม่อาจสัมผัสความสงบสุขเช่นนี้”
เว่ยหมิงมองจี้หยวนคราหนึ่งพลางกล่าว
“ท่านกล่าวชมเกินไปแล้ว แต่เหมือนอย่างที่ท่านกล่าว ตอนนี้โลกไม่สงบสุข พวกเราทำได้แค่รักษาความสงบของตน ตระกูลเว่ยมีครอบครัวใหญ่กิจการใหญ่ แต่ยังไม่มีอิทธิพลมั่นคง ต่อให้กล้าหาญชาญชัยก็ต้องคิดหน้าคิดหลัง”
จี้หยวนพยักหน้าแสดงออกว่าเห็นด้วย
“ถือเป็นสิ่งพึงกระทำ”
ไม่นานพวกเขามาถึงโถงกลางคฤหาสน์ เว่ยหมิงบอกบ่าวข้างกายให้รีบเดินไปก่อน เขาเดินเข้าโถงพร้อมรายงานผู้อาวุโสตระกูลเสียงเบา จากนั้นเมื่อพาพวกจี้หยวนมาถึงโถงกลาง คนด้านในออกมาต้อนรับตรงประตูพอดี
ผู้นำตระกูลเว่ยคือเว่ยเซวียนบิดาของเว่ยหมิง ชายชราวัยหกสิบกว่าปีคนหนึ่ง แต่ด้วยฝึกยุทธ์ร่างกายจึงแข็งแกร่ง หลังจากทักทายกันครู่หนึ่งค่อยพูดถึงประเด็นการมาครั้งนี้ของเยี่ยนเฟย
ภายในโถงกลางคฤหาสน์ แขกและเจ้าบ้านต่างดื่มชานั่งประจำที่ เว่ยเซวียนกล่าวอย่างเกรงใจ
“จอมยุทธ์เยี่ยน ข้าบอกหมิงเอ๋อร์ให้หยิบตำราสวรรค์ไร้อักษรของตระกูลเว่ยมาแล้ว ไม่นานคงนำมาให้ท่านทั้งสามดู ได้ยินว่าหลายปีนี้จอมยุทธ์เยี่ยนขัดเกลากระบี่อยู่ทางใต้ตลอด ท้าประลองกับยอดฝีมือเลื่องชื่อมาไม่น้อยใช่หรือไม่”
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่ก่อนข้าคนแซ่เยี่ยนอวดดีเกินไป ภายหน้าย่อมย้อนมองตน หาทางบุกเบิกระดับใหม่ของวิถียุทธ์”
เมื่อฟังคำพูดนี้ของเยี่ยนเฟย เว่ยเซวียนเอ่ยถามอย่างใส่ใจ
“จอมยุทธ์เยี่ยนเคยพ่ายแพ้ยอดฝีมือแห่งยุทธภพคนไหนหรือไม่”
“ไม่เคยแพ้สักครั้ง”
เว่ยเซวียนยิ้มเล็กน้อย ดูท่าว่าเป็นคำกล่าวตามมารยาทของเยี่ยนเฟย เวลานี้เว่ยหมิงถือกล่องไม้แดงใบหนึ่งมาพอดี เขารีบลุกขึ้นมา
“มาๆๆ ท่านทั้งสามโปรดดู นี่ก็คือตำราสวรรค์ไร้อักษรซึ่งตกทอดมารุ่นต่อรุ่นของตระกูลเว่ย”
เว่ยเซวียนเปิดกล่องไม้บนโต๊ะน้ำชาด้วยตัวเอง เผยตำราเล่มหนึ่งด้านในให้เห็น แม้แต่หน้าปกยังไม่มีตัวอักษร
“ท่านจี้เชิญ!”
เยี่ยนเฟยรีบเชิญจี้หยวนไปดู หนิวป้าเทียนแค่กล้ายืดคอมองเท่านั้น แต่ตัวกลับหลีกทางให้จี้หยวนเหมือนเยี่ยนเฟย สิ่งนี้ทำให้คนตระกูลเว่ยสำรวจมองจี้หยวนใหม่อีกครั้ง
จี้หยวนเดินมาถึงหน้ากล่อง สายตากวาดมองในกล่อง หน้าตำราปรากฏตัวอักษรค่อนข้างหวัดบางส่วน เมื่อหยิบตำรามาเปิดอ่าน ในตำราเห็นชัดว่าเป็นอักษรหวัดของคนเดียวกันทั้งหมด
สายตาคนเรายามอ่านตำรากับสุ่มเปิดอ่านต่างกันอย่างชัดเจน ตอนนี้จี้หยวนเปิดอ่านทีละหน้า สายตากวาดมองบนล่างเป็นครั้งคราว คล้ายเห็นตัวอักษรบนหน้ากระดาษมาก
“ท่านจี้ ตำราเล่มนี้มีตัวอักษรหรือไม่”
เยี่ยนเฟยถามประโยคหนึ่ง จี้หยวนมองเขาทั้งมองคนตระกูลเว่ย สุดท้ายตำราเล่มนี้ก็เป็นของตระกูลเว่ย เขาไม่อาจพูดเพ้อเจ้อ ได้แต่กล่าวตอบตามความเป็นจริง
“มีตัวอักษรจริงๆ ตำราเล่มนี้ชื่อว่า ‘ฝันท่องเมฆา’ คล้ายว่าเป็นชีวประวัติของคนผู้หนึ่ง”
“ฝันท่องเมฆา!”
“ฝันท่องเมฆา?”
การตอบสนองของคนตระกูลเว่ยกับเยี่ยนเฟยรวมถึงหนิวป้าเทียนแตกต่างกัน ฝ่ายแรกมองเยี่ยนเฟยทั้งมองจี้หยวน แสดงออกว่าประหลาดใจอย่างยิ่ง
ตั้งกี่ปีมาแล้วที่ไม่มีใครเห็นตัวอักษรบนตำรานี้ แม้แต่พวกเขาคนตระกูลเว่ยยังไม่ค่อยมั่นใจ แต่ตอนนี้กลับมีคนบอกว่ามองเห็นอย่างกะทันหัน ทั้งยังบอกชื่อตำราได้ ในใจมีความรู้สึกว่าไม่สมจริงนัก
————————————-