ตอนที่ 4 หน้าร้อน
เมื่อถึงช่วงกลางหน้าร้อน ก็มีจดหมายยาวเฟื้อยจากแองเจลีนส่งมา ราวกับว่าได้มัดรวมเอาทุกอย่างที่ไม่ได้เขียนมาตลอดเอาไว้ในจดหมายฉบับนี้
เบลกริฟค่อย ๆ อ่านจดหมายอันยาวเหยียดนั้นอย่างช้า ๆ แล้วเมื่ออ่านจบเขาก็กลับไปเริ่มอ่านใหม่แต่แรกซ้ำอีกครั้ง
“ควรจะสอนวิธีการเขียนให้ด้วยสินะ”
มีจุดที่เขียนพลาดอยู่หลายแห่ง ลายมือเองก็เรียกว่าไม่ได้มาตรฐานด้วยซ้ำ แต่ว่าก็สื่อความรู้สึกที่ต้องการจะสื่อได้อย่างชัดเจน
“พยายามมากเลยสิน๊า…”
เบลกริฟยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องที่แองเจลีนพยายามจะกลับบ้านถึงสามครั้งแล้วก็ไม่สำเร็จเลยสักครั้ง แต่เมื่อนึกถึงตอนที่ตัวเองเป็นอันกินไม่ได้นอนไม่หลับตอนที่แองเจลีนไม่ได้กลับมานั้นเขาก็ยิ้มแหย ๆ ขึ้นมา
พอคิดว่านางมีความสามารถมากพอที่จะปราบทั้งไวเวิร์นและกิก้าแอนท์ได้อย่างง่ายดายแล้ว เขาก็รู้สึกเหงาขึ้นมานิดหน่อย สิ่งต่าง ๆ ที่เขาเคยสอนไปคงจะไม่จำเป็นกับนางอีกต่อไปแล้วสินะ
แต่อย่างไรเสียเขาก็ควรจะเขียนตอบกลับไปล่ะนะ
เบลกริฟเริ่มเขียนจดหมายอย่างตั้งอกตั้งใจ
ที่ผ่านมาเขาพยายามเขียนจดหมายตอบให้สั้นและกระชับมาตลอด ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้นางเกิดรู้สึกคิดถึงบ้านขึ้นมา แต่ในเมื่อได้รับจดหมายที่ยาวขนาดนี้มาแล้ว จะไม่ให้ตั้งใจตอบกลับเห็นทีจะไม่ได้เสียแล้ว
เขาเขียนเรื่องอะไรต่อมิอะไรลงไปหลายอย่าง ทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน เรื่องที่คิดอยู่ รวมทั้งข้อความให้กำลังใจ เสร็จแล้วเขาจึงปิดผนึกจดหมายให้เรียบร้อยพลางยืดเส้นยืดสาย จากนั้นจึงลุกออกไปข้างนอก
ตอนนี้เป็นช่วงค่ำแล้ว แม้จะมีแสงดาวส่องให้พอมองเห็นรอบข้างอยู่บ้าง แต่ก็ยังมืดอยู่ดี
ที่บริเวณหลังบ้านของเขามีต้นไม้อยู่ต้นหนึ่ง ที่ตามกิ่งของต้นไม้นั้นมีท่อนไม้จำนวนมากผูกห้อยไว้อยู่ หากนับดูคร่าว ๆ แล้วก็คงเกินสามสิบท่อนได้
เบลกริฟเข้าไปยืนที่ตรงกลางท่อนไม้เหล่านั้น จากนั้นจึงใช้ดาบที่อยู่ในฝักหวดไปที่ท่อนไม้ท่อนหนึ่งเบา ๆ
ท่อนไม้ท่อนนั้นลอยออกไปอีกฝั่ง ก่อนจะเหวี่ยงกลับมาหาเขาตามแรงดึงของเชือก ระหว่างนั้นเบลกริฟก็หวดท่อนไม้ท่อนอื่นไปเรื่อย ๆ
ท่อนไม้เหวี่ยงเข้ามาจากทางนู้นที ทางนี้ที เบลกริฟก็คอยหลบบ้างอใช้ดาบปัดท่อนไม้ที่ลอยมาทางเขาบ้างอย่างต่อเนื่อง
เนื่องจากรอบข้างนั้นมืดมาก ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจพึ่งสายตามองได้ แต่เบลกริฟก็สามารถหลบเลี่ยงท่อนไม้ที่ลอยมาทางเขาได้อย่างหมดจด รวมถึงท่อนไม้ที่ลอยไปชนกับท่อนอื่นจนเปลี่ยนทิศกะทันหันด้วยเช่นกัน
เมื่อผ่านไปสักพักหนึ่งท่อนไม้ก็เริ่มช้าลง ขยับน้อยลง จนหยุดนิ่งในที่สุด
“ฝืดลงแฮะเรา” เบลกริฟพูดพลางลูบไหล่บริเวณที่โดนขอนไม้กระแทกเข้า
“แต่ยังไงก็จะน้อยหน้าแองจี้ไม่ได้ล่ะนะ”
เบลกริฟเริ่มหวดท่อนไม้อีกครั้ง อันที่จริงแล้วเขาก็คอยฝึกฝนการใช้ดาบอยู่ทุกวันไม่ขาด แต่การที่เขาทุ่มสุดตัวฝึกฝนแบบนี้ ก็ชวนให้รู้สึกเหมือนกลับไปช่วงที่พึ่งเป็นนักผจญภัยใหม่ ๆ อีกครั้ง
วันต่อมา ขญะที่เบลกริฟกำลังเดินทางไปที่ไร่ เขาก็เผชิญกับผลข้างเคียงของการพยายามมากเกินไป ด้วยอาการปวดกล้ามเนื้อไปทั่วทั้งตัว
“ฝืดลงจริง ๆ ด้วย ให้ตายสิ….” เบลกริฟพูดพลางทำหน้าเหยเก
แต่อย่างไรเบลกริฟก็ยังโล่งใจที่เขาปวดกล้ามเนื้อเอาวันรุ่งขึ้น เพราะเมื่อวันก่อนนู้นเขายังคุยเล่นกับชาวนาคนอื่นที่อายุไล่เลี่ยกัน เรื่องที่อาการปวดเนื้อปวดตัวจะมาช้าลงตามอายุที่มากขึ้น หากเทียบกับพวกลุง ๆ แล้ว ก็คงถือว่าร่างกายของเขายังแข็งแรงดีอยู่
ถ้าจะดึงเอาเซนส์แบบเดิมกลับมา อย่างไรก็คงต้องอาศัยการต่อสู้จริงสินะ
แม้เจะอายุเลยเลขสี่ไปแล้ว แต่เขาก็ยังคงแสวงหาความตื่นเต้นอยู่ ไม่สมกับอายุตัวเองเลยน๊า หรือจะเป็นเพราะได้อิทธิพลมาจากแองเจลีนกันหนา เบลกริฟคิดพลางลูบเคราตัวเองไปด้วย
และในขณะที่กำลังปาดเหงื่อหลังทำไร่เสร็จ บาร์นก็มาหาเขา
“คุณเบลล์ คุณพ่อเรียกแน่ะครับ”
“เครี่เรียกข้ารึ”
จากนั้นเบลกริฟจึงโดนบาร์นลากตัวไปหาเครี่ แล้วก็พบว่าเครี่กำลังนั่งทำหน้าปั้นยากอยู่ ที่ข้าง ๆ เองก็มีหลวงพ่อโมรีส รวมถึงพวกคนตัดไม้จำนวนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย
“มีอะไรรึ มารวมตัวกันเสียเยอะเชียว”
“ไอ้เรื่องนั้นอ่ะนะ เบลล์เอ๋ย ดูเหมือนว่าที่ป่าใกล้ ๆ นี่จะมีสัตว์อสูรโผล่มาน่ะ”
‘โอ๊ะโอ๋’
ตอนที่เขาพาพวกเด็ก ๆ ไปที่ภูเขาเมื่อหลายวันก่อนก็รู้สึกอยู่บ้างว่าช่วงนี้พวกสัตว์อสูรโผล่ออกมาบ่อยกว่าปกติ หลังจากวันนั้นก็เลยไม่ได้พาพวกเด็ก ๆ ไปที่ภูเขาอีก แต่ดูเหมือนว่าพวกมันจะมาจนถึงใกล้ ๆ หมู่บ้านจนได้สินะ เบลกริฟขมวดคิ้ว
เหมือนว่าพวกคนตัดไม้จะเจอกับสัตว์เวทเข้า ถึงเพราะตอนนั้นมีกันสี่ต่อหนึ่งเลยอาศัยจำนวนไล่มันไปได้ก็จริง แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่กล้าเข้าไปที่ป่าอีก
“ก็ไอ้นั่นล่ะนะ ที่ช่วงนี้จะปรับปรุงโบสถ์ใหม่ไว้ใช้ตอนเทศกาลฤดูใบไม้ผลิไง แล้วก็ที่กำลังสร้างสถานศึกษาใหม่ด้วยน่ะ ช่วงนี้ก็เลยจำเป็นต้องใช้ไม้มาก แต่พอเป็นแบบนี้แล้วงานก็เลยไม่คืบหน้าเลยเนี่ยสิ”
“นี่เบลล์ ถึงจะรู้สึกผิดที่คอยเอาแต่โยนให้นายจัดการก็เถอะ แต่กับสัตว์อสูรแล้วนี่พวกเราไม่…”
เบลกริฟฟ์พูดตัดบทช่างตัดไม้
“เรื่องนั้นน่ะช่างเถอะน่ะ แล้วเจ้านั่นนั่นหน้าตาเป็นยังไงล่ะ”
“เป็นหมาป่าขนสีเทาน่ะ ตอนนั้นเราเจอแค่ตัวเดียวก็จริง แต่คิดว่ามันน่าจะมีฝูงอยู่ด้วย”
เบลกริฟพยักหน้ารับก่อนจะหันไปหาหลวงพ่อโมรีส
“หลวงพ่อโมรีส รบกวนช่วยเตรียมเครื่องรางคุ้มภัยเผื่อไว้จะได้รึเปล่าครับ แล้วก็ฝากทุกคนช่วยหลวงพ่อวางเครื่องรางไว้รอบ ๆ หมู่บ้านด้วย”
“เข้าใจแล้ว” เหล่าช่างไม้ตอบรับ
หลวงพ่อโมรีสพยักหน้ารับเงียบ ๆ
“นี่เบลล์ ไปแค่คนเดียวจะดีจริง ๆ เรอะ ถึงพวกเราจะไม่มีประสบการณ์การต่อสู้เท่าไหร่ก็เถอะ แต่ถ้าต้องการคนช่วยล่ะก็…”
“อา พวกเราเองก็พอจะคุ้นเคยกับในป่าอยู่ด้วย..”
พวกคนตัดไม้เสนอตัวเข้าช่วย แต่เบลกริฟก็ปฏิเสธไปอย่างสุภาพ หากพวกเขาเป็นนักผจญภัยที่สามารถฝากหลังไว้ได้ก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าเขาต้องปกป้องพวกคนตัดไม้ระหว่างสู้ไปด้วยล่ะก็รังแต่จะทำให้อันตรายกว่าเดิมเปล่า ๆ
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฝากทุกคนช่วยคุ้มกันหมู่บ้านก็พอแล้วล่ะ แล้วก็อีกอย่าง” เบลกริฟแสยะยิ้มเล็กน้อย
“ข้าเองก็รู้สึกอยากยืดเส้นยืดสายอยู่พอดี”
เมื่อได้เห็นสีหน้าของ ‘นักผจญภัย’ เบลกริฟที่มักไม่ค่อยได้เห็นแล้ว พวกเขาพร้อมใจกันกลืนน้ำลายโดยไม่ได้นัดหมาย
เมื่อกลับถึงบ้าน เบลกริฟก็เปลี่ยนจากชุดทำสวนเป็นชุดที่เคลื่อนไหวง่าย ถือดาบไว้มือหนึ่ง พลางหยิบเอาถุงผ้าที่ใส่อุปกรณ์ต่าง ๆ ไว้ไปคาดที่เข็มขัด
“เอาล่ะ…งั้นก็ไปลุยกันเลย”
เบลกริฟออกจากบ้านและมุ่งหน้าไปที่ป่าที่คั่นกลางระหว่างภูเขากับโทเนลล่า โดยโทเนลล่านั้นตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของภูเขา และทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านอีกทีก็จะเป็นที่ราบโล่งที่มีต้นไม้ขึ้นบ้างประปราย
เมื่อเข้ามาในป่า ก็พบว่าอากาศนั้นเย็นยิ่งกว่าปกติมาก เย็นกว่าตอนที่มากับพวกเด็ก ๆ เสียอีก ทั้งที่ตอนนี้เป็นกลางหน้าร้อน คิดอย่างไรก็แปลก
“ฮืม….”
เบลกริฟจินตนาการถึงประเภทของสัตว์เวทพลางรุดหน้าไปอย่างระมัดระวัง
และเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายจำนวนมากล้อมรอบ เขาก็เห็นเจ้าตัวต้นตอยืนข้างบนเนินนั่น สัตว์อสูรประเภทหมาป่า มีขนสีเงินและมีไอเย็นคอยปกคลุมร่างกาย ไอซ์ฮาวด์
“อย่างที่คิดเลย….ลงมาจากทางเหนือรึเจ้าน่ะ” เบลกริฟพูดพลางชักดาบ
ไอซ์ฮาวด์ เป็นสัตว์เวทระดับ C ประเภทหมาป่าสีเงินที่มีร่างกายใหญ่โต ทั่วร่างของมันนั้นจะมีไอเย็นแผ่ออกมาปกคลุมตลอดเวลา ทั้งยังสามารถพ่นเบรธออกมาจากปากได้ด้วย เรียกได้ว่าระดับความอันตรายต่างกับพวกระดับ E ที่มักจะโผล่มาแถบนี้แบบคนละเรื่อง
บางทีการที่พวกเกรย์ฮาวด์มารวมฝูงกันแบบนี้ อาจเป็นเพราะพลังเวทที่แผ่ออกมาจากเจ้าไอซ์ฮาวด์นี่ก็เป็นได้ เบลกริฟคิด การที่พวกสัตว์เวทที่อ่อนแอกว่ามารวมตัวกันอยู่ใต้อาณัติของสัตว์เวทที่แข็งแกร่งกว่าก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้อยู่บ่อย ๆ หลักการเดียวกันกับฝูงสัตว์ทั่วไปล่ะนะ
ไอซ์ฮาวด์หอนออกมา จากนั้นสัมผัสของพวกเกรย์ฮาวด์รอบ ๆ ก็ขยับเข้ามาใกล้เบลกริฟ
ฝูงเกรย์ฮาวด์กระโจนออกมาจากพุ่มไม้และพุ่งเข้าใส่เบลกริฟ
เบลกริฟโน้มตัวไปฟันเกรย์ฮาวด์ตัวที่อยู่ใกล้สุด จากนั้นก็หมุนตัวไปฟันอีกตัวหนึ่งข้างหลังโดยใช้ขาเทียมเป็นแกน แล้วก็กระโดดหลบด้วยขาซ้าย
เบลกริฟนั้นแม้หลังจากต้องใช้ขาเทียมก็ฝึกฝนอยู่ไม่ขาด
ตัวเขาในตอนนี้สามารถใช้ขาเทียมที่ไม่รู้สึกเจ็บได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และเคลื่อนไหวด้วยวิธีการที่ไม่อาจทำได้ด้วยขาตามปกติ การเคลื่อนไหวของเขาในตอนนี้นั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ที่มีแขนขาอยู่ครบเลยแม้แต่น้อย
เบลกริฟเคลื่อนไหวไปมาอย่างคล่องแคล่ว และสามารถจัดการเกรย์ฮาวด์ทั้งฝูงได้ในเวลาไม่นานนัก จากนั้นเขาจึงเงยหน้าขึ้นไปมองไอซ์ฮาวด์ที่สังเกตการณ์อยู่ข้างบน
“โอ่ย แกนี่นั่งดูได้สบายใจเหลือเกินนะ”
ไอซ์ฮาวด์หอนตอบ ดูเหมือนว่ามันจะตัดสินได้แล้วว่าเบลกริฟนั้นไม่ใช่แค่เหยื่อ แต่เป็นศัตรูที่ต้องกำจัด จากนั้นมันกระโจนลงมาจากเนินอย่างรุนแรงปานหิมะถล่ม และพุ่งเข้าใส่เบลกริฟอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันไอเย็นรอบตัวมันก็ทำให้ต้นไม้ใบหญ้ารอบ ๆ ถูกปกคลุมด้วยเกล็ดน้ำแข็ง
“กรรร…บรู๊ววววววว”
ไอซ์ฮาวด์หอนออกมาพร้อมกับปล่อยเบรธ แต่เบลกริฟก็หลบได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
ทว่าเบรธที่ปล่อยออกมานั้นเป็นเพียงตัวล่อเพื่อที่มันจะได้พุ่งเข้าใสเบลกริฟเท่านั้น เขี้ยวเล็บแหลมที่ส่องประกายราวกับน้ำแข็งนั้นเหวี่ยงเข้าใส่เบลกริฟ
ทางด้านเบลกริฟก็ขยับตัวหลบราวกับคาดการณ์เอาไว้แล้ว ในชั่วพริบตาที่ทั้งสองผ่านกันไปนั้น เขาก็ได้โยนเม็ดยาลูกเล็ก ๆ ในกระเป๋าของเขาใส่ปากของไอซ์ฮาวด์ที่หมายมั่นว่าจะขย้ำเบลกริฟ ทำให้มันกลืนเม็ดนั่นลงไปแทน
ไอซ์ฮาวด์ไอออกมาอย่างรุนแรง เนื่องเพราะเม็ดนั่นเป็นยาที่ทำจากการผสมสารพัดของที่มีกลิ่นและรสฉุนอย่างเช่นพริกไทยและหัวหอมนั่นเอง
“อื้ม ดูเหมือนว่ากับระดับ C ก็ใช้ได้ผลอยู่นะ” เบลกริฟพึมพำออกมาราวกับว่ากำลังทดสอบประสิทธิภาพสินค้าอยู่
หลังจากเบลกริฟเสียขาไป เขาก็ยังหมั่นฝึกฝนในฐานะนักผจญภัยอยู่เสมอ ไม่ใช่ในด้านการต่อสู้ แต่เป็นด้านความรู้ โดยในช่วงที่กำลังทำกายภาพบำบัดนั้น เขาก็ได้อ่านเอกสารและสารานุกรมเกี่ยวกับสัตว์เวท รวมถึงบันทึกการต่อสู้เก่า ๆ จำนวนมาก จากนั้นก็คอยจำลองการต่อสู้กับสัตว์เวทพวกนั้นในหัวซ้ำไปซ้ำมา เพื่อหาวิธีรับมือ
แน่นอนว่าข้อมูลเกี่ยวกับไอซ์ฮาวด์เองก็มีอยู่ในหัวของเบลกริฟเช่นกัน และเขาเองก็เคยสู้กับมันมาก่อนแล้วหลายครั้งตั้งแต่กลับมาที่โทเนลล่า แต่ครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่ใช้เม็ดยานั้นในการต่อสู้จริง
“….อ๊ะ ไม่ใช่เวลามามัวเล่นอยู่สิ” เบลกริฟส่ายหัวเบา ๆ ระหว่างที่กำลังคุ้ยของในกระเป๋าเพื่อหาว่าจะเอาอะไรออกมาทดสอบอีกดี ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าการประมาทศัตรูเป็นข้อผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดในการต่อสู้
ไอซ์ฮาวด์พุ่งเข้าใส่เบลกริฟอย่างโกรธแค้น ดูเหมือนว่าลำคอของมันจะบาดเจ็บจนไม่สามารถปล่อยเบรธออกมาได้แล้ว แต่การที่ยังมีแรงพุ่งเข้ามาได้นั้น ก็คงต้องบอกว่าสมแล้วที่เป็นระดับ C ล่ะนะ
ทว่าการโจมตีทื่อ ๆ แบบนั้นไม่อาจใช้ได้ผลกับเบลกริฟ
“ขี้โมโหแบบนี้นี่ไม่สมชื่อไอซ์ฮาวด์เลยนะ…”
เบลกริฟบิดตัวเล็กน้อยให้พอหลบแนวพุ่งของไอซ์ฮาวด์พ้นอย่างฉิวเฉียด ในขณะเดียวกันนั้นก็ชักดาบออกมาฟันดัง ฉับ! ทำให้หัวของไอซ์ฮาวด์ร่วงหลุดออกจากตัว ส่วนร่างของมันก็ลอยต่อไปชนเข้ากับต้นไม้และร่วงลงไปกองกับพื้น ไอเย็นที่แผ่ออกมาจากพลังเวทที่ปกคลุมร่างของมันก็ค่อย ๆ จางหายไป ทำให้อุณหภูมิโดยรอบเริ่มสูงขึ้นสมกับที่เป็นหน้าร้อนอีกครั้ง เกล็ดน้ำแข็งรอบ ๆ ก็ละลายหายไปอย่างรวดเร็ว
เบลกริฟย่นหน้าเมื่อร่างกายสัมผัสกับอุณหภูมิที่เปลี่ยนไปกะทันหัน
“รู้สึกพิลึกชะมัดเลยแฮะ”
เบลกริฟตัดสินใจว่าไหน ๆ ก็ได้โอกาสแล้ว ชักมีดออกมาถลกหนังของไอซ์ฮาวด์ เนื่องจากขนของมันนั้นเป็นสีเงินสวยมาก หากนำไปให้ผู้หญิงในหมู่บ้านที่กำลังจะแต่งงานก็คงยินดีไม่น้อย
ดูเหมือนจะได้อิทธิพลจากผลงานของลูกสาวเข้าแล้วสิ เบลกริฟยิ้มเบา ๆ
…………………………………….
“ฮัดชิ่ว”
“เป็นหวัดเหรอมิรี่”
“ไม่หรอก แต่แอร์ <เวทมนต์สำหรับทำความเย็น> ของร้านนั้นมันทำงานดีเกินไปน่ะสิ อย่างหนาวเลยอ่ะ”
“อุณหภูมิต่างกันมาก ไม่ดีต่อสุขภาพเลย”
เหล่าปาร์ตี้ของแองเจลีนทั้งสามคนกำลังเดินอยู่ในย่านการค้าของออร์เฟ่น พลางบ่นอุบอิบกับแอร์ที่ทำงานดีเกินไปหน่อยของร้านอาหารที่พึ่งออกมา
หลังจากที่ช่วยส่งเซเลนถึงที่แล้ว แองเจลีนก็กลับมาที่เมืองหลวง
เซเลนนั้นสามารถไปพบหน้าพ่อที่ป่วยหนักได้ทันก่อนที่เขาจะสิ้นใจ จึงต้องการที่จะตอบแทนแองเจลีนอย่างมาก แต่เธอก็แยกตัวออกมาหลังจากที่ได้เซเลนเลี้ยงอาหารมื้อเดียวเท่านั้น
เมื่อพิจารณาจากจำนวนวันหยุดที่เหลืออยู่แล้ว นางไม่สามารถไปกลับจากโทเนลล่าได้ทันแน่ แองเจลีนเลยมุ่งตรงกลับเมืองหลวงและเริ่มเขียนจดหมายอย่างขะมักเขม้น ที่ผ่านมานางจะอาศัยช่วงที่ว่าง ๆ เขียนจดหมาย แต่เพราะมีเรื่องที่อยากเขียนมากเกินไปจนสุดท้ายก็ได้แต่เขียนไปสั้น ๆ เท่านั้น ครั้งนี้เธอจึงตั้งใจว่าจะเขียนทุกอย่างที่อยากเขียนลงไปให้หมด
จากนั้นเธอก็เข้าสู่วังวนของการเขียน-ลบ เขียน-ลบ อยู่ได้หนึ่งอาทิตย์จึงเขียนเสร็จ จึงทำให้เหลือวันหยุดอีกไม่กี่วันเท่านั้น
และตอนนี้เธอก็กลับมาถูกจิกหัวใช้ให้ไปทำงานยาก ๆ วันแล้ววันเล่าเฉกเช่นเคย
เมื่อวานก็พึ่งไปที่เมืองท่าทางตะวันตกอย่างเอลบูรุนเพื่อไปปราบสัตว์อสูรหมึกขนาดยักษ์ คราเค่น แล้ววันพรุ่งนี้ก็ต้องไปทางตะวันออกอีก แต่ถึงนางจะต้องทำงานตัวเป็นเกลียวขนาดนี้ก็ไม่อาจเรียกร้องอะไรได้มากนัก เนื่องจากงานที่รับมานั้นก็มีแต่ที่ไม่สามารถปล่อยให้พวกนักผจญภัยระดับต่ำกว่าจัดการได้ทั้งนั้น
แอย่างไรก็ดี เนื่องจากวันนี้เธอได้หยุดพักหนึ่งวันเต็ม แม้จะไม่สามารถไปหาเบลกริฟได้ แต่นางก็ไม่ได้ไม่พอใจกับการมาเดินเที่ยวกับเหล่าสมาชิกในปาร์ตี้แต่อย่างใด
“แต่ว่าน๊า ไม่ค่อยจะมีเวลาให้ใช้เงินที่หามาได้เลยเนี่ยสิ” อาเนสซ่าพูดพลางถอนหายใจ มิเลียมได้ยินดังนั้นก็หัวเราะก่อนจะพูดตอบ
“งั้นวันนี้ก็ไปถลุงให้หมดกันเลย ฉันน่ะมีร้านขนมหวานที่อยากไปอยู่ด้วยอ่ะน๊า-”
“ใช้ยังไงก็ไม่หมดหรอกแบบนั้นนะ แล้วแองจี้ล่ะว่าไง”
“ของหวาน บวกหนึ่ง”
“ค่า- สองต่อหนึ่ง มติเป็นเอกฉันท์ งั้นไปกันเล๊ย-”
มิเลียมลากทั้งสองคนไปอย่างอารมณ์ดี
ร้านขนมที่ว่านั้นตั้งอยู่ในตึกใหญ่บนถนนหลัก ภายในก็สะอาดสะอ้านสมกับเป็นร้านเปิดใหม่ ดูเหมือนว่าจะให้หยิบเอาของหวานที่ชอบใส่จานได้ตามต้องการ แล้วจะไปนั่งกินในร้าน หรือตรงที่นั่งข้างหน้าร้านก็ได้
แองเจลีนและมิเลียมตาเป็นประกายเมื่อเห็นสารพัดของหวานตรงหน้า อาเนสซ่าที่ยืนอยู่ข้างหลังเองแม้จะไม่แสดงอาการออกนอกหน้า แต่ก็แอบกลืนน้ำลายเบา ๆ
“อุหวา— สวยจังเลย น่าอร่อยจัง-“
“มิรี่….ดูเหมือนว่าจะต้องกวาดให้เรียบสถานเดียวแล้วล่ะ…!”
“รับทราบ! งั้นก็ลุยกันเถอะ!”
“อ… เอาแค่พอประมาณนะ ทั้งสองคน….”
แองแจลีนกับมิเลียมกวาดเอาของหวานใส่ถาดอย่างละชิ้น ส่วนอาเนสซ่าก็ยังคงคีพลุคไม่สนใจมากนัก พลางหยิบเอาของสองสามชิ้นที่เข้าตาใส่ถาดตัวเอง แม้ว่าจะเป็นนักผจญภัยระดับเอสหรือทริปเปิ้ลเอก็ตาม แต่อย่างไรเสียพวกเธอก็ยังเป็นเด็กสาววัยรุ่นอยู่ดี
หลังจากจ่ายเงินค่าของหวานเป็นจำนวนมหาศาลจนพนักงานร้านยังตกใจแล้ว พวกเธอก็ไปนั่งที่โต๊ะ
“ซื้อมาเยอะเกินไปรึเปล่าล่ะนี่” มิเลียมกระพริบตาปริบ ๆ พลางมองขนมหวานที่กองเป็นภูเขาตรงหน้าตนเอง
แองเจลีนส่ายหัว
“ไม่มีปัญหา….สั่งชากันเถอะ”
หลังจากสั่งชาดอกไม้มา มีเลียมและแองเจลีนก็เริ่มจัดการกับของหวานตรงหน้าอย่างเป็นสุข
“อื้มม- อาหร่อยย-“
“ของดีเลยนะเนี่ย…นี่อาเนะ ขออันนั้นบ้างสิ”
“ไม่ให้ย่ะ นี่ของชั้นหรอก แต่ให้ว่าเถอะ พึ่งกินข้าวเที่ยงไปแท้ ๆ พวกเธอยังอุตส่าห์ยัดของหวานลงไปได้อีกนะ” อาเนสซ่าพูดอย่างไม่เชื่อสายตา ส่วนสองคนที่ว่าก็เอียงคออย่างงุนงง
“ก็ผู้หญิงน่ะมีกระเพาะสำหรับของหวานแยกต่างหากนี่ เนอะแองจี้?”
“เป็นธรรมชาติของหญิงสาวล่ะนะ….”
ไม่ใช่ของธรรมชาติแล้ว อาเนสซ่าเกือบจะพูดตบมุขไป แต่ก็หยุดแค่ถอนหายใจออกมา แล้วหันไปตักเอาของหวานเข้าปากแทน แต่เพราะดูเหมือนของหวานจะรสชาติดีเกินคาดมากไป นางจึงเผลอทำหน้าเคลิ้มออกมา อีกสองคนที่เห็นดังนั้นก็แอบยิ้มกรุ้มกริ่มเบา ๆ
“อร่อย…อยากกินกับคุณพ่อจัง….”
“อา-…น่าเสียดายเนอะก่อยหน้านี้น่ะ”
“สุดท้ายก็ไม่ได้กลับไปงันเหรอ?”
“อื้ม..ไม่รู้ว่าครั้งต่อไปจะได้หยุดเมื่อไหร่ด้วย…สรรพสิ่งล้วนไม่จีรัง…งั่มๆ ” แองเจลีนทำหน้าหมองพลางหยิบเอาขนมเข้าปากเพิ่ม อาเนสซ่ากับมิเลียมเห็นดังนั้นก็ยิ้มแห้ง ๆ ก่อนที่อาเนสซ่าจะพยายามพูดเปลี่ยนบรรยากาศ
“แต่จะว่าไป คนที่เธอช่วยไว้นี่เป็นลูกสาวของเอิร์ลโบลโดร์สินะ”
“….เอิร์ลโบลโดร์นี่ใครอ่ะ”
“เอ๊ะ…เอ่อ ก็ เขาเป็นขุนนางที่มีอิทธิมากในตอนเหนือน่ะ โทเนลล่าเองก็อยู่ในเขตการปกครองของเขาด้วยเหมือนกัน ที่เธอไปสร้างหนี้บุญคุณกับคนระดับนั้นได้นี่สุดยอดไปเลยล่ะนะ”
“…เรื่องนั้นช่างเถอะ…แค่เซเลนได้เจอกับคุณพ่อก็ดีแล้วล่ะ”
“งะ..งั้นเหรอ…” อาเนสซ่ารู้สึกเขินเล็กน้อยที่พูดถึงผลประโยชน์ไปตามสัญชาติญาณ แม้จะไม่ได้ผิดวิสัยนักผจญภัยก็เถอะ
“แต่ว่า….!” แองเจลีนยัดขนมและชาเข้าปากอย่างรวดเร็ว
“ครั้งหน้านี่แหละ จะต้องได้กลับแน่….! ถ้ายังทำภารกิจด้วยความเร็วเท่านี้ไปเรื่อย ๆ ล่ะก็ กิลด์ต้องไม่กล้าปฏิเสธคำขอหยุดพักยาวของชั้นแน่หุ หุ หุหุ หุ…อาเนะกับมิรี่เองจะตามมาด้วยก็ได้นะ…”
อาเนสซ่าที่เห็นแองเจลีนหัวเราะออกมาอย่างมีเลศนัยก็ได้แต่ส่ายหัว
“คิดถึงความรู้สึกพวกเราก็ดีอยู่หรอก เอาเถอะ ก็ไม่ได้จะปฏิเสธล่ะนะ”
“อุฮุฮุ ทั้งได้ไปเดินเที่ยวตรงโน้นตรงนี้ ได้กินของอร่อย ๆ เพราะงั้นโนพลอมแพลมจ้า”
แองเจลีนนั้นมีแผนการสำหรับการขอลาพักครั้งต่อไปอยู่ ด้วยการไล่ทำคำร้องที่มีอยู่ตอนนี้ไปให้เกลี้ยงด้วยอัตราที่มากกว่านักผจญภัยทั่วไปเป็นเท่าตัว เมื่อมีผลงานเช่นนั้นแล้วต่อให้ไม่อยาก แต่ทางกิลด์ก็คงยากที่จะปฏิเสธคำร้องขอลาหยุดเป็นแน่
และผลพลอยได้จากการทำเช่นนั้นก็คือจุดมุ่งหมายของนักผจญภัยทั้งหลาย ตอนนี้พวกเธอมีเงินเหลือกินเหลือใช้นั่นเอง พวกอุปกรณ์ทั้งหลายเองก็เตรียมพร้อมจนไม่ต้องซื้อใหม่ไปอีกสักพักแล้ว และแม้ในช่วงว่าง ๆ ระหว่างที่ทำคำร้องจะถลุงเงินไปมากมายเหมือนวันนี้ แต่ก็ยังใช้ไม่ทันหาอยู่ดี
จู่ ๆ อาเนสซ่าก็พึมพำขึ้นมา
“ถ้าไม่รู้จะใช้ทำอะไรแล้วล่ะก็…เอาไปบริจาคให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าสักหน่อยก็ไม่คงเลวนะ
“อ๊ะ- นั่นสิเน๊อ- ซิสเตอร์ต้องดีใจแน่เลย”
มิเรียมเห็นด้วย
ทางแองเจลีนเมื่อได้ยินดังนั้นก็เอียงคอด้วยความสงสัย
“สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเหรอ?”
อาเนสซ่าเกาแก้มพลามยิ้มฝืด ๆ
“อา- พวกเราเป็นเด็กกำพร้าโตมาในโบสถ์น่ะ”
“ซิสเตอร์เลยเหมือนเป็นตัวแทนคุณแม่ล่ะเนอะ ถึงจะไม่มีคุณพ่อก็เถอะน๊า”
“ก็นะ ตอนนั้นค่อนข้างขัดสนเรื่องเงินด้วย ก็เลยต้องกระเสือกกระสนมาเป็นนักผจญภัยเพื่อเอาตัวรอดนี่แหละ”
“ใช่ ๆ ปาร์ตี้แรกก็เป็นพวกจากที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามารวมกลุ่มกันเป็นปาร์ตี้นี่ล่ะเนอะ”
“ถึงซิสเตอร์จะค้านหัวชนฝาเลยก็เถอะนะ”
อาเนสซ่าอมยิ้ม มิเรียมเองก็หัวเราะไปพลางกินขนมไปด้วย
ไม่เคยรู้มาก่อนเลยแฮะ แองเจลีนหรี่ตาลง พอมาคิด ๆ ดูแล้ว ตัวเธอเองก็ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องของสองคนนี้เลย เรื่องพวกพ้องของทั้งสองคนก็ไม่รู้ จะว่าไปก็ไม่เคยเล่าเรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวเองให้สองคนนี้ฟังเลยด้วยซ้ำ
แองเจลีนขยับเก้าอี้กุกกัก แล้วเผชิญหน้ากับทั้งสองคนอีกครั้ง
“ฉันน่ะเป็นเด็กถูกทิ้งล่ะ แล้วคุณพ่อก็เก็บฉันได้บนภูเขา…”
“เอ๊ะ”
“หวา อะไรกันล่ะนั่น พึ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกเลย”
ทั้งสองคนเอนตัวเข้ามาฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
เอาล่ะ ตัดสินใจแล้วว่าวันนี้จะเล่าให้หมดเลย ทั้งเรื่องที่หมู่บ้าน เรื่องของคุณพ่อ เรื่องของตัวเอง..
แล้วก็จะฟังให้หมดเลย เรื่องสมัยเด็กของทั้งสองคน เรื่องที่สถานเลี้ยงเด็ก แล้วก็เรื่องของซิสเตอร์ด้วย
คงต้องขอชาเพิ่มอีกแก้วแล้วสิ
——————————————————–
ลงครบแล้ววว ให้ตายเถอะตัวชั้นในอดีต ทำไมถึงแปลไม่ครบตอนเนี่ย ก็ว่าอยู่ว่าทำไมมันตัดห้วนแปลก ๆ ฮา
หลังจากนี้คงไม่ได้แปลต่อแล้ว เพราะผมคงต้องเอาตัวเองให้รอดก่อนล่ะนะ
ยังไงก็ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะครับ กู๊ดบาย เซไค~
ตอนที่ 4 หน้าร้อน
เมื่อถึงช่วงกลางหน้าร้อน ก็มีจดหมายยาวเฟื้อยจากแองเจลีนส่งมา ราวกับว่าได้มัดรวมเอาทุกอย่างที่ไม่ได้เขียนมาตลอดเอาไว้ในจดหมายฉบับนี้
เบลกริฟค่อย ๆ อ่านจดหมายอันยาวเหยียดนั้นอย่างช้า ๆ แล้วเมื่ออ่านจบเขาก็กลับไปเริ่มอ่านใหม่แต่แรกซ้ำอีกครั้ง
“ควรจะสอนวิธีการเขียนให้ด้วยสินะ”
มีจุดที่เขียนพลาดอยู่หลายแห่ง ลายมือเองก็เรียกว่าไม่ได้มาตรฐานด้วยซ้ำ แต่ว่าก็สื่อความรู้สึกที่ต้องการจะสื่อได้อย่างชัดเจน
“พยายามมากเลยสิน๊า…”
เบลกริฟยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องที่แองเจลีนพยายามจะกลับบ้านถึงสามครั้งแล้วก็ไม่สำเร็จเลยสักครั้ง แต่เมื่อนึกถึงตอนที่ตัวเองเป็นอันกินไม่ได้นอนไม่หลับตอนที่แองเจลีนไม่ได้กลับมานั้นเขาก็ยิ้มแหย ๆ ขึ้นมา
พอคิดว่านางมีความสามารถมากพอที่จะปราบทั้งไวเวิร์นและกิก้าแอนท์ได้อย่างง่ายดายแล้ว เขาก็รู้สึกเหงาขึ้นมานิดหน่อย สิ่งต่าง ๆ ที่เขาเคยสอนไปคงจะไม่จำเป็นกับนางอีกต่อไปแล้วสินะ
แต่อย่างไรเสียเขาก็ควรจะเขียนตอบกลับไปล่ะนะ
เบลกริฟเริ่มเขียนจดหมายอย่างตั้งอกตั้งใจ
ที่ผ่านมาเขาพยายามเขียนจดหมายตอบให้สั้นและกระชับมาตลอด ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้นางเกิดรู้สึกคิดถึงบ้านขึ้นมา แต่ในเมื่อได้รับจดหมายที่ยาวขนาดนี้มาแล้ว จะไม่ให้ตั้งใจตอบกลับเห็นทีจะไม่ได้เสียแล้ว
เขาเขียนเรื่องอะไรต่อมิอะไรลงไปหลายอย่าง ทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน เรื่องที่คิดอยู่ รวมทั้งข้อความให้กำลังใจ เสร็จแล้วเขาจึงปิดผนึกจดหมายให้เรียบร้อยพลางยืดเส้นยืดสาย จากนั้นจึงลุกออกไปข้างนอก
ตอนนี้เป็นช่วงค่ำแล้ว แม้จะมีแสงดาวส่องให้พอมองเห็นรอบข้างอยู่บ้าง แต่ก็ยังมืดอยู่ดี
ที่บริเวณหลังบ้านของเขามีต้นไม้อยู่ต้นหนึ่ง ที่ตามกิ่งของต้นไม้นั้นมีท่อนไม้จำนวนมากผูกห้อยไว้อยู่ หากนับดูคร่าว ๆ แล้วก็คงเกินสามสิบท่อนได้
เบลกริฟเข้าไปยืนที่ตรงกลางท่อนไม้เหล่านั้น จากนั้นจึงใช้ดาบที่อยู่ในฝักหวดไปที่ท่อนไม้ท่อนหนึ่งเบา ๆ
ท่อนไม้ท่อนนั้นลอยออกไปอีกฝั่ง ก่อนจะเหวี่ยงกลับมาหาเขาตามแรงดึงของเชือก ระหว่างนั้นเบลกริฟก็หวดท่อนไม้ท่อนอื่นไปเรื่อย ๆ
ท่อนไม้เหวี่ยงเข้ามาจากทางนู้นที ทางนี้ที เบลกริฟก็คอยหลบบ้างอใช้ดาบปัดท่อนไม้ที่ลอยมาทางเขาบ้างอย่างต่อเนื่อง
เนื่องจากรอบข้างนั้นมืดมาก ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจพึ่งสายตามองได้ แต่เบลกริฟก็สามารถหลบเลี่ยงท่อนไม้ที่ลอยมาทางเขาได้อย่างหมดจด รวมถึงท่อนไม้ที่ลอยไปชนกับท่อนอื่นจนเปลี่ยนทิศกะทันหันด้วยเช่นกัน
เมื่อผ่านไปสักพักหนึ่งท่อนไม้ก็เริ่มช้าลง ขยับน้อยลง จนหยุดนิ่งในที่สุด
“ฝืดลงแฮะเรา” เบลกริฟพูดพลางลูบไหล่บริเวณที่โดนขอนไม้กระแทกเข้า
“แต่ยังไงก็จะน้อยหน้าแองจี้ไม่ได้ล่ะนะ”
เบลกริฟเริ่มหวดท่อนไม้อีกครั้ง อันที่จริงแล้วเขาก็คอยฝึกฝนการใช้ดาบอยู่ทุกวันไม่ขาด แต่การที่เขาทุ่มสุดตัวฝึกฝนแบบนี้ ก็ชวนให้รู้สึกเหมือนกลับไปช่วงที่พึ่งเป็นนักผจญภัยใหม่ ๆ อีกครั้ง
วันต่อมา ขญะที่เบลกริฟกำลังเดินทางไปที่ไร่ เขาก็เผชิญกับผลข้างเคียงของการพยายามมากเกินไป ด้วยอาการปวดกล้ามเนื้อไปทั่วทั้งตัว
“ฝืดลงจริง ๆ ด้วย ให้ตายสิ….” เบลกริฟพูดพลางทำหน้าเหยเก
แต่อย่างไรเบลกริฟก็ยังโล่งใจที่เขาปวดกล้ามเนื้อเอาวันรุ่งขึ้น เพราะเมื่อวันก่อนนู้นเขายังคุยเล่นกับชาวนาคนอื่นที่อายุไล่เลี่ยกัน เรื่องที่อาการปวดเนื้อปวดตัวจะมาช้าลงตามอายุที่มากขึ้น หากเทียบกับพวกลุง ๆ แล้ว ก็คงถือว่าร่างกายของเขายังแข็งแรงดีอยู่
ถ้าจะดึงเอาเซนส์แบบเดิมกลับมา อย่างไรก็คงต้องอาศัยการต่อสู้จริงสินะ
แม้เจะอายุเลยเลขสี่ไปแล้ว แต่เขาก็ยังคงแสวงหาความตื่นเต้นอยู่ ไม่สมกับอายุตัวเองเลยน๊า หรือจะเป็นเพราะได้อิทธิพลมาจากแองเจลีนกันหนา เบลกริฟคิดพลางลูบเคราตัวเองไปด้วย
และในขณะที่กำลังปาดเหงื่อหลังทำไร่เสร็จ บาร์นก็มาหาเขา
“คุณเบลล์ คุณพ่อเรียกแน่ะครับ”
“เครี่เรียกข้ารึ”
จากนั้นเบลกริฟจึงโดนบาร์นลากตัวไปหาเครี่ แล้วก็พบว่าเครี่กำลังนั่งทำหน้าปั้นยากอยู่ ที่ข้าง ๆ เองก็มีหลวงพ่อโมรีส รวมถึงพวกคนตัดไม้จำนวนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย
“มีอะไรรึ มารวมตัวกันเสียเยอะเชียว”
“ไอ้เรื่องนั้นอ่ะนะ เบลล์เอ๋ย ดูเหมือนว่าที่ป่าใกล้ ๆ นี่จะมีสัตว์อสูรโผล่มาน่ะ”
‘โอ๊ะโอ๋’
ตอนที่เขาพาพวกเด็ก ๆ ไปที่ภูเขาเมื่อหลายวันก่อนก็รู้สึกอยู่บ้างว่าช่วงนี้พวกสัตว์อสูรโผล่ออกมาบ่อยกว่าปกติ หลังจากวันนั้นก็เลยไม่ได้พาพวกเด็ก ๆ ไปที่ภูเขาอีก แต่ดูเหมือนว่าพวกมันจะมาจนถึงใกล้ ๆ หมู่บ้านจนได้สินะ เบลกริฟขมวดคิ้ว
เหมือนว่าพวกคนตัดไม้จะเจอกับสัตว์เวทเข้า ถึงเพราะตอนนั้นมีกันสี่ต่อหนึ่งเลยอาศัยจำนวนไล่มันไปได้ก็จริง แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่กล้าเข้าไปที่ป่าอีก
“ก็ไอ้นั่นล่ะนะ ที่ช่วงนี้จะปรับปรุงโบสถ์ใหม่ไว้ใช้ตอนเทศกาลฤดูใบไม้ผลิไง แล้วก็ที่กำลังสร้างสถานศึกษาใหม่ด้วยน่ะ ช่วงนี้ก็เลยจำเป็นต้องใช้ไม้มาก แต่พอเป็นแบบนี้แล้วงานก็เลยไม่คืบหน้าเลยเนี่ยสิ”
“นี่เบลล์ ถึงจะรู้สึกผิดที่คอยเอาแต่โยนให้นายจัดการก็เถอะ แต่กับสัตว์อสูรแล้วนี่พวกเราไม่…”
เบลกริฟฟ์พูดตัดบทช่างตัดไม้
“เรื่องนั้นน่ะช่างเถอะน่ะ แล้วเจ้านั่นนั่นหน้าตาเป็นยังไงล่ะ”
“เป็นหมาป่าขนสีเทาน่ะ ตอนนั้นเราเจอแค่ตัวเดียวก็จริง แต่คิดว่ามันน่าจะมีฝูงอยู่ด้วย”
เบลกริฟพยักหน้ารับก่อนจะหันไปหาหลวงพ่อโมรีส
“หลวงพ่อโมรีส รบกวนช่วยเตรียมเครื่องรางคุ้มภัยเผื่อไว้จะได้รึเปล่าครับ แล้วก็ฝากทุกคนช่วยหลวงพ่อวางเครื่องรางไว้รอบ ๆ หมู่บ้านด้วย”
“เข้าใจแล้ว” เหล่าช่างไม้ตอบรับ
หลวงพ่อโมรีสพยักหน้ารับเงียบ ๆ
“นี่เบลล์ ไปแค่คนเดียวจะดีจริง ๆ เรอะ ถึงพวกเราจะไม่มีประสบการณ์การต่อสู้เท่าไหร่ก็เถอะ แต่ถ้าต้องการคนช่วยล่ะก็…”
“อา พวกเราเองก็พอจะคุ้นเคยกับในป่าอยู่ด้วย..”
พวกคนตัดไม้เสนอตัวเข้าช่วย แต่เบลกริฟก็ปฏิเสธไปอย่างสุภาพ หากพวกเขาเป็นนักผจญภัยที่สามารถฝากหลังไว้ได้ก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าเขาต้องปกป้องพวกคนตัดไม้ระหว่างสู้ไปด้วยล่ะก็รังแต่จะทำให้อันตรายกว่าเดิมเปล่า ๆ
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฝากทุกคนช่วยคุ้มกันหมู่บ้านก็พอแล้วล่ะ แล้วก็อีกอย่าง” เบลกริฟแสยะยิ้มเล็กน้อย
“ข้าเองก็รู้สึกอยากยืดเส้นยืดสายอยู่พอดี”
เมื่อได้เห็นสีหน้าของ ‘นักผจญภัย’ เบลกริฟที่มักไม่ค่อยได้เห็นแล้ว พวกเขาพร้อมใจกันกลืนน้ำลายโดยไม่ได้นัดหมาย
เมื่อกลับถึงบ้าน เบลกริฟก็เปลี่ยนจากชุดทำสวนเป็นชุดที่เคลื่อนไหวง่าย ถือดาบไว้มือหนึ่ง พลางหยิบเอาถุงผ้าที่ใส่อุปกรณ์ต่าง ๆ ไว้ไปคาดที่เข็มขัด
“เอาล่ะ…งั้นก็ไปลุยกันเลย”
เบลกริฟออกจากบ้านและมุ่งหน้าไปที่ป่าที่คั่นกลางระหว่างภูเขากับโทเนลล่า โดยโทเนลล่านั้นตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของภูเขา และทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านอีกทีก็จะเป็นที่ราบโล่งที่มีต้นไม้ขึ้นบ้างประปราย
เมื่อเข้ามาในป่า ก็พบว่าอากาศนั้นเย็นยิ่งกว่าปกติมาก เย็นกว่าตอนที่มากับพวกเด็ก ๆ เสียอีก ทั้งที่ตอนนี้เป็นกลางหน้าร้อน คิดอย่างไรก็แปลก
“ฮืม….”
เบลกริฟจินตนาการถึงประเภทของสัตว์เวทพลางรุดหน้าไปอย่างระมัดระวัง
และเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายจำนวนมากล้อมรอบ เขาก็เห็นเจ้าตัวต้นตอยืนข้างบนเนินนั่น สัตว์อสูรประเภทหมาป่า มีขนสีเงินและมีไอเย็นคอยปกคลุมร่างกาย ไอซ์ฮาวด์
“อย่างที่คิดเลย….ลงมาจากทางเหนือรึเจ้าน่ะ” เบลกริฟพูดพลางชักดาบ
ไอซ์ฮาวด์ เป็นสัตว์เวทระดับ C ประเภทหมาป่าสีเงินที่มีร่างกายใหญ่โต ทั่วร่างของมันนั้นจะมีไอเย็นแผ่ออกมาปกคลุมตลอดเวลา ทั้งยังสามารถพ่นเบรธออกมาจากปากได้ด้วย เรียกได้ว่าระดับความอันตรายต่างกับพวกระดับ E ที่มักจะโผล่มาแถบนี้แบบคนละเรื่อง
บางทีการที่พวกเกรย์ฮาวด์มารวมฝูงกันแบบนี้ อาจเป็นเพราะพลังเวทที่แผ่ออกมาจากเจ้าไอซ์ฮาวด์นี่ก็เป็นได้ เบลกริฟคิด การที่พวกสัตว์เวทที่อ่อนแอกว่ามารวมตัวกันอยู่ใต้อาณัติของสัตว์เวทที่แข็งแกร่งกว่าก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้อยู่บ่อย ๆ หลักการเดียวกันกับฝูงสัตว์ทั่วไปล่ะนะ
ไอซ์ฮาวด์หอนออกมา จากนั้นสัมผัสของพวกเกรย์ฮาวด์รอบ ๆ ก็ขยับเข้ามาใกล้เบลกริฟ
ฝูงเกรย์ฮาวด์กระโจนออกมาจากพุ่มไม้และพุ่งเข้าใส่เบลกริฟ
เบลกริฟโน้มตัวไปฟันเกรย์ฮาวด์ตัวที่อยู่ใกล้สุด จากนั้นก็หมุนตัวไปฟันอีกตัวหนึ่งข้างหลังโดยใช้ขาเทียมเป็นแกน แล้วก็กระโดดหลบด้วยขาซ้าย
เบลกริฟนั้นแม้หลังจากต้องใช้ขาเทียมก็ฝึกฝนอยู่ไม่ขาด
ตัวเขาในตอนนี้สามารถใช้ขาเทียมที่ไม่รู้สึกเจ็บได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และเคลื่อนไหวด้วยวิธีการที่ไม่อาจทำได้ด้วยขาตามปกติ การเคลื่อนไหวของเขาในตอนนี้นั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ที่มีแขนขาอยู่ครบเลยแม้แต่น้อย
เบลกริฟเคลื่อนไหวไปมาอย่างคล่องแคล่ว และสามารถจัดการเกรย์ฮาวด์ทั้งฝูงได้ในเวลาไม่นานนัก จากนั้นเขาจึงเงยหน้าขึ้นไปมองไอซ์ฮาวด์ที่สังเกตการณ์อยู่ข้างบน
“โอ่ย แกนี่นั่งดูได้สบายใจเหลือเกินนะ”
ไอซ์ฮาวด์หอนตอบ ดูเหมือนว่ามันจะตัดสินได้แล้วว่าเบลกริฟนั้นไม่ใช่แค่เหยื่อ แต่เป็นศัตรูที่ต้องกำจัด จากนั้นมันกระโจนลงมาจากเนินอย่างรุนแรงปานหิมะถล่ม และพุ่งเข้าใส่เบลกริฟอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันไอเย็นรอบตัวมันก็ทำให้ต้นไม้ใบหญ้ารอบ ๆ ถูกปกคลุมด้วยเกล็ดน้ำแข็ง
“กรรร…บรู๊ววววววว”
ไอซ์ฮาวด์หอนออกมาพร้อมกับปล่อยเบรธ แต่เบลกริฟก็หลบได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
ทว่าเบรธที่ปล่อยออกมานั้นเป็นเพียงตัวล่อเพื่อที่มันจะได้พุ่งเข้าใสเบลกริฟเท่านั้น เขี้ยวเล็บแหลมที่ส่องประกายราวกับน้ำแข็งนั้นเหวี่ยงเข้าใส่เบลกริฟ
ทางด้านเบลกริฟก็ขยับตัวหลบราวกับคาดการณ์เอาไว้แล้ว ในชั่วพริบตาที่ทั้งสองผ่านกันไปนั้น เขาก็ได้โยนเม็ดยาลูกเล็ก ๆ ในกระเป๋าของเขาใส่ปากของไอซ์ฮาวด์ที่หมายมั่นว่าจะขย้ำเบลกริฟ ทำให้มันกลืนเม็ดนั่นลงไปแทน
ไอซ์ฮาวด์ไอออกมาอย่างรุนแรง เนื่องเพราะเม็ดนั่นเป็นยาที่ทำจากการผสมสารพัดของที่มีกลิ่นและรสฉุนอย่างเช่นพริกไทยและหัวหอมนั่นเอง
“อื้ม ดูเหมือนว่ากับระดับ C ก็ใช้ได้ผลอยู่นะ” เบลกริฟพึมพำออกมาราวกับว่ากำลังทดสอบประสิทธิภาพสินค้าอยู่
หลังจากเบลกริฟเสียขาไป เขาก็ยังหมั่นฝึกฝนในฐานะนักผจญภัยอยู่เสมอ ไม่ใช่ในด้านการต่อสู้ แต่เป็นด้านความรู้ โดยในช่วงที่กำลังทำกายภาพบำบัดนั้น เขาก็ได้อ่านเอกสารและสารานุกรมเกี่ยวกับสัตว์เวท รวมถึงบันทึกการต่อสู้เก่า ๆ จำนวนมาก จากนั้นก็คอยจำลองการต่อสู้กับสัตว์เวทพวกนั้นในหัวซ้ำไปซ้ำมา เพื่อหาวิธีรับมือ
แน่นอนว่าข้อมูลเกี่ยวกับไอซ์ฮาวด์เองก็มีอยู่ในหัวของเบลกริฟเช่นกัน และเขาเองก็เคยสู้กับมันมาก่อนแล้วหลายครั้งตั้งแต่กลับมาที่โทเนลล่า แต่ครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่ใช้เม็ดยานั้นในการต่อสู้จริง
“….อ๊ะ ไม่ใช่เวลามามัวเล่นอยู่สิ” เบลกริฟส่ายหัวเบา ๆ ระหว่างที่กำลังคุ้ยของในกระเป๋าเพื่อหาว่าจะเอาอะไรออกมาทดสอบอีกดี ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าการประมาทศัตรูเป็นข้อผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดในการต่อสู้
ไอซ์ฮาวด์พุ่งเข้าใส่เบลกริฟอย่างโกรธแค้น ดูเหมือนว่าลำคอของมันจะบาดเจ็บจนไม่สามารถปล่อยเบรธออกมาได้แล้ว แต่การที่ยังมีแรงพุ่งเข้ามาได้นั้น ก็คงต้องบอกว่าสมแล้วที่เป็นระดับ C ล่ะนะ
ทว่าการโจมตีทื่อ ๆ แบบนั้นไม่อาจใช้ได้ผลกับเบลกริฟ
“ขี้โมโหแบบนี้นี่ไม่สมชื่อไอซ์ฮาวด์เลยนะ…”
เบลกริฟบิดตัวเล็กน้อยให้พอหลบแนวพุ่งของไอซ์ฮาวด์พ้นอย่างฉิวเฉียด ในขณะเดียวกันนั้นก็ชักดาบออกมาฟันดัง ฉับ! ทำให้หัวของไอซ์ฮาวด์ร่วงหลุดออกจากตัว ส่วนร่างของมันก็ลอยต่อไปชนเข้ากับต้นไม้และร่วงลงไปกองกับพื้น ไอเย็นที่แผ่ออกมาจากพลังเวทที่ปกคลุมร่างของมันก็ค่อย ๆ จางหายไป ทำให้อุณหภูมิโดยรอบเริ่มสูงขึ้นสมกับที่เป็นหน้าร้อนอีกครั้ง เกล็ดน้ำแข็งรอบ ๆ ก็ละลายหายไปอย่างรวดเร็ว
เบลกริฟย่นหน้าเมื่อร่างกายสัมผัสกับอุณหภูมิที่เปลี่ยนไปกะทันหัน
“รู้สึกพิลึกชะมัดเลยแฮะ”
เบลกริฟตัดสินใจว่าไหน ๆ ก็ได้โอกาสแล้ว ชักมีดออกมาถลกหนังของไอซ์ฮาวด์ เนื่องจากขนของมันนั้นเป็นสีเงินสวยมาก หากนำไปให้ผู้หญิงในหมู่บ้านที่กำลังจะแต่งงานก็คงยินดีไม่น้อย
ดูเหมือนจะได้อิทธิพลจากผลงานของลูกสาวเข้าแล้วสิ เบลกริฟยิ้มเบา ๆ
…………………………………….
“ฮัดชิ่ว”
“เป็นหวัดเหรอมิรี่”
“ไม่หรอก แต่แอร์ <เวทมนต์สำหรับทำความเย็น> ของร้านนั้นมันทำงานดีเกินไปน่ะสิ อย่างหนาวเลยอ่ะ”
“อุณหภูมิต่างกันมาก ไม่ดีต่อสุขภาพเลย”
เหล่าปาร์ตี้ของแองเจลีนทั้งสามคนกำลังเดินอยู่ในย่านการค้าของออร์เฟ่น พลางบ่นอุบอิบกับแอร์ที่ทำงานดีเกินไปหน่อยของร้านอาหารที่พึ่งออกมา
หลังจากที่ช่วยส่งเซเลนถึงที่แล้ว แองเจลีนก็กลับมาที่เมืองหลวง
เซเลนนั้นสามารถไปพบหน้าพ่อที่ป่วยหนักได้ทันก่อนที่เขาจะสิ้นใจ จึงต้องการที่จะตอบแทนแองเจลีนอย่างมาก แต่เธอก็แยกตัวออกมาหลังจากที่ได้เซเลนเลี้ยงอาหารมื้อเดียวเท่านั้น
เมื่อพิจารณาจากจำนวนวันหยุดที่เหลืออยู่แล้ว นางไม่สามารถไปกลับจากโทเนลล่าได้ทันแน่ แองเจลีนเลยมุ่งตรงกลับเมืองหลวงและเริ่มเขียนจดหมายอย่างขะมักเขม้น ที่ผ่านมานางจะอาศัยช่วงที่ว่าง ๆ เขียนจดหมาย แต่เพราะมีเรื่องที่อยากเขียนมากเกินไปจนสุดท้ายก็ได้แต่เขียนไปสั้น ๆ เท่านั้น ครั้งนี้เธอจึงตั้งใจว่าจะเขียนทุกอย่างที่อยากเขียนลงไปให้หมด
จากนั้นเธอก็เข้าสู่วังวนของการเขียน-ลบ เขียน-ลบ อยู่ได้หนึ่งอาทิตย์จึงเขียนเสร็จ จึงทำให้เหลือวันหยุดอีกไม่กี่วันเท่านั้น
และตอนนี้เธอก็กลับมาถูกจิกหัวใช้ให้ไปทำงานยาก ๆ วันแล้ววันเล่าเฉกเช่นเคย
เมื่อวานก็พึ่งไปที่เมืองท่าทางตะวันตกอย่างเอลบูรุนเพื่อไปปราบสัตว์อสูรหมึกขนาดยักษ์ คราเค่น แล้ววันพรุ่งนี้ก็ต้องไปทางตะวันออกอีก แต่ถึงนางจะต้องทำงานตัวเป็นเกลียวขนาดนี้ก็ไม่อาจเรียกร้องอะไรได้มากนัก เนื่องจากงานที่รับมานั้นก็มีแต่ที่ไม่สามารถปล่อยให้พวกนักผจญภัยระดับต่ำกว่าจัดการได้ทั้งนั้น
แอย่างไรก็ดี เนื่องจากวันนี้เธอได้หยุดพักหนึ่งวันเต็ม แม้จะไม่สามารถไปหาเบลกริฟได้ แต่นางก็ไม่ได้ไม่พอใจกับการมาเดินเที่ยวกับเหล่าสมาชิกในปาร์ตี้แต่อย่างใด
“แต่ว่าน๊า ไม่ค่อยจะมีเวลาให้ใช้เงินที่หามาได้เลยเนี่ยสิ” อาเนสซ่าพูดพลางถอนหายใจ มิเลียมได้ยินดังนั้นก็หัวเราะก่อนจะพูดตอบ
“งั้นวันนี้ก็ไปถลุงให้หมดกันเลย ฉันน่ะมีร้านขนมหวานที่อยากไปอยู่ด้วยอ่ะน๊า-”
“ใช้ยังไงก็ไม่หมดหรอกแบบนั้นนะ แล้วแองจี้ล่ะว่าไง”
“ของหวาน บวกหนึ่ง”
“ค่า- สองต่อหนึ่ง มติเป็นเอกฉันท์ งั้นไปกันเล๊ย-”
มิเลียมลากทั้งสองคนไปอย่างอารมณ์ดี
ร้านขนมที่ว่านั้นตั้งอยู่ในตึกใหญ่บนถนนหลัก ภายในก็สะอาดสะอ้านสมกับเป็นร้านเปิดใหม่ ดูเหมือนว่าจะให้หยิบเอาของหวานที่ชอบใส่จานได้ตามต้องการ แล้วจะไปนั่งกินในร้าน หรือตรงที่นั่งข้างหน้าร้านก็ได้
แองเจลีนและมิเลียมตาเป็นประกายเมื่อเห็นสารพัดของหวานตรงหน้า อาเนสซ่าที่ยืนอยู่ข้างหลังเองแม้จะไม่แสดงอาการออกนอกหน้า แต่ก็แอบกลืนน้ำลายเบา ๆ
“อุหวา— สวยจังเลย น่าอร่อยจัง-“
“มิรี่….ดูเหมือนว่าจะต้องกวาดให้เรียบสถานเดียวแล้วล่ะ…!”
“รับทราบ! งั้นก็ลุยกันเถอะ!”
“อ… เอาแค่พอประมาณนะ ทั้งสองคน….”
แองแจลีนกับมิเลียมกวาดเอาของหวานใส่ถาดอย่างละชิ้น ส่วนอาเนสซ่าก็ยังคงคีพลุคไม่สนใจมากนัก พลางหยิบเอาของสองสามชิ้นที่เข้าตาใส่ถาดตัวเอง แม้ว่าจะเป็นนักผจญภัยระดับเอสหรือทริปเปิ้ลเอก็ตาม แต่อย่างไรเสียพวกเธอก็ยังเป็นเด็กสาววัยรุ่นอยู่ดี
หลังจากจ่ายเงินค่าของหวานเป็นจำนวนมหาศาลจนพนักงานร้านยังตกใจแล้ว พวกเธอก็ไปนั่งที่โต๊ะ
“ซื้อมาเยอะเกินไปรึเปล่าล่ะนี่” มิเลียมกระพริบตาปริบ ๆ พลางมองขนมหวานที่กองเป็นภูเขาตรงหน้าตนเอง
แองเจลีนส่ายหัว
“ไม่มีปัญหา….สั่งชากันเถอะ”
หลังจากสั่งชาดอกไม้มา มีเลียมและแองเจลีนก็เริ่มจัดการกับของหวานตรงหน้าอย่างเป็นสุข
“อื้มม- อาหร่อยย-“
“ของดีเลยนะเนี่ย…นี่อาเนะ ขออันนั้นบ้างสิ”
“ไม่ให้ย่ะ นี่ของชั้นหรอก แต่ให้ว่าเถอะ พึ่งกินข้าวเที่ยงไปแท้ ๆ พวกเธอยังอุตส่าห์ยัดของหวานลงไปได้อีกนะ” อาเนสซ่าพูดอย่างไม่เชื่อสายตา ส่วนสองคนที่ว่าก็เอียงคออย่างงุนงง
“ก็ผู้หญิงน่ะมีกระเพาะสำหรับของหวานแยกต่างหากนี่ เนอะแองจี้?”
“เป็นธรรมชาติของหญิงสาวล่ะนะ….”
ไม่ใช่ของธรรมชาติแล้ว อาเนสซ่าเกือบจะพูดตบมุขไป แต่ก็หยุดแค่ถอนหายใจออกมา แล้วหันไปตักเอาของหวานเข้าปากแทน แต่เพราะดูเหมือนของหวานจะรสชาติดีเกินคาดมากไป นางจึงเผลอทำหน้าเคลิ้มออกมา อีกสองคนที่เห็นดังนั้นก็แอบยิ้มกรุ้มกริ่มเบา ๆ
“อร่อย…อยากกินกับคุณพ่อจัง….”
“อา-…น่าเสียดายเนอะก่อยหน้านี้น่ะ”
“สุดท้ายก็ไม่ได้กลับไปงันเหรอ?”
“อื้ม..ไม่รู้ว่าครั้งต่อไปจะได้หยุดเมื่อไหร่ด้วย…สรรพสิ่งล้วนไม่จีรัง…งั่มๆ ” แองเจลีนทำหน้าหมองพลางหยิบเอาขนมเข้าปากเพิ่ม อาเนสซ่ากับมิเลียมเห็นดังนั้นก็ยิ้มแห้ง ๆ ก่อนที่อาเนสซ่าจะพยายามพูดเปลี่ยนบรรยากาศ
“แต่จะว่าไป คนที่เธอช่วยไว้นี่เป็นลูกสาวของเอิร์ลโบลโดร์สินะ”
“….เอิร์ลโบลโดร์นี่ใครอ่ะ”
“เอ๊ะ…เอ่อ ก็ เขาเป็นขุนนางที่มีอิทธิมากในตอนเหนือน่ะ โทเนลล่าเองก็อยู่ในเขตการปกครองของเขาด้วยเหมือนกัน ที่เธอไปสร้างหนี้บุญคุณกับคนระดับนั้นได้นี่สุดยอดไปเลยล่ะนะ”
“…เรื่องนั้นช่างเถอะ…แค่เซเลนได้เจอกับคุณพ่อก็ดีแล้วล่ะ”
“งะ..งั้นเหรอ…” อาเนสซ่ารู้สึกเขินเล็กน้อยที่พูดถึงผลประโยชน์ไปตามสัญชาติญาณ แม้จะไม่ได้ผิดวิสัยนักผจญภัยก็เถอะ
“แต่ว่า….!” แองเจลีนยัดขนมและชาเข้าปากอย่างรวดเร็ว
“ครั้งหน้านี่แหละ จะต้องได้กลับแน่….! ถ้ายังทำภารกิจด้วยความเร็วเท่านี้ไปเรื่อย ๆ ล่ะก็ กิลด์ต้องไม่กล้าปฏิเสธคำขอหยุดพักยาวของชั้นแน่หุ หุ หุหุ หุ…อาเนะกับมิรี่เองจะตามมาด้วยก็ได้นะ…”
อาเนสซ่าที่เห็นแองเจลีนหัวเราะออกมาอย่างมีเลศนัยก็ได้แต่ส่ายหัว
“คิดถึงความรู้สึกพวกเราก็ดีอยู่หรอก เอาเถอะ ก็ไม่ได้จะปฏิเสธล่ะนะ”
“อุฮุฮุ ทั้งได้ไปเดินเที่ยวตรงโน้นตรงนี้ ได้กินของอร่อย ๆ เพราะงั้นโนพลอมแพลมจ้า”
แองเจลีนนั้นมีแผนการสำหรับการขอลาพักครั้งต่อไปอยู่ ด้วยการไล่ทำคำร้องที่มีอยู่ตอนนี้ไปให้เกลี้ยงด้วยอัตราที่มากกว่านักผจญภัยทั่วไปเป็นเท่าตัว เมื่อมีผลงานเช่นนั้นแล้วต่อให้ไม่อยาก แต่ทางกิลด์ก็คงยากที่จะปฏิเสธคำร้องขอลาหยุดเป็นแน่
และผลพลอยได้จากการทำเช่นนั้นก็คือจุดมุ่งหมายของนักผจญภัยทั้งหลาย ตอนนี้พวกเธอมีเงินเหลือกินเหลือใช้นั่นเอง พวกอุปกรณ์ทั้งหลายเองก็เตรียมพร้อมจนไม่ต้องซื้อใหม่ไปอีกสักพักแล้ว และแม้ในช่วงว่าง ๆ ระหว่างที่ทำคำร้องจะถลุงเงินไปมากมายเหมือนวันนี้ แต่ก็ยังใช้ไม่ทันหาอยู่ดี
จู่ ๆ อาเนสซ่าก็พึมพำขึ้นมา
“ถ้าไม่รู้จะใช้ทำอะไรแล้วล่ะก็…เอาไปบริจาคให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าสักหน่อยก็ไม่คงเลวนะ
“อ๊ะ- นั่นสิเน๊อ- ซิสเตอร์ต้องดีใจแน่เลย”
มิเรียมเห็นด้วย
ทางแองเจลีนเมื่อได้ยินดังนั้นก็เอียงคอด้วยความสงสัย
“สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเหรอ?”
อาเนสซ่าเกาแก้มพลามยิ้มฝืด ๆ
“อา- พวกเราเป็นเด็กกำพร้าโตมาในโบสถ์น่ะ”
“ซิสเตอร์เลยเหมือนเป็นตัวแทนคุณแม่ล่ะเนอะ ถึงจะไม่มีคุณพ่อก็เถอะน๊า”
“ก็นะ ตอนนั้นค่อนข้างขัดสนเรื่องเงินด้วย ก็เลยต้องกระเสือกกระสนมาเป็นนักผจญภัยเพื่อเอาตัวรอดนี่แหละ”
“ใช่ ๆ ปาร์ตี้แรกก็เป็นพวกจากที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามารวมกลุ่มกันเป็นปาร์ตี้นี่ล่ะเนอะ”
“ถึงซิสเตอร์จะค้านหัวชนฝาเลยก็เถอะนะ”
อาเนสซ่าอมยิ้ม มิเรียมเองก็หัวเราะไปพลางกินขนมไปด้วย
ไม่เคยรู้มาก่อนเลยแฮะ แองเจลีนหรี่ตาลง พอมาคิด ๆ ดูแล้ว ตัวเธอเองก็ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องของสองคนนี้เลย เรื่องพวกพ้องของทั้งสองคนก็ไม่รู้ จะว่าไปก็ไม่เคยเล่าเรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวเองให้สองคนนี้ฟังเลยด้วยซ้ำ
แองเจลีนขยับเก้าอี้กุกกัก แล้วเผชิญหน้ากับทั้งสองคนอีกครั้ง
“ฉันน่ะเป็นเด็กถูกทิ้งล่ะ แล้วคุณพ่อก็เก็บฉันได้บนภูเขา…”
“เอ๊ะ”
“หวา อะไรกันล่ะนั่น พึ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกเลย”
ทั้งสองคนเอนตัวเข้ามาฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
เอาล่ะ ตัดสินใจแล้วว่าวันนี้จะเล่าให้หมดเลย ทั้งเรื่องที่หมู่บ้าน เรื่องของคุณพ่อ เรื่องของตัวเอง..
แล้วก็จะฟังให้หมดเลย เรื่องสมัยเด็กของทั้งสองคน เรื่องที่สถานเลี้ยงเด็ก แล้วก็เรื่องของซิสเตอร์ด้วย
คงต้องขอชาเพิ่มอีกแก้วแล้วสิ
——————————————————–
ลงครบแล้ววว ให้ตายเถอะตัวชั้นในอดีต ทำไมถึงแปลไม่ครบตอนเนี่ย ก็ว่าอยู่ว่าทำไมมันตัดห้วนแปลก ๆ ฮา
หลังจากนี้คงไม่ได้แปลต่อแล้ว เพราะผมคงต้องเอาตัวเองให้รอดก่อนล่ะนะ
ยังไงก็ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะครับ กู๊ดบาย เซไค~