หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรักตอนพิเศษ 8-1 พลังเกล็ดมังกร

ตอนพิเศษ 8-1 พลังเกล็ดมังกร

ตอนพิเศษ 8-1 พลังเกล็ดมังกร

บนหน้าใต้เท้าไม่จำเป็นต้องใช้มนต์พรางตาอีกแล้ว ตัวเขาแทบจะดำมืดจนกลายเป็นถ่านอยู่แล้ว!

ที่ย่ำแย่ไปกว่านั้นก็คือ วินาทีต่อมาหลังจากตนถูกทำสัญลักษณ์เอาไว้ มารมังกรน้อยก็มองเห็นเข็มขัดคาดเอวสีทองอร่ามที่ถูกอาภรณ์บดบังเอาไว้

มารมังกรน้อยก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง จัดการดึงเข็มขัดทองคำของเขาแล้วลากลงมาทันที

ใต้เท้าเจ้าตำหนัก “…”

คุณชายชุดขุนนาง “…”

เด็กสาวรากปราณสวรรค์ยังไม่ทันเห็นตอนเฉียวเวยเวยออกมา ผู้พิทักษ์รองก็เข้ามาเสียก่อน ผู้พิทักษ์รองถามนางว่าเหตุใดดึกดื่นค่อนคืนจึงไม่หลับไม่นอน มาทำอะไรอยู่ที่นี่

“ข้าเห็นน้องสาวของหลิงจือเข้าไปในนั้น” เด็กสาวรากปราณสวรรค์บอกไปตามจริง

ผู้พิทักษ์รองบอกว่า “นางจะเข้าไปได้อย่างไร นางไม่มีป้ายคำสั่งเสียหน่อย”

เด็กสาวรากปราณสวรรค์ “นางเข้าไปในนั้นจริงๆ นะเจ้าคะ”

ผู้พิทักษ์รองส่งวิชาตาทิพย์เข้าไปมองสำรวจภายในตำหนักใหญ่รอบหนึ่ง “ที่นี่ไม่มีคนอยู่ ช่วงนี้เจ้าเหนื่อยเกินไปหรือไร”

เด็กสาวรากปราณสวรรค์ขมวดคิ้วด้วยความงุนงง “อาจจะ…เป็นไปได้กระมัง”

ผู้พิทักษ์รอง “เจ้าอย่าได้สนใจหลิงจือมากเกินไปเลย”

เด็กสาวรากปราณสวรรค์รีบบอกว่า “ที่ข้าเอ่ยเช่นนี้หาใช่เพราะข้าสนใจนาง แต่เป็นความจริงที่ข้า…”

ผู้พิทักษ์รองมองนางด้วยสายตาเคร่งขรึม

เด็กสาวรากปราณสวรรค์ถึงจะเป็นบุตรีของท่านเซียน แต่จะไม่เคารพต่ออาจารย์ของตนไม่ได้ นางจึงก้มหน้าลง “ศิษย์ผิดไปแล้ว”

ผู้พิทักษ์รองพยักหน้าเรียบๆ “นี่ก็ดึกมากแล้ว เจ้ากลับไปพักเถิด”

เด็กสาวรากปราณสวรรค์กลับไปด้วยความหงุดหงิด

ผู้พิทักษ์รองเข้าไปในห้องอีกครั้ง ใช้วิชาตาทิพย์มองสำรวจอีกรอบหนึ่ง เมื่อมั่นใจว่าไม่พบเจอร่องรอยสิ่งมีชีวิตใดๆ แล้ว จึงหมุนตัวกลับห้องของตนไป

เฉียวเวยเวยหลังจากมีพัดทองแล้วก็ได้เข็มขัดทองมาอีกเส้น ห่อผ้าเล็กๆ ของนางใส่ไม่พอแล้ว

หลิงจือกำลังเก็บสิ่งละอันพันละน้อยของตนอยู่

เฉียวเวยเวยมองหีบที่วางอยู่ท่ามกลางข้าวของแล้วเอ่ยว่า “ข้าอยากได้ด้วย”

หลิงจือหาหีบใบเล็กมาให้นางใบหนึ่ง ขนาดพอนางยกได้พอดี

ด้วยเหตุนี้เฉียวเวยเวยจึงมีของสะสมส่วนตัวกับเขาแล้วเช่นกัน

ช่วงเวลาหลังจากนั้นหลิงจือเริ่มฝึกอย่างหนักหน่วงขึ้นไปอีก

รากปราณน้ำของนางขึ้นเป็นขั้นสูงแล้ว ผู้พิทักษ์ใหญ่ถ่ายทอดวิชาสายน้ำให้นางชุดหนึ่ง

ผู้พิทักษ์ใหญ่มีรากปราณคู่เป็นน้ำกับดิน โดยทั่วไปยิ่งรากปราณน้อย คุณภาพยิ่งดี และยิ่งง่ายที่จะดูดซับพลังปราณจากธรรมชาติ ความเร็วในการฝึกของรากปราณคู่จะช้ากว่ารากปราณเดี่ยว แต่ผู้พิทักษ์ใหญ่ไม่ใช่คนที่จะโอนอ่อนตามโชคชะตา ถึงแม้นางจะไม่ได้คุณสมบัติที่ฟ้าประธาน แต่กลับมีความมุมานะที่มากกว่าคนทั่วไป นี่ก็สิ่งล้ำค่าที่นางถ่ายทอดให้หลิงจืออย่างไม่เป็นรูปธรรม

อีกด้านหนึ่ง เด็กสาวรากปราณสวรรค์ก็กำลังต้องเลือกสายวิชาเช่นกัน

นางเป็นรากปราณสวรรค์ สามารถฝึกวิชาสายใดก็ได้ และสามารถฝึกวิชาหลายประเภทได้ แต่ทางที่ดีที่สุดอย่าเป็นสายที่เป็นขั้วตรงข้ามกัน อาทิเช่น น้ำกับไฟ เป็นต้น

การฝึกพลังแต่ละประเภทให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันออกไป พลังสายทองเหมาะกับการหลอมอาวุธ พลังสายไม้เหมาะกับการรักษา พลังสายดินเหมาะเป็นฝ่ายตั้งรับป้องกัน พลังสองประเภทที่มีพลังโจมตีมากที่สุดคือสายน้ำกับสายไฟ ส่วนพลังสายน้ำกับสายไฟในระดับเดียวกัน พลังสายน้ำจะน่าเกรงกลัวกว่าเล็กน้อย ซึ่งนี่จึงเป็นเหตุว่าทำไมรากปราณน้ำถึงได้เป็นรากปราณที่ดีที่สุดในบรรดาห้ารากปราณเหล่านี้

ความหมายของผู้พิทักษ์รองคือนางสามารถเลือกฝึกพลังสายน้ำได้

“ข้าไม่อยากเป็นเหมือนกับหลิงจือ!” เด็กสาวรากปราณสวรรค์บอก

ผู้พิทักษ์รองเอ่ยด้วยความหนักใจ “เจ้าฟังที่อาจารย์จะพูดให้จบก่อน รากปราณสวรรค์ถึงแม้จะสามารถฝึกวิชาสายใดก็ได้ แต่จะฝึกมากเกินไปก็ไม่ดี มากไปมีแต่จะปั่นป่วน หากปั่นป่วนธาตุไฟก็จะเข้าแทรก แต่ด้วยคุณสมบัติของเจ้า ฝึกวิชาสองสายก็น่าจะเอาอยู่ได้”

“สองสายใดหรือ” เด็กสาวรากปราณสวรรค์ถาม

ผู้พิทักษ์รอง “พลังสายน้ำกับพลังสายทอง”

เด็กสาวรากปราณสวรรค์มาอยู่ที่สำนักเชียนหลันนานเพียงนี้ ความรู้ที่ควรเรียนก็ได้เรียนมาไม่น้อย แค่ได้ฟังที่อาจารย์เอ่ยนางก็เข้าใจทันทีว่าอาจารย์คิดสิ่งใดอยู่ “อาจารย์…อยากให้ข้ากลายเป็นรากปราณสายฟ้าหรือ”

ผู้พิทักษ์รองพยักหน้า “ถูกต้อง สำนักเชียนหลันถึงแม้จะไม่เคยมีลูกศิษย์เช่นนั้นมาก่อน แต่ที่สำนักว่านเซี่ยงเคยมี เมื่อตอนนั้น เจ้าสำนักว่านเซี่ยงหลังจากกินยารวมปราณเข้าไปแล้วก็เกิดมีรากปราณคู่ขึ้นมา… รากปราณน้ำกับรากปราณทอง ในตัวคนหนึ่งคนมีรากปราณอยู่สองประเภท จึงจำเป็นต้องดูดซับพลังปราณเป็นสองเท่า ซ้ำยังต้องรักษาสมดุลระหว่างทั้งสองปราณให้ดี การฝึกจึงเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่สิ่งที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดก็คือ รากปราณของเขาแปรเปลี่ยนไป น้ำกับทองผสานเข้าด้วยกันกลายเป็นรากปราณสายฟ้าที่เคยได้ยินแต่ในตำนาน”

รากปราณสายฟ้านั้นยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งกว่ารากปราณน้ำ ขอเพียงตนสามารถกลายเป็นรากปราณสายฟ้าได้ เด็กที่ชื่อหลิงจือนั่นต่อให้ทุ่มเทให้ตายก็ไล่ตามตนไม่ทัน

นางไม่ได้นึกถึงเลยว่าหากตนล้มเหลวจะเป็นอย่างไร ในความคิดของนาง นางเป็นสายเลือดของท่านเซียน ไม่ว่าอย่างไรนางไม่มีทางที่จะล้มเหลว

ไม่เท่าไรหลิงจือก็ได้รู้หนทางเลือกของนาง ซึ่งยากลำบากกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก

เฉียวเวยเวยมีออกไปเดินเล่นในสำนักบ้าง โดยมากมักเดินเล่นไปที่ห้องเก็บฟืนของคุณชายน้อยหรง

หนึ่งเดือนผ่านไป เฉียวเวยเวยมีเนื้อมีหนังมากขึ้น ส่วนสัตว์วิเศษเหล่านั้นที่ห้องครัวเลี้ยงจนอ้วนท้วนกลับผ่ายผอมลงทุกวัน

วันทดสอบรอบที่สองของลูกศิษย์ใหม่ใกล้จะมาถึงแล้ว ลูกศิษย์ที่ผ่านการทดสอบจะได้เป็นลูกศิษย์ของสำนักเชียนหลันอย่างเป็นทางการ และจะได้รับป้ายหยกของสำนักเชียนหลัน

แต่ที่แผนการเปลี่ยนไม่ทันเหตุการณ์ก็คือ ยังไม่ทันถึงวันทดสอบ แขกที่ไม่ได้รับเชิญก็มาเสียก่อน

ผู้มาเยือนคืออาจารย์ใหญ่เจินเหรินแห่งสำนักว่านเซี่ยงท่านหนึ่ง แซ่เหลียว กับลูกศิษย์ใหม่หลายคนที่เพิ่งเข้าสำนักมาได้ไม่นาน

ชื่อเสียงของสำนักว่านเซี่ยงในรุ่นต่อมาไม่สู้ดีนัก หยิ่งผยองกำเริบเสิบสาน ชอบข่มเหงรังแกคนอ่อนแอ สำนักเล็กสำนักน้อยหลายแห่งล้วนเคยถูกสำนักว่านเซี่ยงรังแก สำนักว่านเซี่ยงยังเรียกร้องค่าคุ้มครองจากสำนักโดยรอบทุกปีอีกด้วย ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับทุกคนแต่กลับทำอะไรสำนักว่านเซี่ยงไม่ได้

ที่ว่ารุ่นต่อมานั้นก็คือสำนักเชียนหลันที่มีรากฐานมั่นคงดีแล้ว ซึ่งไม่เคยถูกสำนักว่านเซี่ยงระรานมาก่อน

ความสัมพันธ์ระหว่างสองสำนักไม่นับว่าสนิทสนมนัก ไม่มีการไปมาหาสู่กันส่วนตัว เลยไม่รู้ว่าลมอะไรหอบสำนักว่านเซี่ยงมาที่นี่ ซ้ำยังพาลูกศิษย์หลายคนมาหาถึงที่นี่อีกด้วย

ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็คล้ายมาท้าทายทั้งสิ้น

อาจารย์ใหญ่เจินเหรินยามอยู่ในสำนักเรียกได้ว่ามีฐานะเป็นหัวหน้ายอดเขาแล้ว หัวหน้ายอดเขาของยอดเขาศิษย์ใหม่ไปเก็บตัวปลีกวิเวกอยู่ ทางนี้จึงมีผู้ดูแลหลิวคอยต้อนรับคณะพวกเขาแทน

เหลียวเจินเหรินสีหน้าดูบูดบึ้ง แต่เมื่อได้พบผู้พิทักษ์ใหญ่กับผู้พิทักษ์รอง สีหน้าจึงค่อยดูยินดีและพอใจขึ้นบ้าง

หลังจากนั้นเหลียวเจินเหรินก็เอ่ยถึงจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ พวกเขามาเพื่อท้าประลองจริงๆ ดังคาด!

ผู้ดูแลหลิวใบหน้าบึ้งลง “อะไรนะ พวกเจ้าอยากท้าประลอง?”

เหลียวเจินเหริน “เอ๋ อย่าพูดให้ไม่น่าฟังเช่นนั้นสิ จะเป็นการท้าประลองได้อย่างไร แค่เพียงแลกเปลี่ยนวิชากันสักหน่อยเท่านั้น ข้าได้ยินว่าครั้งนี้พวกเจ้ารับศิษย์เก่งๆ มาได้ไม่น้อย พอดีเลย พวกข้าเองก็รับมาได้หลายคนเช่นกัน ทุกคนมาแลกเปลี่ยนวิชากันสักหน่อย จะได้ช่วยกันพัฒนาให้เก่งขึ้นอย่างไรเล่า”

นี่เป็นข้ออ้างไร้ยางอายที่สุดที่ทุกคนเคยได้ยินมาแล้ว ดูท่าในที่สุดสำนักว่านเซี่ยงจะเอามือสกปรกยื่นเข้าไปมาในสำนักเชียนหลันเสียแล้ว

ผู้พิทักษ์รองเอ่ยเสียงเข้ม “พวกเจ้าอย่าคิดเชียวว่ามีผู้อาวุโสที่แปรงเป็นรากปราณสายฟ้าได้คนหนึ่งแล้วจะไม่เห็นสำนักเชียนหลันอยู่ในสายตา!”

เหลียวเจินเหรินยิ้มปริ่ม “ผู้พิทักษ์รองกล่าวเกินไปแล้ว แค่เพียงแลกเปลี่ยนความรู้กันเท่านั้นจริงๆ อีกอย่างข้าได้ยินมาว่า… การรับลูกศิษย์ใหม่ของสำนักเชียนหลันครานี้มีคนหนึ่งที่เป็นสายเลือดของท่านเซียน ข้ามีชีวิตอยู่มานานเพียงนี้ยังไม่เคยพบเห็นสายเลือดของท่านเซียนเลยสักครั้ง เลยถือโอกาสพาพวกเขามาให้เห็นโลกกว้างด้วยเลย”

ว่าด้วยเรื่องความรู้แล้ว ศิษย์ว่านเซี่ยงสิบคนก็ยังสู้ศิษย์เชียนหลันหนึ่งคนไม่ได้ น่าเสียดายก็เพียงหลังจากบรรพบุรุษหลายคนของเชียนหลันบินขึ้นไปอยู่ชั้นเซียนแล้ว สำนักเชียนหลันก็ไม่มีนักบวชที่ขึ้นเป็นเซียนได้อีกเลย ที่สำนักว่านเซี่ยงกล้ามาท้าทายถึงที่เช่นนี้จึงใช่ว่าไร้เหตุผล

แต่เหตุผลจะเรียบง่ายเพียงนี้จริงหรือ

เหลียวเจินเหรินเห็นพวกเขาลังเลไม่กล้าตัดสินใจเสียที จึงรีบเอากล่องผ้าไหมจากลูกศิษย์คนหนึ่งมายื่นไปตรงหน้าผู้พิทักษ์ทั้งสอง “นี่เป็นของแทนความจริงใจของสำนักว่านเซี่ยง โปรดรับไว้ด้วย”

ผู้พิทักษ์รองเปิดออกดู จึงเห็นว่าเป็นเม็ดหลิงตันสายฟ้าที่ส่องประกายทองอร่าม!”

ยาหลิงตันสายฟ้าถือเป็นของชั้นดี มันไม่เพียงช่วยบำรุงรากปราณสายฟ้า แต่ยังเป็นยาวิเศษที่ช่วยปกป้องร่างกายยามต้องแบกรับการฝึกฝนอีกด้วย ยาประเภทนี้สำนักเชียนหลันกลั่นออกมาไม่ได้ ในตลาดก็ไม่มีขาย มีเพียงนักบวชรากปราณสายฟ้าของสำนักว่านเซี่ยงเท่านั้นที่สามารถกลั่นของล้ำค่าดั่งเมืองเช่นนี้ออกมาได้

ยาหลิงตันเม็ดนี้หากให้เด็กสาวรากปราณสวรรค์กินลงไป โอกาสที่รากปราณของนางจะกลายเป็นสายฟ้าคงมีสูงขึ้น

ผู้พิทักษ์รองนึกสนใจขึ้นมาทันที

ผู้พิทักษ์ใหญ่ก็ดูจะสนใจขึ้นบ้างเหมือนกัน แต่เขายังคงรู้สึกว่าเรื่องนี้คงไม่เรียบง่ายเช่นนั้น “ชนะแล้วอย่างไร แพ้แล้วอย่างไร”

เหลียวเจินเหรินกำลังรอคำถามนี้อยู่ทีเดียว เขาระบายยิ้มพลางเอ่ยด้วยสีหน้ายินดีว่า “หากเชียนหลันชนะ พวกเราจะให้ยาหลิงตันสายฟ้าขั้นกลางเพิ่มอีกสิบเม็ด!”

สิบเม็ด? ทุกคนเริ่มรักษาความสงบนิ่งไม่อยู่

“หากพวกเจ้าชนะเล่า” ผู้พิทักษ์ใหญ่ถามด้วยความเยือกเย็น

เหลียวเจินเหริน “หากพวกเราชนะ ก็จะพาตัวรากปราณสวรรค์กับรากปราณน้ำกลับไป”

“ชั่วช้า!” ผู้ดูแลเหลียวตบโต๊ะดังปัง “พวกนางสองคนคารวะเป็นลูกศิษย์ของสำนักเชียนหลันแล้ว เป็นศิษย์ที่ขึ้นทะเบียนของสำนักเชียนหลันแล้ว ใช่คนที่พวกเจ้าคิดจะแย่งก็แย่งได้หรือ!”

ผู้พิทักษ์ใหญ่เอ่ยด้วยสายตาดุดัน “นี่สินะเป้าหมายของพวกเจ้า”

“กล้าเดิมพันหรือไม่” เหลียวเจินเหรินถาม

ผู้พิทักษ์รองส่งเสียงหึ “เดิมพันอะไรกัน ไว้ลูกศิษย์ข้าได้รับเป็นบุตรกับท่านเซียนแล้ว ยังต้องกลัวว่าจะไม่มียาหลิงตันสายฟ้าส่งมาอีกหรือ”

“เช่นนั้นหรือ” ผู้บรรลุมรรคลเหลียวเอ่ยยิ้มๆ

ยาหลิงตันสายฟ้าที่แสนล้ำค่าเช่นนี้ ต่อให้อยู่ในแดนเซียนก็หาได้น้อยยิ่ง จำต้องบอกว่า สำนักว่านเซี่ยงทิ่มถูกกระดูกอ่อนของสำนักเชียนหลันแล้วจริงๆ

เหลียวเจินเหรินเอ่ยต่อว่า “อีกอย่าง ใช้ว่าพวกเจ้าจะแพ้นี่ หรือจะบอกว่าพวกเจ้าไม่มั่นใจในลูกศิษย์ของตน?”

ประโยคนี้กลายเป็นต้นหญ้าต้นสุดท้ายที่เอนทับลา

ผลประโยชน์ที่ส่งมาถึงที่ หากไม่รับไว้ก็คงเสียเปล่า ลูกศิษย์ชั้นเลิศเช่นนี้จะแพ้ให้กับลูกศิษย์ใหม่ของสำนักว่านเซี่ยงได้อย่างไร

วันต่อมา ในเรือนศิษย์ใหม่สำนักเชียนหลัน การประลองบทใหม่ก็ได้เริ่มต้นขึ้น

การประลองไม่มีกำหนดว่าแพ้ชนะกันที่กี่ยก ฝ่ายใดยอมแพ้ก่อน การประลองก็เป็นอันสิ้นสุด

คนแรกที่ลงสนามคือเด็กสาวรากปราณสวรรค์

อันที่จริงหลังจากผ่านการฝึกฝนมาสองเดือน มีลูกศิษย์ใหม่หลายคนที่แสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์อันโดดเด่น แต่ลำดับขั้นโดยรวมแล้ว เด็กสาวรากปราณสวรรค์กับหลิงจือยังคงถือว่าแข็งแกร่งที่สุด พวกนางสองคนอยู่ในขั้นสุดท้ายของการดูดซับพลังปราณเข้าร่างแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานรากฐานของพวกนางก็จะมั่นคง

ตามปกติแล้ว ในการประลองเช่นนี้ คนแรกที่ลงสนามมักลงมาเพื่อลองเชิงก่อน แต่ผู้พิทักษ์ใหญ่กับผู้พิทักษ์รองกลับกระทำในสิ่งตรงกันข้าม

เด็กสาวรากปราณสวรรค์ใส่ผ้าโปร่งคาดหน้าสีเหลืองอ่อน นางลอยตัวลงยืนบนแท่นประลองเบาๆ ในมือถือกระบี่ผลึกมังกร เพราะปิดผนึกโลหิตมังกรเอาไว้ ทำให้กระบี่ทั้งเล่มดูแดงฉานกว่าปกติ

ผู้พิทักษ์ใหญ่ ผู้พิทักษ์รองกับผู้ดูแลหลิวนั่งอยู่ทางด้านซ้ายของแท่นประลอง ส่วนเหลียวเจินเหรินกับลูกศิษย์อีกเจ็ดคนนั่งอยู่ทางด้านขวา ในบรรดาลูกศิษย์เหล่านี้ หากตัดลูกศิษย์คนที่ฝึกพื้นฐานจนมั่นคงดีแล้วเช่นเดียวกับศิษย์พี่อวี๋ออกไป คนอื่นๆ ที่เหลือล้วนฝึกปราณอยู่ในระดับเดียวกับลูกศิษย์ใหม่

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

Score 10
Status: Completed
นิยายแปลไทยเรื่อง : หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก ผู้เขียน : เพียนฟางฟาง (偏方方) แนะนำเรื่องย่อ เมื่อหมอสาวยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในยุคโบราณแถมพ่วงด้วยลูกแฝดอีกสอง ทำขนม ดักสัตว์ ทำไร่ ทำทุกอย่างที่ได้เงิน! เฉียวเวย เด็กกำพร้าไร้ญาติขาดมิตรจู่ๆ ก็ทะลุมิติมายังยุคโบราณที่ไม่รู้จัก นอกจากจะมาอาศัยร่างคนอื่นอยู่แล้ว ร่างเดิมนี้ยังมีลูกแฝดอีกสองชีวิตให้ต้องเลี้ยงดู! นางที่ไร้ซึ่งความทรงจำใดๆ ในโลกใบใหม่แต่พราะทักษะติดตัวสมัยยังต้องดิ้นรนในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าทำให้ชีวิตไม่ลำบากเกินไปนัก ทำขนม ดักสัตว์ ปลูกพืช รักษาคน จากนี้นางจะเลี้ยงลูกๆ ให้เติบใหญ่ด้วยมือของนางเอง! เจ้าซาลาเปาน้อยจูงมือบุรุษใบหน้าเคร่งขรึมเข้ามา "ท่านแม่ ท่านลุงบอกว่าเขาเป็นพ่อของข้า" เฉียวเวยยิ้มละไม "ลูกรัก บอกพ่อเจ้าหน่อย ว่าต้องทำเช่นไรถึงจะพิสูจน์ว่าเป็นพ่อของเจ้าได้" เจ้าซาลาเปาน้อยเปิดสมุดทองคำ พูดอย่างชื่อๆ ว่า "ข้อที่หนึ่งร้อยหนึ่งของ 'กฎครอบครัวเฉียว' หลอกลวงเด็กสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะมีโทษตัดอวัยวะสืบพันธุ์ ท่านลุง หากท่านเป็นพ่อของข้าจริงๆแล้วล่ะก็..." โดยไม่รอให้เจ้าซาลาเปน้อยจะพูดจบ ปลายนิ้วอันย็นเฉียบของชายคนนั้นก็บีบคางของเฉียวเวย เผยให้เห็นรอยยิ้มที่เย็นชาและเป็นอันตราย "หากข้าจำไม่ผิด คืนนั้น เหมือนเจ้าจะเป็นคนบังคับขืนใจข้า!"

Options

not work with dark mode
Reset