ตอนที่ 109 ชายหญิงสมสู่
ผมเทาปลิวไสว
ดวงตาแข็งตัวชั่วนิรันดร์
กระบี่หนาแทงเข้าที่หน้าอก เลือดสดสาดกระเซ็นอย่างหนักจนโดนแก้มหนิงอี้ สะท้อนดวงตาไร้ความปรานีและแน่วแน่ วิชาคุมกระบี่ดรรชนีสังหารพลันปลุกตื่นขึ้น ปราณกระบี่ยิ่งใหญ่กระจายภายในกายนกกระจอกเงิน
“หนิงอี้ เจ้าบังอาจ!”
เสียงโกรธแค้นของหานเยวียดังกึกก้องบนฟ้าที่ราบสูง ยักษ์ที่รวมจากเศษหญ้าสูงใหญ่คำรามด้วยความโกรธ ตบฝ่ามือลงมา หนิงอี้ไม่เงยหน้าขึ้น เพียงแค่สะบัดแขนเสื้อ
ยันต์มากมายพุ่งมาจากปากแขนเสื้อ สีเหลืองคราม เหมือนกับลูกธนูเร็วระเบิดกลางอากาศ ความเร็วพลันเพิ่มขึ้นหลายเท่า จำนวนเยอะจนน่าเหลือเชื่อ ยันต์ที่พุ่งมาจากแขนเสื้อมีมากเกือบร้อยแผ่น!
ฝ่ามือยักษ์ที่ตบลงมานั้นชะงักไปก่อนเล็กน้อย จากนั้นถูกแรงระเบิดของยันต์มากมายจุดไฟลุกขึ้น ครึ่งซีกคนยักษ์เศษหญ้ากลายเป็นสีแดงเพลิง เกิดควันลอยขึ้นดังซ่าๆ
หมอกควันหมุนวน
หนิงอี้สั่นข้อมือเก็บกระบี่ เท้าเหยียบหน้าอกนกกระจอกเงิน
อัจฉริยะโลกเทาที่เสียจิตสำนึกไปทั้งหมด ไม่มีสติปัญญาใดๆ แล้ว ร่างไถลออกจากแท่นสูงมรณะ ลากเป็นเส้นโค้งกลางอากาศ ตกไปทางหญิงชุดคลุมดำที่หน้ามืดทะมึนข้างล่าง
หานเยวียยกสองแขนรับศพหนักนั้น ตัวเอียงไปข้างหน้าเล็กน้อย นางกวาดสายตามองทีหนึ่ง ใบหน้าปั้นยากยิ่งกว่าเดิม ในร่างของเยี่ยนจือ มองจากบาดแผลมีปราณกระบี่อัดแน่นเต็มไปหมด เส้นเลือดลมเสียหายทั้งหมด ไม่ต่างอะไรกับร่างพิการ ต่อให้หานเยวียพาเขากลับแดนบูรพาก็ไม่อาจใช้หลอดแก้วสร้างร่างใหม่ได้ และที่สำคัญที่สุดคือ…แม้หนิงอี้จะใช้เพียงกระบี่เดียว แต่กระบี่นั้นทำลายดวงจิตของนกกระจอกเงินทั้งหมด ผู้บำเพ็ญที่ตนค่อนข้างให้ความสำคัญคนนี้ วิญญาณตกนรกชั่วนิรันดร์แล้ว ไม่มีทางกลับมาได้อีก
นี่ตั้งใจจะทำลายจิตใจตน
“กลอุบายมากมาย และยังซ่อนยันต์ไว้มากขนาดนี้อีกหรือ” หานเยวียแค่นยิ้ม นางมองเด็กหนุ่มที่กระโดดลงมาจากแท่นสูงมรณะเอง ปล่อยสองมือที่กอดนกกระจอกเงินไว้ ปล่อยให้ร่างตกลงพื้น สลายเป็นเถ้าถ่าน
หนิงอี้เอามือข้างหนึ่งจับด้าม ปักกระบี่ตารางหนากลับเข้าไปในฝังกระบี่ข้างหลังช้าๆ ด้ามกระบี่กับฝักกระบี่ประกบกันดัง ‘กึก’ ‘พินิจเหมันต์’ ที่เด้งสูงและตกลงมาไกลๆ ปักลงบนพื้นหญ้าตรงหน้าเขาพอดี
“เจ้าอยากดูแมลงต่อสู้กัน…มองเขาเป็นแมลงพิษ ได้ แต่ให้ข้าเป็นแมลงพิษ ไม่ได้” หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น พูดด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “ถ้าข้าแพ้ ข้าตายแน่ ดังนั้นเขาแพ้ เขาก็ต้องตาย”
หานเยวียสูดลมหายใจเข้าลึก นางคลึงแก้มตนเอง ยิ้มด้วยความโกรธ “เจ้าแพ้ชนะบทสรุปก็เหมือนกัน ภูเขาแดงที่นี่ ข้าจะช่วยให้เจ้า ‘เติบใหญ่’ ก้าวไปไกลมาก พันกรรู้เข้าก็อาจจะขอบคุณข้า จากนี้เจ้าจะเป็นผู้บำเพ็ญพวกนั้นที่แกร่งที่สุดใต้ฟ้าต้าสุย เพราะคุณความดีของข้าเป็นส่วนใหญ่”
หนิงอี้ยิ้มแต่ในใจไม่ยิ้ม “เช่นนั้นข้าก็ยินดีต้อนรับเจ้ามาเป็นแขกที่เขาสู่ซาน ข้าไม่หลอมเจ้าเป็นศพแห้งยัดใส่ห้องน้ำเขาสู่ซาน ก็คงจะผิดต่อคำสอนของบรรพจารย์รุ่นก่อนๆ”
หานเยวียยิ้ม “หนิงอี้ อีกเดี๋ยวข้าจะฉีกปากของเจ้า”
หนิงอี้รู้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าตนเป็นมารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแดนบูรพา แม้ร่างนี้จะเป็นเพียงภาชนะของวิญญาณร่างจริง แต่สิ่งที่อยู่ในนั้นก็เป็นการคงอยู่น่ากลัวที่ทำให้แดนทักษิณแสนลี้เงียบสงัด
หนิงอี้เคยเห็นเขากินคน ฉีกหน้า ควักลูกตา…ลูกเล่นในผู้บำเพ็ญภูตผี คนแซ่หานคนนี้เล่นมาก่อนเป็นหมื่นรอบแล้ว ตอนนี้สองฝ่ายปะทะกันอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ หากเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเขาศักดิ์สิทธิ์ใต้ฟ้าต้าสุยสักแห่ง ใครจะมั่นใจว่าจะสู้หญิงคนนี้ได้
ต่อให้เป็นอย่างนั้น หนิงอี้ก็ยังไม่ใจฝ่อ
ด้วยนิสัยของหานเยวีย หากออกมือกำราบตนแต่แรกได้ เขาก็คงจะออกมือในทันทีไปแล้ว ที่นั่งบนเขาดูเสือสู้กันบนที่ราบภูเขาแดง รอเยี่ยนจือกับตนตัดสินแพ้ชนะกัน ครึ่งหนึ่งมีความคิดที่จะออมแรงไว้บ้าง อีกครึ่ง…เขาจะต้องไม่สะดวกออกมือแน่นอน
เด็กหนุ่มที่ถือพินิจเหมันต์จ้องหญิงตรงหน้า
หญิงคนนี้มีการเคลื่อนไหวแปลกๆ สองมือนางอ้อมหลังศีรษะ เหมือนกำลังผูกเชือกรัดผมเบาๆ สะบัดเส้นผมยาวกระเซิง และยังเหมือนเกาหลังศีรษะตนเอง ยังคงอยู่ในท่านี้ตลอด
การเปิดแดนต้องห้ามบุพกาลของปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณต้องจ่ายในราคามหาศาล จุดนี้ไม่ต้องสงสัยเลย องค์ชายรองกับองค์ชายสามใช้แรงใจไปอย่างมาก เพียงเพื่อเข้าแดนต้องห้าม แดนบูรพาต้องจ่ายความเป็นเทพที่สะสมไว้ไม่มากในหลอดแก้ว แดนประจิมก็พาสวีชิงเยี่ยนมาเปิดภูเขา…
นึกถึงเด็กสาวคนนั้น หนิงอี้ก็มีแววตาจริงจังขึ้นมาสามส่วน
เขามองทิศทางที่เป็นเส้นตรงกับตนข้างหลังหานเยวีย ตรงนั้นคือทางเข้าภูเขาแดง ทางแยกมากมายบรรจบกัน ยากจะหาทิศทางสุดท้ายพบ ที่ราบกระดูกในตันเถียนหนิงอี้สั่นไหวไม่หยุด กระทั่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เหมือนว่าเด็กสาวนั่นอยู่ทางนั้นของภูเขาแดง
ไม่รู้ว่านางจะสัมผัสถึงตนได้เหมือนในอารามรู้กรรมหรือไม่
……
การเปิดแดนต้องห้ามบุพกาลของเขตต้องห้ามปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณต้องใช้พลังมากเท่าไร
หนิงอี้ไม่แน่ใจ และไม่อาจคาดการณ์ได้
แต่เขารู้อย่างหนึ่ง ผู้บำเพ็ญแดนบูรพาที่มีนกกระจอกเงินเยี่ยนจื่อเป็นผู้นำ ‘ดักปล้น’ กลุ่มนี้ ล้วนเป็น ‘เครื่องบรรณาการ’ ที่องค์ชายรองเตรียมไว้ให้อาจารย์ของตนหานเยวีย หลังหานเยวียทำภารกิจเปิดแดนต้องห้ามแล้ว ดวงวิญญาณในร่างนี้จะเข้าสู่สภาวะลำบากอย่างยิ่ง ร่างสถิตรับภาระหนักเท่าฟ้า ไม่อาจออกมือได้ในช่วงเวลาสั้นๆ
ดังนั้นหานเยวียต้องกิน ‘ร่างเลือดเนื้อ’ ที่แกร่งพอ ศิษย์สำนักวิญญาณยักษ์นั้นคือคนหนึ่ง คนจากเขาผาภูตอีกคน คนสำนักครองคู่อีกคน หลังจากนางบีบหัวใจคนอื่นผ่านอากาศแตกหมดแล้ว พลังเลือดลมขมุกขมัวลอยขึ้นจากศพ ไหลมารวมกันที่นางเหมือนกับหมอกควัน
บทสรุปที่ประหยัดแรงที่สุดคือนกกระจอกเงินชนะ การกินหนิงอี้ก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายอย่างยิ่ง…แต่หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ หานเยวียคงรู้สึกผิดหวังมาก เขาคาดหวังให้อาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานคนนี้มีพรสวรรค์ยิ่งสูงเท่าไรก็ยิ่งดี
ดังนั้นถึงมีการคุมเชิงกันตอนนี้
หนิงอี้คว้าทุกลมหายใจ ปรับสภาพของตนสุดชีวิต
หานเยวียมีสีหน้าปกติ ยังคงอยู่ในท่าสองมืออ้อมหลังศีรษะ เหมือนไม่สนใจว่าหนิงอี้จะปรับสภาพเป็นอย่างไร
เศษหญ้าจากสีขาวน้ำค้างค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำ ปลิวว่อนบนพื้นดิน
เสียงฉีกดังขึ้นเบาๆ สองมือหานเยวียจับรอยฉีกเล็กตรงหลังศีรษะ ค่อยๆ ดึงผิวหนังของตน ใบหน้างดงามอย่างยิ่งนั้นเงยหน้าขึ้น ใบหน้าพลันกลายเป็นน่ากลัว สายลมพัดผ่านบนที่ราบ ท่ามกลางฟ้าดินมืดสลัว เหมือนมีเสียงฟ้าร้องอยู่ไกลๆ ทำให้ทั้งที่ราบภูเขาแดงสว่างเหมือนยามกลางวัน
หนิงอี้พ่นลมหายใจขุ่น
เขาหรี่ตาลง พูดงึมงำ “คนไม่ใช่คน ผีไม่ใช่ผี แสร้งทำตัวลึกลับ…”
หานเยวียยังคงฉีกผิวหนังหลังศีรษะของตนต่อ เหมือนดึงผ้าที่เก่าและแข็ง การเคลื่อนไหวของนางหยาบและรุนแรง กระแทกหนังทีละครั้ง รอยฉีกสีแดงจึงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เสียง ‘หึ่งๆๆ’ น่าขนหัวลุกดังมาจากในรอยฉีกนี้
นางเปล่งเสียงครวญครางอัดอั้นที่ไม่แน่ใจว่ามีความสุขหรือเจ็บปวดมาจากในลำคอ นางนั่งย่อตัวลง ให้หนิงอี้เห็นภาพนี้ที่เกิดขึ้นชัดเจนกว่าเดิม รอยฉีกตรงหลังศีรษะยาวมาถึงหลัง เส้นฉีกรอยแยกออก อาภรณ์ดำสลายเป็นเถ้าถ่านไปทีละนิด เผยเปลือกสมบูรณ์แบบไร้ที่ติขาวหิมะ น่าเสียดายที่เปลือกร่างนี้ฉีกครึ่ง ฉีกมาถึงกระดูกก้นกบ แมลงพิษและผึ้งสีดำจำนวนมากส่งเสียงดังหึ่งๆ เหมือนหมอกควันล้อมรอบหญิงที่นั่งยองอยู่
ภายในร่างนี้ไม่มีอวัยวะภายใน แต่ซ่อนสิ่งที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก
หนิงอี้หน้าซีดขาวเล็กน้อย
หากเป็นไปได้ เขาก็ไม่อยากสู้กับปีศาจแดนบูรพาคนนี้อีกเลย กลอุบายพวกนี้…ช่างน่าขยะแขยงจริงๆ…หนิงอี้รู้คร่าวๆ ในใจว่านี่อาจจะเป็นขีดจำกัดที่หานเยวียทำได้ในพลังบำเพ็ญนี้แล้ว
แมลงบินพวกนี้มีจำนวนมาก มากันเป็นฝูง เปลือกร่างหญิงที่มีความอวบอิ่ม ซ่อนสิ่งมีพิษไว้มากขนาดนี้ได้อย่างไรกัน
เมื่อนึกถึงก่อนหน้านี้ที่หญิงคนนี้ยังจับแก้มผู้บำเพ็ญแดนบูรพาและประกบปากอย่างร้อนแรงกับเขาบนที่ราบ หนิงอี้ก็รู้สึกไม่สบายตัวอย่างชัดเจน
นามของหานเยวียทำให้เด็กน้อยหยุดร้องในยามวิกาลได้
ตอนนี้หนิงอี้ได้สัมผัสคำพูดนี้อย่างลึกซึ้งยิ่งแล้ว
“เหอะ…”
“เหอะ ฮ่าๆๆ…”
เสียงหัวเราะในลำคอของนางฟังดูเหมือนเย้ยเยาะตัวเอง และเหมือนเป็นความสุขในความเจ็บปวด จากนั้นค่อยๆ แหบแห้ง ไม่แหลมเหมือนก่อนอีก แต่ยังคงมีความนุ่มนวล เปลือกร่างใหม่ที่สมบูรณ์มุดออกมาจากรอยฉีกข้างหลังนาง เป็นเด็กขาวสะอาด คราบเลือดเหนียวตามตัวตกลงมาเป็นชิ้นใหญ่ตามเขามุดออกมาจากหลังหญิงคนนั้น
“หนิงอี้…ความจริงก่อนมาภูเขาแดง ข้าก็เพิ่งกินผู้บำเพ็ญที่ใช้ได้ไปคนหนึ่ง” เสียงเด็กมีความพึงพอใจ เขาหัวเราะเบาๆ “เจ้าเคยได้ยินนาม ‘กุมาร’ หรือไม่”
หนิงอี้หรี่ตาลง
ระหว่างทางในหุบเขาวิญญาณร่วงหล่นก็เคยได้ยินผู้บำเพ็ญแดนทักษิณหลายคนเอ่ยถึง ‘กุมาร’ ตอนนั้นคนพวกนั้นสงสัยว่าตนเป็น ‘กุมาร’ นั่น…หานเยวียกำหนดจะให้เขาเป็นหายนะที่ห้า กุมารคนนี้คงไม่คาดคิดว่านี่ไม่ใช่โชค แต่เป็นเรื่องเลวร้ายครั้งใหญ่
“ชายหญิงสมสู่ หญิงคนนี้เป็นภาชนะที่ไม่เลวเลย ข้าพานางมาจากในหลอดแก้วมาที่นี่ก็เพื่อหาสารอาหารที่มากพอฟัก ‘ทารก’ ที่ข้าให้ความสำคัญ” เสียงของหานเยวียมีความเสียดายเล็กน้อย “น่าเสียดายมาก กุมารมีพรสวรรค์ดีจริงๆ แต่ก็สู้เจ้าไม่ได้…ข้าไม่ควรด่วนตัดสินใจเช่นนั้นเลย”
ในดวงตาเด็กมีความปลงอนิจจังเสี้ยวหนึ่ง ขาสองข้างเขาห่างจากพื้น ลอยขึ้นมา
“ข้ายังห่างจากก้าวนั้นอีกเสี้ยวเดียว ก็ยังขาดไฟไปอีกหน่อยเดียว…”
“หนิงอี้” หานเยวียหัวเราะเบาๆ “กินเจ้าแล้ว บางทีข้าอาจจะได้นิพพานจริงๆ ก็ได้”
…………………………….
—————————————-