ตอนที่ 301 ปีศาจเทือกเขาแดนใต้รุกราน
ทันทีที่สิ้นเสียง วินาทีที่ซือถูเจิ้นผิงลืมตาขึ้นมา ไอกระบี่ที่รุนแรงสองสายก็พวยพุ่งออกมา
ขณะเดียวกัน รอบกายของเขาก็มีไอพลังเต๋าลอยวน ไอกระบี่มากมายปรากฏขึ้นกลางอากาศ ส่งเสียงคำรามอันน่าสะพรึงกลัวออกมามิหยุด
วินาทีนั้น เขาราวกับเป็นร่างจำแลงของกระบี่ แม้ร่างกายจะมิมีไอพลังและพลังปราณใด ๆ วนเวียนอยู่ แต่ด้วยเหตุนั้นกลับให้ความรู้สึกที่มีอาจจะมองข้ามได้
“ในที่สุดข้าก็เหมือนจะเข้าใจจิตใจของผู้อาวุโสเย่แล้ว”
ซือถูเจิ้นผิงลุกขึ้นยืน พร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่เรียบนิ่งและเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
ทว่ายังมิทันสิ้นเสียง ในจังหวะที่ซือถูเจิ้นผิงค่อย ๆ ก้าวออกไปนั้น
ร่างทั้งร่างของเขาก็ราวกับหายวับไปในอากาศ
เพียงพริบตา ก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งบนพื้นหญ้าเบื้องล่างราวกับภูตผี
ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความฉงนของหลาย ๆ คน ซือถูเจิ้นผิงกวาดตามองไปยังตู๋กูชิงเฟิงที่อยู่ไกลออกไป จากนั้นก็ก้มลงไปเด็ดหญ้าต้นหนึ่งขึ้นมากุมเอาไว้ในมือ
“หญ้าต้นเดียวก็ฟันตะวัน จันทรา และดวงดาวได้ สิ่งที่ผู้อาวุโสเย่กล่าวถึงคือระดับเช่นไรกันแน่ ? ”
ซือถูเจิ้นผิงกุมหญ้าต้นหนึ่งเอาไว้ในมือ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นพร้อมกับมองขึ้นไปบนฟ้า
สิ้นเสียงซือถูเจิ้นผิงก็สะบัดแขนเสื้อ ไอกระบี่สายหนึ่งทะยานขึ้นฟ้า ทะลวงเมฆสีครามที่ลอยต่ำในทันใด
วินาทีนั้น มิเพียงแต่ตู๋กูชิงเฟิงที่ทนมองและทนฟังต่อไปมิไหว ทว่าแม้แต่พวกฮูเอี๋ยนเจินชวนที่ถูกสะกดเอาไว้เองก็รู้สึกหน้าชาขึ้นมาเช่นกัน
‘ตาเฒ่าคนนี้เป็นอะไรกันแน่ ? ’
‘หรือว่าเมื่อครู่เกิดไปรู้แจ้งบางอย่างเข้า จนสมองฟั่นเฟือนไปแล้วอย่างนั้นหรือ ? ’
‘หากมิใช่ ! ’
‘ต่อให้บรรลุในวิถีกระบี่แม้ยิ่งใหญ่เพียงใด ก็มิถึงกับต้องแสดงละครฉากใหญ่เพียงนี้นี่นา ? ’
‘ก่อนหน้านี้คิดว่าตาเฒ่าผู้นี้เป็นคนจริงจัง’
‘คาดมิถึงว่าจะกลายเป็นคนเช่นนี้ไปได้ ! ’
‘หากเขาประสบความสำเร็จเช่นผู้อาวุโสเย่ มิวางท่าทั้งตอนเดินตอนนอนเลยงั้นหรือ ? ’
‘ดูท่าต่อไปถ้าจะคบเป็นสหายต่อ คงต้องคิดดูใหม่เสียแล้ว ! ’
ตอนนั้นเอง
“ผู้อาวุโสเย่ที่เจ้าเอ่ยถึงเป็นใครกันแน่ ? ”
ตู๋กูชิงเฟิงที่มิเข้าใจความหมาย จึงถามออกมาเสียงเรียบ “หรือว่าภายในจงหยวน ยังมีผู้ที่แข็งแกร่งกว่านี้อีกงั้นหรือ ? ”
ได้ยินเช่นนั้น ในที่สุดซือถูเจิ้นผิงก็ได้สติขึ้นมา
มือเขายังคงถือต้นหญ้าเอาไว้ ก่อนจะหันไปมองจักรพรรดิมารตนนั้น
“ผู้อาวุโสเย่แท้จริงแล้วเป็นผู้ใดกัน ? ”
ซือถูเจิ้นผิงยิ้มออกมา จากนั้นจึงเอ่ยด้วยสีหน้าดูแคลนว่า “ข้าจะบอกให้เอาบุญก็แล้วกัน”
“ข้ายอมรับว่าจักรพรรดิมารเช่นเจ้าแข็งแกร่งมากจริง ๆ และเหนือความคาดหมายของพวกเราอีกด้วย แต่พลังของเจ้าหาใช่อยู่ในระดับที่ไร้คู่ต่อสู้ในโลกใบนี้ไม่”
“ข้ามองว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าของผู้อาวุโสเย่ เจ้ากับพวกเราก็หาได้แตกต่างกันไม่ หรือจะเรียกว่ามิได้ต่างอะไรกับคนทั่วไปก็ว่าได้”
ตู๋กูชิงเฟิงหัวเราะเยาะออกมาทันที
“หากเป็นเช่นนั้นจริง โลกนี้ก็คงจะมิเป็นเช่นนี้หรอก หรือว่าเจ้าเพียงแค่อุปโลกน์ตัวละครเช่นนี้ออกมา เพื่อต้องการให้ข้ายอมรามือและล่าถอยไปกระมัง ? ”
ประโยคสุดท้าย น้ำเสียงของตู๋กูชิงเฟิงแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเฉียบ ขณะเดียวกันก็ระเบิดจิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัวออกมา
นางมิเชื่อเด็ดขาด ว่าโลกใบนี้จะมีผู้ที่น่ากลัวเช่นนั้นอยู่อีก
การที่มนุษย์เฒ่าผู้นี้เอ่ยออกมา ก็เพื่อต้องการขู่ให้นางกลัวเท่านั้น
แต่นางเป็นถึงจักรพรรดิมาร การที่คนผู้นี้มาข่มขู่นางเช่นนี้ เท่ากับเป็นการดูหมิ่นความน่าเกรงขามของจักรพรรดิเช่นนาง !
สมควรตาย !
คิดได้เช่นนั้น จิตสังหารของตู๋กูชิงเฟิงก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น
“จักรพรรดิมาร ดูท่าเจ้าจะคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไปกระมัง”
ซือถูเจิ้นผิงหัวเราะเสียงเรียบออกมา พร้อมเอ่ยว่า “เกรงว่าด้วยความเข้าใจในวิถีกระบี่ของข้าในตอนนี้ หากต้องการจะไปจากที่นี่ ต่อให้เป็นเจ้าก็มิอาจขวางข้าได้”
“อีกอย่างข้ามั่นใจว่าตอนนี้จะสามารถอัญเชิญทัณฑ์สวรรค์พิฆาตและบรรลุเป็นเซียนได้ตลอดเวลา คิดว่าผลกรรมนั้นเจ้าคงมิกล้าเอาตัวเข้าไปแปดเปื้อนด้วยกระมัง ? ”
“แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ผู้ที่เก่งกาจเช่นผู้อาวุโสเย่ หาใช่ผู้ที่เจ้าจะดูหมิ่นได้”
เอ่ยเพียงเท่านั้น ซือถูเจิ้นผิงก็โยนต้นหญ้าในมือออกไปในอากาศ
ทันใดนั้น หญ้าต้นไร้ค่าก็แปรเปลี่ยนเป็นกระบี่เซียนเล่มหนึ่ง พร้อมกับปล่อยไอกระบี่อันรุนแรง และเต็มไปด้วยไอพลังวิถีกระบี่ออกมา
วินาทีนั้นเอง ซือถูเจิ้นผิงก็ได้ใช้วิชาแปลกประหลาดที่ตนเพิ่งเกิดความเข้าใจ ทำลายเคล็ดวิชาแดนสนธยาของจักรพรรดิมารลงทันที
ในที่สุดพลังวิญญาณรวมทั้งเลือดลมที่ไหลย้อนกลับของพวกฮูเอี๋ยนเจินชวน ที่ถูกสะกดเอาไว้ก็กลับมาสงบลง หลังจากที่พวกเขากระอักเลือดออกมาอีกครั้ง
“นี่มัน ! ”
“คาดมิถึงว่าช่วงเวลาสั้น ๆ ซือถูเจิ้นผิงจะบรรลุในวิถีกระบี่สูงขึ้นถึงเพียงนี้”
“น่าเหลือเชื่อ ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ! ”
“เขาสามารถทำลายแดนสนธยาของจักรพรรดิมารตนนี้ได้ หรือว่าความเข้าใจในวิถีกระบี่ของเขาจะอยู่ในระดับแดนสนธยาแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เจ้าคนนี้มีพรสวรรค์อันสูงส่งจริง ๆ สามารถรู้แจ้งถึงระดับแดนสนธยาได้ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานพอดี”
“เช่นนี้ก็เท่ากับว่าซือถูเจิ้นผิงสามารถต่อกรกับจักรพรรดิตนนี้ได้งั้นหรือ ? ”
“จริงด้วย เมื่อครู่ซือถูเจิ้นผิงเอ่ยถึงผู้อาวุโสเย่ซ้ำไปซ้ำมา หรือว่าจะมีประโยคใดของผู้อาวุโสเย่ที่ทำให้เขารู้แจ้งขึ้นมาเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“อืม คงจะเป็นเช่นนั้นแน่ อีกอย่างคงมีเพียงผู้อาวุโสเย่เท่านั้น ที่ทุกคำพูดและการการกระทำสอดคล้องกับวิถีเต๋า”
“ข้าเสียดายจริง ๆ หากรู้เช่นนี้ก่อนหน้านี้ข้ามิควรบุ่มบ่ามเช่นนั้นเลย”
ทันใดนั้นหลังจากที่ทุกคนได้สติ ต่างก็ทอดถอนใจออกมาถ้วนหน้า
ตอนนั้นเอง
“มิต้องเอ่ยถึงว่าจงหยวนจะมีผู้ที่เก่งกาจเช่นนั้นอยู่จริงหรือไม่”
ตู๋กูชิงเฟิงเอ่ยกับซือถูเจิ้นผิงอีกครั้ง “แต่อาศัยความแตกฉานในวิถีกระบี่ของเจ้าในตอนนี้ คิดว่าตัวเองจะสามารถต่อกรกับข้าได้จริง ๆ เยี่ยงนั้นน่ะหรือ ? ”
ซือถูเจิ้นผิงมิได้เผยสีหน้าใด ๆ ออกมา แต่กลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “แม้ข้าจะเกิดการบรรลุในวิถีกระบี่ขึ้นก็จริง แต่ก็ต้องยอมรับว่าเจ้านั่นยังแข็งแกร่งกว่าข้ามาก”
“แต่ว่าหากเจ้าต้องการจะสังหารข้าภายในระยะเวลาสั้น ๆ เกรงว่าก็คงเป็นไปมิได้เช่นกัน”
สิ้นเสียงพลังบนกายของตู๋กูชิงเฟิงก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง พลังปราณมหาศาลพลุ่งพล่านขึ้นมาแทบจะในทันที
มินาน นางก็ใช้มือทั้งสองข้างกดลงไปบนสายพิณอีกครั้ง พร้อมกับเริ่มบรรเลง
“แต๊งแต๊งแต๊งแต๊งแต๊ง… แต๊งแต๊งแต๊ง… แต๊งแต๊งแต๊ง…”
ครั้งนี้เสียงพิณดุดัน เกรี้ยวกราด ราวกับเสียงแก้วที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ เต็มไปด้วยจิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัว
ทันใดนั้น คลื่นพลังที่อบอวลไปด้วยไอพลังเต๋ามากมายก็พวยพุ่งออกไปทันที ทำให้กลางอากาศแหวกออกเป็นทางยาว ขณะพุ่งเข้าสังหารซือถูเจิ้นผิง
เวลานี้ซือถูเจิ้นผิงเองก็มิได้ประมาทแต่อย่างใด
เขาเพ่งสมาธิ ก่อนที่พลังปราณรอบกายจะพลุ่งพล่าน จิตกระบี่มหาศาลปะทุออกมา
จากนั้นก็เกิดการสั่นสะเทือนขึ้นในอากาศ มีไอพลังวิถีกระบี่หมุนวนขึ้นรอบกาย
หลังจากเขาสะบัดแขนเสื้อ ไอกระบี่มากมายที่เต็มไปด้วยไอพลังวิถีกระบี่ก็พวยพุ่งออกไปราวกับฝูงตั๊กแตนก็มิปาน
…………………………………
ขณะที่จักรพรรดิมารตู๋กูชิงเฟิงเปิดศึกครั้งใหญ่กับซือถูเจิ้นผิงผู้นำของลัทธิเต๋า ผู้ที่เพิ่งจะเลื่อนขั้นบนวิถีกระบี่นั้น
ขณะเดียวกัน วันเดียวกับที่แดนเหนือของจงหยวนเปิดศึกกับฝ่ายมาร
พลบค่ำของวันนั้น
ณ แดนใต้ของจงหยวน
ขณะที่เหล่าผู้นำของลัทธิเต๋าคิดว่าปีศาจจากเทือกเขาแดนใต้จะยังมิบุกเข้าโจมตีนั้น พวกเขาจึงชะล่าใจเพียงแค่วางการป้องกันเอาไว้เท่านั้น
“โฮก ! ”
จู่ ๆ เสียงคำรามเสียงหนึ่งก็ดังกึกก้องขึ้นมาจากทางทิศใต้
มินานศิษย์ลัทธิเต๋าผู้ที่ประจำการอยู่บนกำแพงเมือง ก็พบว่ามีบัดนี้ได้มีเหตุการณ์อันน่าตกตะลึงเกิดขึ้นแล้ว
เมื่อมีมังกรสีดำยาวถึงร้อยจั้งตัวหนึ่งทะยานเข้ามา ส่วนด้านหลังก็มีนกป่านา ๆ ชนิดจนนับมิถ้วนบินตามมาติด ๆ
แทบจะเรียกได้ว่าปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าก็ว่าได้
มิหนำซ้ำบนพื้นดินอันกว้างใหญ่
บัดนี้ได้มีผู้แข็งแกร่งเผ่าปีศาจมากมายที่อยู่ในร่างเดิม ได้แผ่ไอปีศาจอันรุนแรงและไอสังหารจำนวนมากพวยพุ่งมาจากแดนใต้ ราวกับภูเขาลูกใหญ่หลายร้อยลูกกำลังเคลื่อนที่
แค่คิดดูก็รู้แล้วว่าภาพน่ากลัวเช่นนี้ จะทำให้ผู้คนตื่นตระหนกมากเพียงใด
หลังจากได้สติ เหล่าศิษย์ลัทธิเต๋าที่ประจำการอยู่บนกำแพง ต่างก็ตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดังราวกับคนคลุ้มคลั่ง
“รีบเคาะระฆังเตือนเร็วเข้า เผ่าปีศาจเทือกเขาแดนใต้บุกเข้ามาแล้ว ! ”
“รีบเคาะระฆังเตือนเร็วเข้า เผ่าปีศาจเทือกเขาแดนใต้บุกเข้ามาแล้ว ! ”
“รีบเคาะระฆังเตือนเร็วเข้า เผ่าปีศาจเทือกเขาแดนใต้บุกเข้ามาแล้ว ! ”