ตอนที่ 119 คำถามของแม่นางสวี
“เลี้ยวซ้าย…จากนั้นเลี้ยวขวา”
“ตรงไป…”
เสียงของสวีชิงเยี่ยนดังในเส้นทางภูเขาแคบ
พินิจเหมันต์ฟันฝ่าทุกขวากหนาม เปลี่ยนเส้นทางได้ทันเวลา หลังผ่านการต่อสู้เมื่อครู่ หนิงอี้ก็มั่นใจว่าเด็กสาวข้างหลังแม่นยำในเส้นทางกว่าตน เรื่องหนีและหลบในภูเขาแดงยกให้นางได้
เพียงแต่มีเรื่องที่โชคไม่ดีอย่างยิ่ง…
สติของหนิงอี้พร่าเลือนไปทีละนิด
เริ่มตั้งแต่สู้ตายกับนกกระจอกเงิน สู้กับหานเยวีย จนกระบี่นั้นที่ฟันยอดปีศาจหนุ่มในภูเขาแดง…หนิงอี้เสียกำลังวังชามากเกินขีดจำกัดแล้ว
หากไม่ใช่เพราะจิตใจที่เข้มแข็งค้ำจุนกายเนื้อของตนไว้ตลอด เด็กหนุ่มคงล้มบนที่ราบภูเขาแดงไปนานแล้ว
กระบี่ส่งเสียงร้องลากยาว
เด็กสาวกอดหนิงอี้ไว้จากข้างหลัง นางเหมือนรู้สึกผิดปกติกับตัวเด็กหนุ่ม กระบี่นี้บินกลางหินผาอย่างรวดเร็ว แต่โคลงเคลง ขึ้นลงไม่แน่นอน กระโดดขึ้นลงติดต่อกันหลายครั้ง เหมือนเจอคลื่นกลางอากาศ
หนิงอี้มีสีหน้าอ่อนแรงมาก กระบี่สั่นไหวไม่หยุด กำลังเตือนเขาว่าอย่าล้มลงที่นี่
หนิงอี้เรียกสติกลับมา พูดด้วยรอยยิ้ม “แม่นางสวี เราพบกันอีกแล้วนะ…”
เงียบ
“ไม่นึกเลยว่าจะเจอกันแบบนี้” น้ำเสียงหนิงอี้มีความแหบสามส่วน เขาจ้องเส้นทางภูเขาข้างหน้า ยิ้มด้วยความเหนื่อยล้า “เราจะไปแดนต้องห้ามบุพกาลกันรึ”
ภูเขาแดงเป็นเขตต้องห้ามลึกสุดของปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณ สององค์ชายต้าสุยเปิดแดนต้องห้ามบุพกาล ปรากฏการณ์นั้นที่เกิดขึ้นกลางอากาศ ตอนแรกหนิงอี้ก็เห็นเช่นกัน ต้นตอของปรากฏการณ์นั้น แหล่งที่ตั้งของเขตต้องห้ามบุพกาล…ก็คือทิศทางนี้
สวีชิงเยี่ยนตอบอืมเสียงเบามาก นางกอดเอวหนิงอี้ไว้แน่น
นางไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
ดังนั้นเด็กหนุ่มข้างหน้าจึงหยุดพูด
กระบี่บินของสองคนโคลงเคลง ความเร็วช้าลงเรื่อยๆ
พินิจเหมันต์สั่นไหว
ตัวเด็กหนุ่มเอนไปข้างหน้า
ทะเลสาบจิตของหนิงอี้เป็นน้ำแข็งขึ้นทีละนิด ไม่ใช่แบบสดใสเหมือนก่อนอีก เขาใช้ทุกอย่างเกินขีดจำกัด ไม่ว่าจะแสงดาราหรือความเป็นเทพ หากวางในจวนของตน เกรงว่าคงจะหลับไปนานแล้ว ที่ขี่กระบี่บินมาจนถึงตอนนี้ก็เพราะอาศัยจิตใจที่ไม่ใช่ของคน
เสียงหนึ่งดังขึ้นในทะเลสาบจิต เลือนราง
“คุณชายหนิงอี้…”
เป็นเสียงของเด็กสาว น้ำเสียงมีความร้อนใจและกังวลเสี้ยวหนึ่ง
หนิงอี้พยายามเบิกตาสองข้าง ความเหนื่อยล้าและง่วงงุนหลั่งไหลเข้าหัวใจอย่างไร้การควบคุม หนังตาเหมือนหนักพันชั่ง เขาสั่นศีรษะถึงเรียกสติกลับมาได้พริบตาหนึ่ง
กระแสอบอุ่นไหลมาจากแผ่นหลัง
ตันเถียนเหือดแห้งได้รับความชุ่มชื่น ทะเลสาบจิตเยือกแข็งเริ่มละลายอีกครั้ง
เด็กสาวคนนั้นคือฝนของทุกคนบนโลก
หนิงอี้คลึงแก้ม สถานการณ์ของเขาดีขึ้นเล็กน้อย แม้จะยังไม่จนตรอก แต่ก็ใกล้แล้ว สีหน้าเขายังคงยืนหยัดได้ แต่กายเนื้อทนไม่ไหวแล้วจริงๆ
“แม่นางสวี…เจ้าถามคำถามข้าได้” หนิงอี้จ้องไปข้างหน้า เขาพยายามรวมสมาธิ กระบี่บินกลับมามั่นคงอีกครั้ง ลากผ่านอากาศ พุ่งไปในทิศทางที่แน่นอน
ถามคำถามก็เพื่อให้เขายังมีสติ
ก็เหมือนมนุษย์ในวันหิมะตกหนัก หนาวจนสะลึมสะลือจะหลับ หากหลับไปเช่นนี้ก็จะหลับไปชั่วนิรันดร์
หนิงอี้ที่ถูกยอดปีศาจหนุ่มนั่นรวมถึงหานเยวียล่าสังหารรู้ถึงผลของการหลับไปของตน ผลลัพธ์ที่ดีหน่อยคือถูกยอดปีศาจกิน ผลลัพธ์ที่แย่กว่าคือถูกหานเยวียจับไปหล่อหลอม
เขาต้องมีสติไว้
แม่นางสวีที่กอดหลังหนิงอี้ลังเลอยู่นานมาก เหมือนไม่รู้ว่าจะถามอะไร
“คุณชายหนิงอี้…” สวีชิงเยี่ยนก้มหน้าลง พูด “ถามอะไรก็ได้หรือ”
หนิงอี้หลุดหัวเราะ “ถามอะไรก็ได้”
“คุณชายหนิงอี้…จากนี้ข้าเรียกเจ้าว่าหนิงอี้ ได้หรือไม่”
ไม่อยากเชื่อว่านางจะถามคำถามนี้
หนิงอี้รู้สึกขำเล็กน้อย
เขาตอบอืมอย่างจริงจัง ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ที่น่าเศร้าอย่างยิ่งดังมาจากข้างหลัง
“หนิงอี้”
สวีชิงเยี่ยนเอาแก้มแนบกับแผ่นหลังเด็กหนุ่ม หรี่ดวงตาแคบยาว พูดอย่างนุ่มนวล “ได้เจอเจ้าอีกครั้ง ข้า…ข้าดีใจมากจริงๆ ข้าเขียนจดหมายหาเจ้าไปเยอะมาก พวกเขาได้ส่งไปถึงจวนเจ้าหรือไม่”
หนิงอี้นิ่งอึ้ง
นี่ไม่ใช่คำพูดแนว ‘คำถาม’ แต่กลับทำให้หนิงอี้ไม่อ่อนล้าขนาดนั้นอีก
การต่อสู้ที่ตรอกฝนพรำ…เกิดขึ้นเพราะจดหมายฉบับหนึ่ง
ไป๋ฉี่หยวนหมอใต้บัญชาองค์ชายสามมาที่จวนหนิงอี้ ส่งจดหมายของสวีชิงเยี่ยน เนื้อความในจดหมายเป็นเรื่องในอดีตระหว่างสหาย เอ่ยคิดถึงกันเล็กน้อย
หนิงอี้ไม่ได้คิดอะไรอื่นกับแม่นางสวีที่เกิดมาสร้างความตกใจกับคนสวรรค์…เขาคิดว่านางงดงามเกินไป จิตใจก็บริสุทธิ์เกินไป ไม่ใช่คนโลกเดียวกับตน
ดังนั้นจดหมายนั้น หนิงอี้มองว่าเป็นการพูดคุยกันระหว่างสหาย ตอนนั้นเขาตกใจมากที่แม่นางสวียังจำตนได้ และที่น่าตกใจกว่านั้นคือ…คำพูดของสวีชิงเยี่ยนตอนนี้
‘ข้าเขียนจดหมายหาเจ้าเยอะมาก’
คำพูดนี้ทำให้หนิงอี้เงียบลง ดูท่าที่องค์ชายสามอยากจะสังหารตนคงได้เหตุผลที่สมควรแล้ว เป็นเพราะจดหมายที่ส่งมาที่จวนตนเพียงฉบับเดียว
หนิงอี้เข้าใจความเจ็บปวดนี้ของเด็กสาว เป็นนกกระจอกในกรงแดนประจิม นางไม่ได้เห็นแสงตะวันมาสิบกว่าปี คนเดียวที่ให้แสงสว่างนางชั่วคราวก็คือตน
ดังนั้นสวีชิงเยี่ยนจึงมองตนเป็นสหาย เป็นคนเดียวที่ระบายความเจ็บปวดและกลัดกลุ้มได้ ชีวิตในเมืองหลวงก็เขียนจดหมายให้ตนมากมาย…จดหมายพวกนั้นไม่ถึงมือหนิงอี้ เพียงแต่เลือกจดหมายที่ธรรมดาที่สุดในนั้น ฉบับอื่นคงถูกองค์ชายสามอ่านแล้วก็เผาไปแล้ว
ความริษยาและเคียดแค้นเป็นสหายของมนุษย์ตลอดกาล
หนิงอี้พลันรู้สึกขำนิดๆ…ตอนหลี่ไป๋หลินมองตน ทุกครั้งจะมีความรู้สึกนี้ ตนมีฐานะต่ำต้อยแต่กลับชิง ‘ของ’ ที่เขาต้องการแต่ไม่ได้มานั้นไปครั้งแล้วครั้งเล่า
หนิงอี้เม้มริมฝีปาก พูดด้วยรอยยิ้ม “ตอนแรกข้าคิดว่าเจ้าจะลืมข้าไปแล้ว…”
เด็กสาวพูดด้วยความตกใจ “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร”
รู้สึกได้ว่ากระบี่บินใต้เท้าเริ่มมั่นคง
เสียงของสวีชิงเยี่ยนก็มั่นคงขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
นางพูดเสียงเบาและระมัดระวัง
“เมื่อก่อนพี่เคยบอกข้าว่า คนหนึ่งมีชีวิตอยู่บนโลก มีเพียงสองสามช่วงเวลาที่สำคัญ มีเพียงคนเดียวที่สำคัญ สิ่งที่ควรคว้าไว้ก็ต้องคว้าไว้ให้ได้”
หนิงอี้ได้ยินดังนั้นพลันเงียบไปเล็กน้อย
เขาถามเสียงแหบ “เจ้าคิดว่าข้าสำคัญกับเจ้ามากรึ”
สวีชิงเยี่ยนตอบอืมเสียงเบา
ตัวกระบี่พินิจเหมันต์เล็กมาก ภายใต้วิชาคุมกระบี่ สองคนได้แต่เบียดกัน
นางหน้าแดงเล็กน้อย “คุณชายหนิงอี้ ข้าลืมเจ้าได้ยากมาก พี่ข้าบอกว่า…คนที่ลืมไม่ลงก็คือคนสำคัญ”
หนิงอี้ปลงอนิจจังในใจ เขาไม่อาจลืมแม่นางแซ่สวีคนนี้ได้ เพราะสวีชิงเยี่ยนงดงามยิ่งนัก…แต่แม่นางสวีคนนี้จำตนได้ เพราะแม่นางสวีคนนี้ อยู่ในอารามรู้กรรมมาตลอด เคยพบแค่ตน
“พี่เจ้าไม่ได้พูดถูกทั้งหมด” หนิงอี้ถอนหายใจยาว “คนที่ลืมไม่ลง ไม่ใช่แค่คนสำคัญที่ต้องคว้าไว้ แต่ยังมีศัตรูที่อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ อย่างเช่น…ตอนนี้ข้าลืมสององค์ชายนั่นในภูเขาแดงไม่ลง อยากจะเอาพินิจเหมันต์ระเบิดหัวพวกมันใจจะขาด”
“อีกอย่าง พี่เจ้าก็ไม่ใช่คนดีอะไร…” หนิงอี้พูดจบก็รู้ตัวว่าตนเหมือนจะไม่ควรตัดสินสวีชิงเค่อเช่นนี้ จึงหันไปมองใบหน้าสวีชิงเยี่ยนทันที
ใบหน้างดงามนั้นคลุมเครือไม่แน่นอน แต่ที่มากกว่านั้นคือความเสียใจ
“ไม่ใช่เช่นนั้น…”
ตอนสวีชิงเยี่ยนเอ่ยขึ้น เสียงเบามาก และยังเบาลงเรื่อยๆ
“ตอนเด็ก พี่เจาะรูกำแพงพาข้าไปดูละคร เขาตอนนั้นเป็นคนดีมาก มีของกินจะให้ข้ากินก่อน เสื้อก็ให้ข้าใส่ก่อน ไม่ให้ข้าหนาว ไม่ให้หิว…ชีวิตตอนนั้นลำบากมาก แต่สำหรับข้า จากนี้เขาจะดีขึ้นเรื่อยๆ เรื่องราวในโลกมักจะเป็นต้นร้ายปลายดีเสมอ ลำบากในความลำบาก ถึงจะเป็นคนเหนือคน”
นางอยากแก้ต่างให้สวีชิงเค่อ
หลายปีมานี้ ความลำบากที่นางเผชิญไม่ได้ลดลงเลย แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีความเคียดแค้น
“พี่เจ้าหลอกเจ้า”
หนิงอี้เอ่ยราบเรียบ “คนเรามักจะบอกว่าลำบากในลำบากถึงจะเป็นคนเหนือคน ข้าไม่อยากเป็นคนเหนือคน แต่ความลำบากในโลกนี้ก็ไม่เคยปล่อยข้าไปเช่นกัน”
สวีชิงเยี่ยนเงียบลง
ตอนหนิงอี้พูด กลับปรากฏเป็นอีกภาพในความคิด เมื่อนานมาแล้ว เขาแบกเด็กสาวเดินทางยามค่ำคืน เดินผ่านแม่น้ำ ฝ่าหิมะ ไปสุสาน ไปล่าสัตว์ป่า
ชีวิตลำบากมาก…เขาไม่รู้ว่าชีวิตเช่นนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อไร แต่เขารู้ว่าหากมีวันหนึ่ง ให้เขายกเด็กสาวให้ราชวงศ์ต้าสุย แลกกับอนาคตอันสวยงาม หนิงอี้จะปฏิเสธแน่นอน
เขายอมลำบากเช่นนี้ต่อไป สิบปียี่สิบปีจนตลอดชีวิต
“สวีชิงเค่อเป็นจอมวางแผนอันดับหนึ่งแดนประจิม เขาเป็นคนเก่งมากจริงๆ จุดนี้ได้รับการยอมรับทั้งเมืองหลวงแล้ว” หนิงอี้เอ่ยนิ่งๆ “แผนการที่เขาวางให้แดนประจิมในตอนนั้นลอยมาเหนือน้ำทีละอย่างแล้ว หอบัวมีบัณฑิตประเมินเขา กลอุบายฟ้าแลบ เป็นตายไม่สนใจ ยอมจ่ายทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมาย คนบ้าเช่นนี้ ยอมสละชีวิตตัวเองเพื่อเป้าหมายตัวเอง ไม่มีใครรู้ว่าสวีชิงเค่อจะทำอะไร…แต่มีอย่างหนึ่งที่ไม่ต้องสงสัยเลย เขาไม่สนใจแม้แต่ชีวิตตัวเอง แล้วนับประสาอะไรกับชีวิตเจ้า”
แววตาสวีชิงเยี่ยนมืดลงทีละนิด นางพูดงึมงำ “พี่ข้าเปลี่ยนไปแล้ว…ตอนนี้ข้าไม่รู้จักเขาแล้ว ก่อนหน้านี้เขาไม่ใช่แบบนี้เลย”
หนิงอี้จัดระเบียบความคิด
เขาพูดอย่างจริงจัง “หากวันหนึ่งเจ้าต้องเลือก เจ้าจะเลือกอย่างไร”
เจตนาเดิมของหนิงอี้คือให้สวีชิงเยี่ยนเลือกระหว่างอิสระในอนาคตกับอยู่ใต้การควบคุมของพี่ชาย
แต่ไม่นึกเลยว่า
สวีชิงเยี่ยนจะพูดอย่างจริงจัง “ข้าจะเลือก…ยืนอยู่ข้างหลังเจ้า”
……………………………….