ตอนพิเศษ 6-1 จูบแรก
ภาพที่เกิดขึ้นทำให้ทุกคนที่เห็นถึงกับตะลึงค้าง
เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น เจ้าเด็กอ้วนหรงนั่นฆ่าเสือดำตายได้เลยหรือ
ช้าก่อน เจ้าเสือดำตัวนั้นตายแล้วก็แล้วไปเถิด แต่เหตุใดกระทั่งระฆังสัมฤทธิ์ก็ยังแตกสลายไปด้วย ซ้ำยังแตกจนไม่เหลือชิ้นดีเลยเสียอีก!
หรือว่าพลังของกริชเล่มนั้นยิ่งใหญ่มากกระทั่งสามารถสะท้อนให้อาวุธวิเศษเช่นนี้ให้แตกสลายได้เลยเชียวหรือ
เด็กสาวรากปราณสวรรค์เป็นคนที่ตกตะลึงหนักที่สุด เพราะนอกจากนางแล้วไม่มีใครรู้ว่าระฆังสัมฤทธิ์นี้ร้ายกาจเพียงใด อาวุธวิเศษชั้นเลิศชิ้นนี้สามารถป้องกันสัตว์ร้ายขั้นเก้าได้ถึงหนึ่งชั่วยามเชียวนะ ไม่มีทางแตกสลายง่ายๆ แน่นอน แต่ความจริงที่อยู่ตรงหน้า กำลังบอกนางว่าทั้งหมดนางไม่ได้ฝันไป
ระฆังทองแตกไปแล้วจริงๆ
ด้วยอารามตกใจอย่างหนักหน่วง ทำให้นางไม่สนใจเรื่องที่ศิษย์ใหม่คนหนึ่งถึงขั้นสังหารเสือดำขั้นห้าตัวหนึ่งได้
อีกด้านหนึ่ง ศิษย์พี่อวี๋ก็ต่อสู้เรียบร้อยแล้วและกำลังรีบมาทางนี้
ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะต่อสู้เสร็จ เขาได้ยินเสียงคำรามของสัตว์อสูรแล้ว หลังจากอันธพาลทั้งห้าวิ่งหนีไปแล้ว เขาก็เหาะกระบี่ออกไปทันที
การเหาะกระบี่ยามลงจากเขาเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง เพราะถึงอย่างไรด้านล่างเขามีไอปราณอยู่ไม่มาก มีแต่ใช้ออกไม่มีเก็บเข้า ลูกศิษย์ที่ฝึกขั้นพื้นฐานยังไม่อาจเก็บพลังปราณไว้ในร่างกายจำนวนมากได้ เขาใช้พลังปราณไปกับการเหาะกระบี่กว่าครึ่ง หากเจ้าห้าคนนั้นวกกลับมาอีก น่ากลัวว่าเขาคงไม่เหลือพลังปราณไปต่อสู้แล้ว
โชคดีที่เจ้าห้าคนนั้นหนีหายไปเลยจริงๆ
ศิษย์พี่อวี๋ไปถึงจุดที่ลูกศิษย์ใหม่อยู่ด้วยความเร็วสูงสุด เขาถึงขั้นเตรียมพร้อมที่จะฟาดฟันกับเสือดำขั้นห้าไว้แล้ว แต่กลายเป็นว่าพอเขาเพ่งสายตามอง เสือดำตัวนั้นกลับตายไปแล้ว
แน่นอนว่าระฆังทองก็แตกแล้วเช่นกัน เพียงแต่เมื่อแตกละเอียดเช่นนั้นเขาจึงแทบมองไม่ออกว่านั่นเป็นระฆังทอง
เขาหันไปมองกริชที่ปักอยู่ตรงหน้าอกเสือดำ ท่าทางดูไม่อยากเชื่อว่าอาวุธที่อาจารย์ให้เขาในตอนนั้นจะมีอานุภาพเพียงนี้ อาจารย์ทุ่มเทให้เขามากจริงๆ
แต่ไม่นานเขาก็ได้พบว่า เจ้าของกริชคนใหม่… หลิงจือไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย เขาพลันขมวดคิ้ว “หลิงจือเล่า?”
พวกเขายกมือชี้ไปยังแม่น้ำที่เชี่ยวกราก
เขาเหาะกระบี่ไปตรงนั้นอีกครั้ง แล้วช่วยหลิงจือออกจากถ้ำตรงหน้าผา
บนตัวหลิงจือมีแผลถลอกเล็กน้อย นอกจากนั้นแล้วไม่ได้เป็นอะไรมาก
ตอนเขาพาหลิงจือกลับมาสมทบกับทุกคน คุณชายน้อยหรงก็สลบไปเสียแล้ว ตกใจจนสลบไปเลยจริงๆ
ศิษย์พี่อวี๋ควักเอาเม็ดเน่ยตันของเสือดำออกมา เอาตัวคุณชายน้อยหรงขึ้นหลัง “ที่นี่ไม่เหมาะจะอยู่นาน ทุกคนรีบกลับสำนักเชียนหลันเถิด”
ศิษย์ใหม่ทุกคนรีบตามศิษย์พี่อวี๋ไป
เด็กสาวรากปราณสวรรค์รู้สึกตงิดใจกับเรื่องในวันนี้ แต่นางก็อธิบายไม่ถูกว่าเพราะเหตุใด
“หลิงจือ ปวดฉี่” อยู่ๆ เฉียวเวยเวยก็จับก้นพลางเอ่ยขึ้นมา
หลิงจือกลัวว่าคนพวกนั้นจะตามกลับมาจึงเอ่ยเสียงเบาว่า “จะฉี่เดี๋ยวนี้หรือ ทนหน่อยได้หรือไม่”
ใบหน้าน้อยๆ ของเฉียวเวยเวยแดงก่ำ “ทนไม่ไหวแล้ว”
หลิงจือหันมองไปรอบๆ นางเห็นพุ่มไม้กลุ่มหนึ่งจึงอุ้มเฉียวเวยเวยเดินไป
สายตาของเด็กสาวรากปราณสวรรค์มองไปยังศีรษะน้อยๆ ที่โผล่พ้นพุ่มไม้ขึ้นมา ในที่สุดนางก็คิดออกแล้วว่าเรื่องในวันนี้มีตรงใดประหลาด!
เกิดเรื่องใหญ่เพียงนี้ขึ้น ทุกคนขวัญผวากันหมด กระทั่งสีหน้าหลิงจือยังซีดเผือด แต่เจ้าเด็กที่เกือบถูกเสือดำกินเข้าไปนั่นกลับไม่ร้องไห้เลยสักแอะ เห็นได้ชัดว่า…เป็นคนที่สงบนิ่งที่สุดในบรรดาพวกเขาทุกคน
หากจะบอกว่านางเก่งกาจเหลือแสนนั้น เด็กสาวรากปราณสวรรค์ไม่มีทางเชื่อ นางเคยได้ยินเมื่อก่อนหน้านี้ว่าน้องสาวของหลิงจือเป็นเด็กไร้ประโยชน์ที่ไม่มีกระทั่งรากปราณด้วยซ้ำ
เด็กสาวรากปราณสวรรค์นึกถึงภาพตอนที่นางกอดหอมพัดทองนั่นอีกครั้ง แล้วอดพึมพำไม่ได้ว่า “ไม่ใช่เด็กไม่รู้ประสาคนหนึ่งหรือ”
หลิงจือก็เป็นห่วงว่าเฉียวเวยเวยจะขวัญเสีย แต่ดูจากท่าทางของเฉียวเวยเวยแล้ว ดูเหมือนนางจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
หลิงจือไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอะไรกับเรื่องนี้ อย่างคำกล่าวที่ว่าลูกวัวไม่กลัวเสือ เฉียวเวยเวยยังเด็ก ไม่รู้จักสัตว์อสูรเหล่านั้น ไม่รู้ว่ามันกินคนได้ จะไม่กลัวก็ไม่แปลกอะไร
ยิ่งไปกว่านั้นพวกนางเป็นเด็กที่โตมาในป่า ใช่คนขวัญอ่อนเช่นนั้นเมื่อไรกัน
สาวใช้ของเด็กสาวรากปราณสวรรค์ร้องไห้กระซิกๆ ไปตลอดทาง ถึงขั้นบอกว่าคุณหนูส่งข้ากลับลั่วหยางเถิด…
…
หลังจากศิษย์พี่อวี๋กลับไปถึงสำนักเชียนหลันแล้ว เขาก็รีบแจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นด้านล่างเขาแก่สำนักทันที
การมีคนอันธพาลพาสัตว์อสูรขั้นห้าเข้าออกแถวนั้น มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นอันตรายต่อชาวบ้านทั่วไป สำนักจึงรีบส่งยอดฝีมือขั้นประสานเม็ดตันสองคนออกไปทันที เริ่มด้วยการจับกุมอันธพาลที่ทำเรื่องเลวร้าย หากขัดขืนก็ให้กำจัดได้ทันที
เรื่องสังหารเสือดำขั้นห้าทำให้คุณชายน้อยหรงเป็นที่โจษจันอีกครั้ง นี่นับว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่ไม่เคยพานพบในร้อยปีจริงๆ ในขณะที่คนอื่นยังยั่วยุสัตว์อสูรขั้นสองไม่ได้เลยนั้น เขาถึงขั้นสังหารขั้นห้าได้แล้ว
ผู้ดูแลหลิวก็เป็นที่โจษจันเช่นกัน เพราะถึงอย่างไรอาวุธวิเศษนั่นก็เป็นของที่เขาทำขึ้นกับมือ บนอาวุธนั้นยังผนึกพลังปราณส่วนหนึ่งของเขาเอาไว้ ไม่ได้มีอยู่มากนัก แต่กระนั้นก็ถึงขั้นทำให้อาวุธวิเศษชั้นยอดอย่างระฆังทองสะเทือนจนแตกสลายได้
ในเวลานั้นคนที่ไปหาผู้ดูแลหลิวเพื่อขอให้ทำอาวุธวิเศษให้จึงเข้าออกเรือนเขาจนธรณีประตูแทบทรุดเลยทีเดียว
แน่นอนว่านั่นเป็นเรื่องหลังจากนั้น เวลานี้เรื่องที่ระฆังทองแตกละเอียดยังไม่ได้เป็นที่รู้กันทั่ว มีเพียงคนที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้
เด็กสาวรากปราณสวรรค์หลังจากกลับไปยังที่พักของตนบนยอดเขาแล้ว นางก็ตรงไปหาผู้พิทักษ์รองเพื่อคารวะผู้อาวุโสของตน
จิตใจนางอยู่ในภาวะห่อเหี่ยวเล็กน้อย
ผู้พิทักษ์รองได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นจากอวี๋เจี๋ยแล้ว จึงเข้าใจว่าที่นางรู้สึกไม่ดีด้วยเรื่องอันใด จึงเอ่ยปลอบว่า “ถึงแม้คนที่ฆ่าเสือดำตัวนั้นได้จะไม่ใช่เจ้า แต่เจ้าก็ปกป้องลูกศิษย์ใหม่เอาไว้ได้หลายคน จึงมีความชอบไม่อาจเมินเฉย”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์หลุบตาเอ่ยว่า “ข้าก็รีบร้อนเกินไป ข้าควรรอให้ทุกคนมาอยู่ด้วยกันก่อนแล้วค่อยเอาระฆังทองออกมา”
คำพูดนี้พูดไปเพื่อกล่าวโทษตนเองที่เกือบทำให้คุณชายน้อยหรงกับน้องสาวของหลิงจือต้องเสียชีวิตหรือเพราะไม่พอใจที่ตนให้โอกาสคุณชายน้อยหรงได้สร้างชื่อ เกรงว่าคงมีนางเท่านั้นที่รู้
ผู้พิทักษ์รองบอกไปตามตรง “เจ้ารับมือมันไม่ได้หรอก”
เมื่อถูกพูดจี้ใจดำ เด็กสาวรากปราณสวรรค์จึงกำมือแน่น