ลำแสงพุ่งผ่านท้องฟ้าด้วยความเร็วสูงจนน่าตกใจ เกิดเป็นเสียงระเบิดดังลั่นจนหูแทบแตก
แสงนั้นพุ่งออกจากนครหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่ว แล้วมุ่งหน้าผ่านอีกหลายเมืองโดยไม่ได้หยุดเลยแม้แต่ครั้งเดียว
บรรดาผู้คนในเมืองเหล่านั้นพากันเงยหน้าขึ้นมองลำแสงบนท้องฟ้าด้วยความฉงนสงสัย
ในเทือกเขาที่มีต้นไม้ขึ้นหนาแน่น ร่างที่ไว้ผมสั้นกำลังวิ่งไปข้างหน้า พลังปราณเที่ยงแท้หมุนวนรอบกายด้วยกำลังที่รุนแรงเหมือนมังกรดุร้ายทรงอำนาจ
แต่จู่ๆ เขาก็หยุดวิ่งกะทันหันจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบน เมื่อเห็นลำแสงพุ่งผ่านท้องฟ้าไป ความงุนงงก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขาทันที
‘นั่นมันอะไรกัน ดูเหมือนว่าจะมาจากทางที่นครหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่วตั้งอยู่…’
ชายผมสั้นขมวดคิ้วพลางคิดกับตนเอง จากนั้นเขาก็พุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วเต็มพิกัด เดินทางจากหนองน้ำปราณมายามุ่งสู่นครหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่วทันที เนื่องจากเพิ่งได้รับข่าวร้ายว่าปีศาจร้ายจากลัทธิอสุราร่วมมือกับกลุ่มกบฏและกำลังล้อมนครหลวงเอาไว้
และดูเหมือนว่าในกลุ่มลัทธิอสุรานี้จะมีผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพอยู่ด้วย แน่นอนว่ากองทัพของอาณาจักรต่อกรกับความแข็งแกร่งระดับนี้ไม่ได้ หากเขาไปถึงที่นั่นช้า ทั้งเมืองอาจถูกศัตรูถล่มราบเป็นหน้ากลองก็เป็นได้
ชายผู้นั้นสูดหายใจเข้าลึก ส่งกระแสจิตเข้าไปที่ร่างกายอีกครั้งเพื่อกระโจนไปยังทิศที่นครหลวงตั้งอยู่ด้วยความเร็ว ร่างของเขาพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าทำให้เกิดแรงระเบิดตามมาหลายครั้ง
การมีปราณขั้นเซียนเทพทำให้เขาเหาะไปบนท้องฟ้าด้วยความเร็วเหนือเสียงได้
…
ใบหน้าของจีเฉิงอวี่และเจ้ามู่เฉิงดูขวัญหนีดีฝ่อเหมือนเห็นผี
ทั้งสองได้รับข่าวร้ายว่าปรมาจารย์อาวุโสสิ้นชีพแล้ว นี่เหมือนเป็นการตอกย้ำความน่ากลัวของร้านเล็กๆ ของฟางฟางอีกครั้ง ความทรงจำในอดีตผุดขึ้นจากผิวน้ำแล้วซัดเข้าใส่ทั้งสองเหมือนน้ำป่าไหลหลาก
ใช่จริงๆ ด้วย… ลางสังหรณ์ว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นของพวกเขาเป็นเรื่องจริง
ร้านนั้นเอาตัวรอดได้จริงๆ และที่น่ากลัวที่สุดคือ… มันถึงกับสังหารผู้ฝึกตนระดับเก้าขั้นเซียนเทพจากลัทธิอสุราเสียจนไม่เหลือซากไว้ให้ดูชม
“สรุปคือปรมาจารย์อาวุโสตายแล้วเช่นนั้นหรือ” เจ้ามู่เฉิงพึมพำเสียงหม่น
แม้จะกลัวจนขวัญกระเจิง แต่ลึกๆ ในใจเขาก็ยังไม่อยากยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ดี เขาอยากแก้แค้นปู้ฟางเสียยิ่งกว่าอะไร เพื่อให้สาสมกับที่ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มทำเขาบาดเจ็บสาหัสและต้องออกมาจากนครหลวง เจ้ามู่เฉิงอยากให้ปู้ฟางชดใช้สิ่งที่ทำไว้กับตนเหลือเกิน
เขาคิดไปว่าหากลัทธิอสุราเข้ามามีเอี่ยวด้วยในครั้งนี้ ปู้ฟางจะต้องลงไปคุกเข่าร้องขอชีวิตอยู่บนพื้นอย่างแน่นอน
แต่ความเป็นจริงนั้นช่างแสนโหดร้ายเหมือนฝ่ามืออรหันต์ที่ซัดเข้ามาตบหน้าจนสะดุ้งตื่น ความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ทำลายความต้องการแก้แค้นของเขาไปจนหมดสิ้น แม้แต่ขั้นเซียนเทพยังต้องมาตายด้วยน้ำมือของร้านร้านนี้ แล้วลำพังตัวเขาจะไปมีปัญญาเอาชนะเพื่อกู้หน้าตนเองได้อย่างไร
หากเป็นตัวเขาที่ต้องต่อกรกับอสูรเวทขั้นเซียนเทพ… คงจะตายภายในไม่กี่ลมหายใจแน่
“ฮ่าๆๆ!”
เมื่อจีเฉิงเสวี่ยได้ยินข่าวเดียวกันนี้ เขาก็อึ้งไปสักพัก จากนั้นก็ระเบิดหัวเราะออกมาด้วยความดีใจ
เสียงหัวเราะของเขาดังสะท้อนอยู่ในอากาศ ดังลั่นไปทั่วบริเวณประตูเมือง ทำให้สีหน้าของทุกคนดูสบายใจขึ้นมาทันที
บรรดาขุนนางของจักรวรรดิที่อยู่บนกำแพงเมืองถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก ความกระวนกระวายจับจิตบนใบหน้ามลายหายไป
เซียวเยวี่ยและเซียวเหมิงหันมามองหน้ากัน แล้วก็เห็นแววความปลอดโปร่งในดวงตาของอีกฝ่าย ราวกับภาระอันหนักอึ้งได้ถูกยกออกจากบ่าไปแล้ว
ใบหน้าซีดเผือดของเซียวเหมิงกลับดูดีขึ้นเล็กน้อยเสียด้วยซ้ำ
ตรงกันข้าม ใบหน้าของทหารทุกคนในกองทัพของจีเฉิงอวี่กลับซีดเผือดเหมือนเห็นผี หากปรมาจารย์อาวุโสถูกสังหารไปแล้ว พวกเขาจะเข้ายึดนครหลวงได้อย่างไรกัน
ก่อนหน้านี้พวกเขาดูเหมือนจะไร้เทียมทาน แต่นั่นเป็นเพราะความแข็งแกร่งของปรมาจารย์อาวุโสเป็นส่วนใหญ่ ในตอนนี้ผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดของกองทัพได้สิ้นชีพไปแล้ว พวกเขาจะยัง… เอาชนะในสมรภูมินี้ได้อยู่หรือ
จีเฉิงอวี่สั่งให้เหล่าทหารถอยทัพทันทีโดยไม่ต้องคิดซ้ำสอง
เสียงย่ำดินย่ำโคลนดังไปทั่วบริเวณ
กองทัพของจีเฉิงอวี่ล่าถอยอย่างเป็นระเบียบ พากันออกจากอาณาเขตของนครหลวงแห่งจักรวรรดิวายุแผ่วอย่างรวดเร็ว
องครักษ์โลหิตทั้งสองคนยังคงไม่หายจากอาการตกใจ
เป็นไปได้อย่างไรกัน
ท่านปรมาจารย์อาวุโสจะสิ้นชีวิตได้อย่างไร
ที่ร้านนั้นมีเพียงหุ่นเชิดระดับเก้าเท่านั้น แม้หุ่นเชิดนั้นจะแข็งแกร่งมาก แต่พวกเขาทั้งสองคนร่วมมือกันก็ยังมีโอกาสต่อกรกับมันได้… ปรมาจารย์อาวุโสที่มีพลังปราณขั้นเซียนเทพชั้นกลางควรจะสยบหุ่นเชิดนี่ได้ในไม่กี่อึดใจมิใช่หรือ
สำหรับกระทะสีดำนั้น… ไม่ว่าจะวิเศษวิโสถึงเพียงใด มันก็ยังเป็นกระทะที่ผู้ฝึกตนขั้นจักรพรรดิยุทธการเป็นคนใช้อยู่วันยังค่ำ ไม่มีทางที่จะทำให้ปรมาจารย์อาวุโสตายอย่างแน่นอน
“ข้าต้องกำลังฟังข่าวปลอมอยู่เป็นแน่!”
องครักษ์โลหิตผู้ที่แขนขาดไปหนึ่งข้างคำรามออกมา จากนั้นก็กระอักเลือดยกใหญ่ ใบหน้ามืดมนด้วยโทสะ ความเป็นจริงอันโหดร้ายนี้ทำให้ความหวังของพวกเขาดับสิ้น
ชายชราร่างท้วมจากสำนักเจดีย์นภากระจ่างกลับมาคนเดียว โดยไม่มีปรมาจารย์อาวุโสกลับมาด้วย นั่นแปลว่า… ชายแก่ผู้นี้พูดเรื่องจริง
แม้กองทัพของจีเฉิงอวี่จะยังไม่ได้พ่ายแพ้ราบคาบ แต่ในตอนนี้จะบอกเช่นนั้นก็ไม่ได้เกินจริงแต่อย่างใด ขวัญกำลังใจของทหารในกองทัพจีเฉิงอวี่ตกต่ำสุดขีด ใบหน้าเศร้าซึมของทหารทุกนายดูก็รู้ว่าแพ้ไปเรียบร้อยแล้วโดยยังไม่ทันได้ออกแรงสู้ด้วยซ้ำ
ความตายของปรมาจารย์อาวุโสถือเป็นการสูญเสียอันใหญ่หลวงที่ทำให้ทุกคนเสียสมดุล
จีเฉิงเสวี่ยไม่ได้สั่งให้กองทัพของตนวิ่งไล่ล่าศัตรู เนื่องจากไม่ได้มีความชอบธรรมอะไรให้ทำเช่นนั้น แม้กองทัพของจีเฉิงอวี่จะล่าถอยไป แต่ก็ไม่ใช่เพราะความเก่งกล้าสามารถของกองกำลังแห่งนครหลวง คนที่อีกฝ่ายหวาดกลัวคือปู้ฟางผู้ที่ไม่ได้ปรากฏตัวในที่แห่งนี้
ในกองทัพของจีเฉิงอวี่นั้นมีผู้ฝึกตนจากลัทธิอสุราอยู่ด้วยสองสามคน ต่อให้เขาสั่งให้ทหารไล่ตามไปก็ไม่ได้แปลว่าจะจัดการถอนรากถอนโคนกองกำลังกบฏได้ และหากศัตรูถูกต้อนจนจนมุม พวกนั้นอาจเข้าตาจนจนทำอะไรบุ่มบ่ามเป็นอันตรายได้เช่นกัน หากเป็นเช่นนั้นจีเฉิงเสวี่ยคงจะรับมือไม่ได้แน่
เช่นนั้นก็ปล่อยไปก่อนเถอะ
เสียงตะโกนโห่ร้องด้วยความดีใจยังดังก้องออกมาจากกำแพงเมือง ผู้คนบนกำแพงเมืองพากันกู่ร้องด้วยความสุขใจกับชัยชนะ แน่นอนว่าหลายคนในกลุ่มนั้นตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
คนที่ว่าก็คือผู้อาวุโสซุนจากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏนั่นเอง เนื่องจากเขาเป็นคนที่เสนอให้มอบตัวปู้ฟางให้ข้าศึกเพื่อซื้อเวลาระหว่างรอให้ผู้ฝึกตนจากวิหารเทพเจ้ามาถึง
สีหน้าตั้งแง่ของฝูงชนทำให้ผู้อาวุโสซุนดึงสีหน้าบูดบึ้งพลางส่งเสียงฮึดฮัดใส่อย่างเย็นชา
แม้ผลลัพธ์ที่ออกมาจะเหนือความคาดหมายของเขาไปไกล แต่ผู้อาวุโสซุนก็ยังยืนกรานกับตนเองว่าจะตัดสินใจดังเดิม
เขาเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพจากวิหารเทพเจ้าเป็นอันมาก ว่าจะสามารถรีบรุดมาช่วยเหลือนครหลวงให้พ้นอันตรายได้
จ้านคงยังคงกระอักเลือดออกมา แต่โชคดีที่อาการบาดเจ็บของเขาไม่ได้ร้ายแรง ใบหน้าของชายหนุ่มเองก็ดูดีขึ้นและออกจะตื่นเต้นอยู่เช่นกัน
ภาพสุนัขสีดำตัวใหญ่ปรากฏขึ้นในมโนจิต ภาพที่สุนัขตัวนั้นสังหารผู้ฝึกตนตายเป็นใบไม้ร่วงยังคงตราตรึงอยู่ในจิตใจของเขา… ดูเหมือนว่าสุนัขตัวนั้นจะได้ออกโรงอีกแล้วในคราวนี้
จีเฉิงเสวี่ยนำกองทัพเดินออกจากประตูเมือง แต่แทนที่จะตรงไปยังวังหลวง พวกเขากลับมุ่งหน้าไปที่ร้านเล็กๆ ของฟางฟางแทน
ทุกคนหายใจเข้าด้วยความตกใจเมื่อเข้ามาใกล้บริเวณร้าน
หัวใจของพวกเขาสั่นสะท้านกับภาพน่าสะพรึงตรงหน้า ตึกรามบ้านช่องถูกทำลายราบเป็นหน้ากลอง กลายเป็นเพียงเศษอิฐกองพะเนินบนพื้น ดูเหมือนจะเป็นการต่อสู้ที่รุนแรงดุเดือดมากทีเดียว…
นครหลวงกว่าหนึ่งในสามถูกทำลายสิ้นซาก บ้านเรือนมากมายเสียหายจากการสู้รบ หลายจุดเหลือเป็นเพียงเศษหินกระจัดกระจายอยู่บนพื้น ชาวเมืองที่ไร้ที่อยู่อาศัยยืนหลบมุมอยู่ไกลๆ พยายามหาที่พักชั่วคราวอย่างอับจนหนทาง
อารมณ์ดีใจกับชัยชนะของจีเฉิงเสวี่ยหายวับไปในพริบตา การต่อสู้นั้นรุนแรงกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก หากนครหลวงต้องทานทนการปะทะเช่นนี้อีกสองสามครั้งในอนาคต เห็นทีเมืองคงล่มสลายโดยไม่ต้องมีกองทัพของราชาอวี่สอดมือมาเป็นแน่
จักรพรรดิหนุ่มออกคำสั่งให้คนของวังหลวงเยียวยาชาวบ้านที่ไม่มีที่อยู่อาศัยทันที จากนั้นเขาก็เดินไปที่ร้านของปู้ฟางพร้อมผู้ติดตามสองสามคน
มีเพียงร้านของปู้ฟางเท่านั้นที่ยังตั้งตระหง่านสมบูรณ์แบบอยู่ท่ามกลางกองหินดินทราย จะบอกว่าดูเหมือนปาฏิหาริย์ก็ไม่ผิดนัก
สุนัขสีดำตัวอ้วนนอนขดอยู่หน้าร้าน กำลังหลับอุตุอย่างมีความสุข
ส่วนเจ้าของร้านร่างสูงโปร่งก็กำลังถือไม้กระดานเตรียมปิดร้าน
เซียวเสี่ยวหลงและโอวหยางเสี่ยวอี้เดินออกจากร้านมา ทั้งสองตกใจเป็นอันมากกับภาพที่เห็น
“เถ้าแก่ปู้… ข้าไม่รู้จะขอบคุณเจ้าอย่างไรดีสำหรับความช่วยเหลือของเจ้าในวันนี้ หากไม่ใช่เพราะเจ้า จักรวรรดิวายุแผ่วของเราคงต้องตกอยู่ในอันตรายมหันต์”
เมื่อจีเฉิงเสวี่ยเห็นปู้ฟาง เขาก็ก้าวยาวๆ เข้าไปหาชายหนุ่มอย่างรีบร้อน ก่อนจะผสานมือเพื่อแสดงความขอบคุณจากใจจริง
บรรดาขุนนางด้านหลังจีเฉิงเสวี่ยต่างนิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูก พวกเขามองปู้ฟางเหมือนชายหนุ่มเป็นปีศาจอะไรสักอย่าง… แม้จะรู้ดีว่าร้านนี้แข็งแกร่งเกินใคร แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่าจะถึงกับสังหารผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพได้… มันจะน่ากลัวเกินไปแล้ว
“ไม่ต้องขอบคุณข้า ตาแก่นั่นหาเรื่องข้าเอง เจ้าก็น่าจะรู้ดี… ร้านเราไม่ต้อนรับพวกชอบก่อความไม่สงบ สุดท้ายแล้วจบไม่เคยสวยสักราย” ปู้ฟางหยุดสิ่งที่ตนเองกำลังทำอยู่แล้วหันหน้าไปตอบจีเฉิงเสวี่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
จีเฉิงเสวี่ยพยักหน้าแต่ก็ยังคงเอ่ยขอบคุณปู้ฟางอยู่ดี
หากไม่ใช่เพราะร้านนี้ กองทัพของจีเฉิงอวี่ที่มีผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพและองครักษ์โลหิตสองคนที่ใกล้จะบรรลุขั้นเซียนเทพหนุนหลังอยู่ คงจะไร้เทียมทานจนจัดการไม่ได้อย่างแน่นอน
แม้นครหลวงกว่าหนึ่งในสามจะถูกทำลายจากผลของการต่อสู้นี้ แต่ก็ยังสามารถฟื้นฟูกลับมาได้ ไม่ใช่ปัญหาแม้แต่น้อย
ปู้ฟางพูดคุยกับจีเฉิงเสวี่ยอีกเล็กน้อย ก่อนจะจบบทสนทนาแล้วปิดประตูร้านไป
จักรพรรดิหนุ่มและคนอื่นๆ สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะกลับวังหลวงไปในที่สุด
ชายหนุ่มไม่คิดหยุดพักแม้แต่น้อย เขาสั่งให้ซ่อมแซมเมืองส่วนที่พังทลายไปขึ้นมาใหม่ทันที ถึงคราวนี้พวกเขาจะรอดมาได้ แต่ทุกคนในนครหลวงก็ยังอยู่ในอารมณ์หวาดผวา พวกเขาต้องจัดการปลอบขวัญและเพิ่มความเชื่อมั่นให้ชาวเมืองให้ได้ โดยเฉพาะบริเวณที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดซึ่งต้องจัดการสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่
ในขณะที่กำลังเดินหน้าซ่อมแซมเมืองอยู่นั้น บรรดาผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพจากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏและสำนักเมฆาขาวก็เดินทางมาถึงนครหลวงในที่สุด
ผู้อาวุโสซุนเกือบร้องไห้ออกมาเมื่อเห็นผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพจากสำนักตน… ในที่สุดก็มีคนที่อยู่ข้างเขาเสียที