ตอนพิเศษ 5-2
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ได้สบกับสายตาที่เต็มไปด้วยไอมารโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ใจนางพลันกระตุก กะพริบตาปริบๆ พอหันไปมองอีกที อีกฝ่ายก็ก้มหน้าลงไปกอดหอมพัดในมือตนต่อแล้ว
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ดื่มชาไปอึกหนึ่ง นางคงตาฝาดไปเอง เด็กคนหนึ่งจะมีสายตาที่น่ากลัวเพียงนั้นได้อย่างไร
“คุณหนู พวกเรากลับกันเถิด นี่ก็สายมากแล้ว” สาวใช้เอ่ยเตือน
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ไม่มีอารมณ์จะอยู่ต่อแล้วจริงๆ นางโยนเงินทิ้งไว้ก่อนหนึ่งแล้วพาสาวใช้เดินลงไปโดยไม่รอเงินทอน
ตอนนางเดินไปถึงรถม้า สารถีบอกนางด้วยสีหน้าเคร่งเครียดบอกว่า ไม่รู้ฝีมือไอ้ตัวดีที่ไหน ข้าไปปลดทุกข์เดี๋ยวเดียว กลับมาอีกทีบังเหียนม้าก็ถูกตัดเสียแล้ว
สาวใช้เอ่ยตะคอกว่า “ไม่มีรถม้าแล้วเจ้าจะให้คุณหนูข้ากลับอย่างไร”
สารถีบอกว่า “ข้าไปหาเช่าจากในเมืองมาอีกคันดีหรือไม่”
สาวใช้เอ่ยเสียงดุ “คุณหนูข้าร่างกายสูงค่าเช่นนี้ จะให้นั่งรถม้าของผู้อื่นได้อย่างไร”
สีหน้าเด็กสาวดูไม่สู้พอใจนัก
หลิงจือก็กำลังจะกลับเช่นกัน หลิงจือหันไปเห็นเพื่อนบ้านที่อยู่ตรงปากตรอกก็พยักหน้าให้เป็นการทักทาย เสร็จก็จูงมือเฉียวเวยเวยออกเดินไป
เฉียวเวยเวยกอดพัดทองไว้แน่น หอมแล้วก็หอมอีกไม่ยอมวาง
เมื่อไม่มีรถม้า เด็กสาวก็จำต้องเดินเท้ากลับเช่นกัน เวลานี้จึงเดินไปทางเดียวกับพวกหลิงจือ
ศิษย์พี่อวี๋ก็อยู่ด้วย
พวกเขาไม่ได้พูดคุยกันมากนัก แค่เพียงเดินกันไปเงียบๆ จนกระทั่งออกจากเมืองอวี้เหอ ตอนเดินผ่านซอกเขาเล็กแคบ อยู่ๆ ข้างหน้าก็มีเสียงดังเอะอะลอยมา พอพวกเขาเพ่งสายตามองก็เห็นว่าเป็นลูกศิษย์ใหม่ของสำนักเชียนหลัน กำลังถูกอันธพาลกลุ่มหนึ่งขวางไว้
พวกอันธพาลมีกันห้าคน แต่ละคนฝึกตนจนมีพื้นฐานขั้นกลางกันแล้ว ส่วนเจ้าเด็กใหม่สามคนนี้นอกจากคุณชายน้อยหรงแล้ว อีกสองคนที่เหลือรากปราณยังงอกมาไม่ถึงครึ่งส่วนด้วยซ้ำ มิน่าเล่าถึงถูกคนเหล่านี้ล้อมไว้จนหนีไปไหนไม่ได้
“ผู้ใดกันบังอาจก่อเรื่องในถิ่นของสำนักเชียนหลันเช่นนี้”
ศิษย์พี่อวี๋ตะคอกเสียงเข้ม พวกคุณชายน้อยหรงหันมาเห็นพวกเขาก็คล้ายเห็นดาวช่วยชีวิต ชักเท้าวิ่งเข้าไปหาศิษย์พี่อวี๋ทันที
“ศิษย์พี่อวี๋ ศิษย์พี่อวี๋ พวกเขาหมายจะขโมยศิลาศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา!” ศิษย์ใหม่คนหนึ่งบอกอย่างน่าสงสาร
คุณชายน้อยหรงถลึงตาดุใส่คนพูด “เจ้าโง่เอ๋ย! เรื่องเช่นนี้ยังกล้ากล่าวกับผู้อื่นอีกหรือ!”
แล้วก็เป็นดังคาด ศิษย์พี่อวี๋ได้ยินที่ศิษย์ใหม่ผู้นั้นเอ่ยสีหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นดุดัน “ใครอนุญาตให้พวกเจ้าซื้อศิลาศักดิ์สิทธิ์ไปใช้ส่วนตัวกัน”
ศิลาศักดิ์สิทธิ์เป็นเช่นเดียวกับยารวมปราณ ล้วนให้พลังปราณกับผู้ฝึกตนเช่นเดียวกัน ผลของมันแตกต่างไปตามลำดับขั้นของของสิ่งนั้น มีศิลาศักดิ์สิทธิ์ชั้นดีบางก้อนที่ให้ผลลัพธ์ดีกว่ายารวมปราณเสียอีก แต่ศิลาศักดิ์สิทธิ์มีสิ่งเจือปนอยู่มาก ลูกศิษย์เหล่านี้ยังไม่ได้เรียนรู้วิธีการดูดซับพลังจากศิลาศักดิ์สิทธิ์ การซื้อกลับไปใช้เช่นนี้มีโอกาสสูงที่จะดูดซับสิ่งเจือปนในศิลาศักดิ์สิทธิ์เข้าไปด้วย ซึ่งนี่สำหรับรากปราณแล้วไม่เพียงแต่เป็นเรื่องไม่ดี กลับยังเป็นผลร้ายอย่างมากอีกด้วย
ดังนั้นที่เรือนลูกศิษย์ใหม่จึงมีป้ายปิดเตือนว่า… ห้ามซื้อหรือใช้งานศิลาศักดิ์สิทธิ์โดยเด็ดขาด
“เหตุใดเจ้าถึงอยากซื้อมันด้วย” ศิษย์พี่อวี๋หันไปมองคุณชายน้อยหรง
คุณชายน้อยหรงส่ายหน้า ไม่กล้าบอกว่าตนถูกหลอกมา เช่นนั้นขายหน้าเกินไป
ทางด้านนี้ศิษย์พี่อวี๋กำลังถามความอยู่ อีกด้านหนึ่งบุรุษหนวดเครารุงรังห้าคนก็เดินเข้ามาพร้อมประสงค์ร้าย
บุรุษที่เป็นหัวหน้ากวาดตามองพวกเขาทีหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยความยินดีว่า “วันนี้โชคไม่เลวเลยนะ ถึงกับมีรากปราณสวรรค์กับรากปราณน้ำเลยทีเดียว”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์มองคนเหล่านั้นด้วยสายตารังเกียจ
หลิงจือเอาตัวเฉียวเวยเวยไปหลบไว้ด้านหลังตน
ลูกศิษย์ใหม่ยังรู้จักโลกไม่มาก ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่ศิษย์พี่อวี๋กลับพอเดาออก คนเหล่านี้ล้วนเป็นอันธพาลที่ถูกสำนักฝ่ายธรรมะขับไล่ออกมาทั้งสิ้น พวกเขาไม่เดินทางสายธรรมะ ตั้งใจทำแต่เรื่องสมคบคิดที่น่าอับอาย การฝึกก็หูตามืดบอด ใช้แต่หนทางลัด
เด็กสาวที่มีรากปราณสวรรค์ล้วนเป็นเตาหลอมโดยกำเนิด ยิ่งคุณภาพของรากปราณดีเท่าไร ผลลัพธ์ที่ได้ก็ยิ่งมากเท่านั้น คนกลุ่มนี้เห็นได้ชัดว่าหมายตาในหลิงจือกับเด็กสาวรากปราณสวรรค์ไว้ คิดอยากหลอมพวกนางให้เป็นเตาเผา เพื่อเลื่อนระดับการฝึกของตน
ศิษย์พี่อวี๋บอกว่า “กระทั่งคนของสำนักเชียนหลันยังกล้าแตะต้อง พวกเจ้ารู้หรือไม่ผลที่ตามมาเป็นเช่นไร”
บุรุษผู้เป็นหัวหน้าบอกว่า “ผลที่ตามมาอะไรกัน สังหารพวกเจ้า สำนักเชียนหลันจะรู้เรื่อว่าเกิดอะไรขึ้น”
ในเมื่อกล่าวถึงขั้นนี้แล้ว การต่อสู้อันดุเดือดคงยากจะหลบเลี่ยง
คนเหล่านี้เป็นเช่นเดียวกับศิษย์พี่อวี๋คือมีพื้นฐานการฝึกตนที่มั่นคงแล้ว แต่พวกเขามีกันหลายคนกว่า หากสู้กันขึ้นมาคงตึงมือไม่น้อย
ศิษย์พี่อวี๋เอ่ยกับพวกหลิงจือว่า “ข้าจะถ่วงเวลาพวกมันไว้ก่อน ศิษย์อาทั้งสองรีบพาลูกศิษย์ใหม่กลับสำนักเชียนหลันเถิด”
ทั้งสองรู้ดีว่าอยู่ต่อไปมีแต่จะเป็นตัวถ่วง จึงทำตามคำแนะนำของศิษย์พี่อวี๋
หลิงจืออุ้มเฉียวเวยเวย เด็กสาวราปราณสวรรค์จับจูงสาวใช้รีบออกวิ่งไปทางสำนักเชียนหลันพร้อมกับพวกคุณชายน้อยหรง
พวกเขาคิดจะแยกกันตามไป แต่ถูกศิษย์พี่อวี๋ขวางไว้ทั้งหมด
ศิษย์พี่อวี๋ไม่เสียแรงเป็นศิษย์เอกที่มีพรสวรรค์สูงที่สุดของหัวหน้าหลิว ต่อให้สู้หนึ่งต่อห้าก็ยังไม่ตกเป็นรอง แต่ที่ศิษย์พี่อวี๋คาดไม่ถึงเสียเลยก็คืออีกฝ่ายยังมีแผนสำรองอยู่อีก!
สัตว์อสูรที่น่ากลัวกว่าสิงโตขาวขั้นสาม… เสือดำวิ่งตรงเข้ามาหาพวกเขา
สัตว์อสูรตัวนี้ขั้นสามเช่นเดียวกัน แต่เจ้าตัวนี้กลับไปถึงจุดสูงสุดของขั้นสาม ใกล้จะทะลุไปถึงขั้นสี่เต็มที สัตว์อสูรระดับนี้คิดจะฉีกเนื้อลูกศิษย์ใหม่สี่ห้าคนนี้เรียกได้ว่าง่ายราวกับปลอกกล้วย
ศิษย์พี่อวี๋ลอบอุทานว่าแย่แล้ว คิดจะเข้าไปสังหารเจ้าเสือดำตัวนั้นแต่กลับติดพันอยู่กับอันธพาลห้าคนนั้นจนไปไหนไม่ได้
หลิงจือเติบโตมาในป่าเขา คุ้นเคยเป็นอย่างดีกับการใช้ประโยชน์จากสภาพทางภูมิศาสตร์ นางเหลือบมองหน้าผากับแม่น้ำอวี้เหอที่อยู่ด้านล่างหน้าผาแห่งนั้น นางส่งตัวเฉียวเวยเวยไปให้คุณชายน้อยหรง “เจ้าพาเฉียวเวยเวยไปก่อน ข้าจะล่อมันไปอีกทาง!”
คุณชายน้อยหรงเอ่ยติดอ่างว่า “เจ้าๆๆๆ… เจ้าล่อมันไปได้หรือ”
“ได้สิ”
ไม่ได้ก็ต้องได้ หากให้เสือดำไล่ตามเช่นนี้ พวกเขาทั้งหมดคงเอาชีวิตไม่รอดแน่
หลิงจือควักกริชจากอกเสื้อมาส่งให้คุณชายน้อยหรงด้วย “นี่เป็นอาวุธวิเศษที่ศิษย์พี่อวี๋ให้ข้ามา สามารถป้องกันการโจมตีของสัตว์อสูรขั้นสามได้หนึ่งครั้ง เจ้าเก็บไว้ป้องกันตัว”
“แต่ว่าๆ…”
หลิงจือไม่รอให้คุณชายน้อยหรงเอ่ยแต่ว่าจบ หลิงจือก็กัดปลายนิ้วตนเอง เช็ดเลือดลงบนตัว จากนั้นก็ร่ายคาถา ใช้วิชาตัวเบาพุ่งตัวไปทางหน้าผา
กลิ่นคาวเลือดจากตัวนางดึงดูดเสือดำตัวนั้นไปได้อย่างรวดเร็ว!
หลิงจือคำนวณระยะห่างไว้อย่างดี หน้าผ้าฝั่งตรงข้ามอยู่สูงเกินไป ด้วยรูปร่างเล็กแกรนของตนนี้ไม่อาจกระโดดข้ามไปได้ ยังดีที่บนหน้าผามีโพรงถ้ำอยู่ หากนางสามารถกระโดดเข้าไปในโพรงถ้ำนั้นได้ก็คงพอมีโอกาสรอด
เพียงแต่การทำเช่นนี้ก็มีความเสี่ยง เพราะถึงอย่างไรโพรงถ้ำนั้นก็เล็กแสนเล็ก หากนางกระโดดเข้าไปไม่ได้ก็คงได้ตกลงไปในแม่น้ำ ส่วนเสือดำนั้นสามารถเลี้ยงตัวในน้ำได้ หากเป็นเช่นนั้นนางคงเอาชีวิตไม่รอดแน่!
เฉียวเวยเวยมองหลิงจือที่ถีบตัวกระโดด สีหน้าสงบนิ่งยิ่งนัก
หลิงจือกระโดดเข้าไปในโพรงถ้ำนั้นสำเร็จ
โพรงถ้ำนั้นเล็กพอดีให้นางมุดเข้าไปได้ ส่วนเสือดาวตัวนั้นแค่หัวก็ใหญ่กว่าโพรงถ้ำนั้นแล้ว มันหัวโหม่งหน้าผาจนมึนงงไปหมด ได้แต่ใช้มือตะกายอากาศตกลงไปในแม่น้ำ
กระแสน้ำของแม่น้ำค่อนข้างเชี่ยว จึงพัดพาเสือดาวตัวนั้นลอยไปทันที
แต่หากคิดว่าแค่เพียงเท่านี้ก็ผ่านพ้นอันตรายได้แล้วกัน ก็คงจะใสซื่อเกินไป
ชั่วขณะที่เสือดำตกลงไปในแม่น้ำ เสือดำอีกตัวหนึ่งที่ดุร้ายยิ่งกว่าก็พุ่งออกมา เสือดำตัวนี้เห็นได้ชัดว่าทะลุขั้นห้าไปแล้ว ความน่าเกรงกลัวที่แผ่เป็นไอออกมาของมันสามารถกดดันศัตรูได้เลยทีเดียว!
สีหน้าเด็กสาวรากปราณสวรรค์พลันถอดสี นางรีบควักระฆังทองขนาดเท่าฝ่ามือออกจากอกเสื้อ ระฆังทองขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนจะหล่นลงมาครอบพวกเขาไว้
นี่เป็นอาวุธวิเศษที่ผู้พิทักษ์รองให้กับเด็กสาวรากปราณสวรรค์ไว้เมื่อวานตอนกลับไปถึงสำนัก เป็นอาวุธประเภทป้องกันตัวเช่นกัน บนระฆังใส่พลังปราณของผู้พิทักษ์รองเอาไว้ จึงไม่จำเป็นต้องใช้พลังปราณของเด็กสาวอีก
เพียงแต่ตอนที่ทั้งหมดวิ่งเข้าไปหาอาวุธวิเศษนั้น คุณชายน้อยหรงกลับสะดุดล้ม กว่าเขาจะอุ้มเฉียวเวยเวยลุกขึ้นมา คิดจะมุดเข้าไปในระฆังอันนั้นก็ช้าไปเสียแล้ว ปากระฆังทองปิดสนิทลงกับพื้นไปแล้ว
เสือดำขั้นห้าวิ่งห้อเข้ามาอย่างดุดัน
“อ๊าๆๆ ทำอย่างไรดี กริชๆๆ… กริช…” คุณชายน้องหรงชักกริชออกมา “เจ้าๆๆๆๆ… เจ้าอยู่ขั้นสามใช่หรือไม่”
ล้อเล่นอะไรกัน นี่คือขั้นห้าโดยแท้จริงต่างหาก! แค่ฝ่ามือเดียวก็ตะปบยอดฝีมือขั้นเริ่มต้นได้แล้ว!
อย่าว่าแต่กริชหนึ่งเล่มนี้เลย ต่อให้มีร้อยเล่มก็ไม่พอ!
ทุกคนไม่อาจทนดูต่อไปได้
“โฮก…”
เสือดำกระโจนเข้าหาคุณชายน้อยหรงอย่างดุดัน
คุณชายน้อยหรงหลับตาปี๋ จับกริชแทงออกไป
เขารู้สึกว่าตนเองคล้ายส่งพลังมหาศาลออกไป เมฆครึ้มเป็นชั้นๆ กดทับลงมา สายน้ำและภูเขาเผือดสี บนท้องฟ้าคล้ายมีมังกรโบยบิน พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างหนัก น้ำในแม่น้ำอวี้เหอก็เกิดเป็นคลื่นสูงหนึ่งร้อยฉื่อ
คุณชายน้อยหรงมีชั่วขณะหนึ่งที่รู้สึกว่าตนหูดับไป!
เขาอยู่ในท่ามือหนึ่งกอดเด็ก อีกมือหนึ่งชูกริชขึ้นสูงอย่างนั้นอยู่พักใหญ่ๆ กว่าสติจะกลับเข้าร่างอีกทีก็ได้พบว่าเสือดำขั้นห้าตัวนั้นล้มลงกับพื้น สิ้นใจตายไปแล้ว
นี่ยังไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจที่สุด
แคร๊ก!
ด้านหลังเขา ระฆังทองที่สามารถป้องกันสัตว์อสูรขั้นเก้าได้หนึ่งชั่วยาม จู่ๆ ก็ส่งเสียงปริแตกออกเป็นทาง รอยแตกนั้นยาวขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งส่งเพล้งและแตกออกไปเสี่ยงๆ!