ตำนานเทพกู้จักรวาล 761 ศึกสงครามที่ด่านกุญแจหยก

ตอนที่ 761 ศึกสงครามที่ด่านกุญแจหยก

ณ ดวงตา​ภูติ​บดี​

แสงสว่าง​ที่นี่​ขมุกขมัว​ และ​ใน​ดวงตา​ วิญญูชน​สวรรค์​อวี้​กิน​ไก่​ที่​เหลือ​หมด​แล้ว​ แต่ทว่า​เมื่อ​เขา​คิด​จะโยน​กระดูก​ทิ้ง​ไป​ เขา​ก็​พบ​ว่า​โถงวัง​แห่ง​นี้​สะอาดสะอ้าน​ขนาด​ไหน​ เขา​ไม่รู้​ว่า​จะโยน​มัน​ลง​ไป​ยัง​จุด​ใด​ของ​สถานที่​อัน​หมดจด​ไร้​ที่​ติ​นี้​

เขา​ลังเล​อยู่​ครู่หนึ่ง​ และ​เมื่อ​เขา​พบ​ว่า​ไม่มีใคร​อยู่​ใน​โถง ภูติ​บดี​อัน​ก่อ​จาก​ไฟนรก​และ​ผู้เฒ่า​นำทาง​ความตาย​ก็​ล้วนแต่​ไม่ได้​อยู่​ที่นี่​ทั้งคู่​ ดังนั้น​ เขา​จึงโยน​กระ​ดูด​ทิ้ง​ไว้​ที่​มุมโถงหนึ่ง​ และ​รีบ​จรลี​จากไป​

ข้างนอก​โถงวัง​ ภูติ​บดี​อัน​ก่อ​ขึ้น​มาจาก​ไฟนรก​ยืน​อยู่​ที่นั่น​กับ​ผู้เฒ่า​นำทาง​ความตาย​ และ​พวกเขา​ก็​กำลัง​มอง​ลง​ไป​

วิญญูชน​สวรรค์​อวี้​ชะโงก​มองดู​บ้าง​ แต่​เขา​มองเห็น​เพียงแค่​ความมืด​ มองไม่เห็น​อะไร​เลย​สักนิด​

“เจ้าได้​จดบันทึก​ไว้​ทุกอย่าง​ไหม​” ภูติ​บดี​หัน​ศีรษะ​ไป​ถาม

ผู้เฒ่า​นำทาง​ความตาย​ผงกศีรษะ​และ​ตอบ​ “ข้า​กำลัง​บันทึก​”

ข้างนอก​ดวงตา​ของ​ภูติ​บดี​ เรือ​น้อย​มากมาย​กำลัง​ลอย​อยู่​ และ​บน​เรือ​น้อย​จำนวน​หลาย​หมื่น​ลำ​แต่ละ​ลำ​ ก็​มีผู้เฒ่า​นำทาง​ความตาย​อยู่​บน​นั้น​ ตะเกียง​ถูก​แขวน​เอาไว้​บน​หัว​เรือ​ และ​ผู้นำทาง​ความตาย​ทั้งหมด​ก็​กำลัง​จดบันทึก​อย่าง​เร็ว​รี่​

“วิญญูชน​สวรรค์​มู่กำลัง​ช่วยเหลือ​ภูติ​บดี​ แล้ว​ทำไม​ข้า​ยัง​ต้อง​จดบันทึก​ความผิด​ของ​เขา​อยู่​อีก​ล่ะ​” ผู้เฒ่า​นำทาง​ความตาย​ถาม

ภูติ​บดี​มีสีหน้า​ไร้อารมณ์​ “แม้ว่า​เขา​จะช่วยเหลือ​ข้า​ แต่​การกลืน​กิน​จิตวิญญาณ​ดั้งเดิม​ของ​เทพเจ้า​เหล่านั้น​ก็​ยังคง​เป็น​ความผิด​มหันต์​ พวกเรา​ไม่มีทางเลือก​นอก​เสีย​จาก​ต้อง​จดบันทึก​มัน​เอาไว้​”

ผู้เฒ่า​นำทาง​ความตาย​เผย​สีหน้า​ยุ่งยาก​และ​ถอนหายใจ​ยาว​ “สมุด​น้อย​จด​เรื่อง​เขา​มีมากมาย​เกินไป​แล้ว​ และ​เรือน​เก็บ​ของ​หลาย​หลัง​ก่อนหน้านี้​ก็​ไม่เพียงพอ​อีกต่อไป​ เรื่อง​นี้​มัน​จะจบ​ลง​แค่​มีสมุด​อัด​แน่น​จน​ปริ่ม​ถึงหลังคาเรือน​ตึก​ได้​อย่างไร​ ข้า​เกรง​ว่า​พวกเรา​คงจะ​ต้อง​สร้าง​ราช​วัง​อีก​หลาย​หลัง​เพื่อ​เก็บ​วีรกรรม​อัน​รุ่งโรจน์​เหล่านี้​ของ​เขา​เอาไว้​”

ภูติ​บดี​กล่าว​ “ถ้าอย่างนั้น​ ก็​ก่อสร้าง​ราช​วัง​ขึ้น​เพื่อ​เก็บ​บันทึก​ของ​เขา​ไว้​เป็นพิเศษ​สิ”

ผู้เฒ่า​นำทาง​ความตาย​ส่งเสียง​รับคำ​

ที่​หน้า​ด่าน​กุญแจ​หยก​ เอี๋ยน​เชีย​นจ้ง​ไอ​อย่าง​ไม่หยุด​ ใบหน้า​ของ​เขา​เปลี่ยน​จาก​ซีดเผือด​เป็น​แดงก่ำ​เมื่อ​เขา​มอง​ไป​ยัง​คลื่น​ยักษ์​ของ​เทพ​ศาสตรา​ที่​โถมซัด​เข้ามา​ เทพ​ศาสตรา​เหล่านั้น​คือ​อาวุธ​ของ​เทพเจ้า​ที่อยู่​ใต้​บัญชา​เขา​ และ​เทพเจ้า​หลาย​หมื่น​ก่อนหน้านี้​ก็​ล้วนแต่​เป็น​บริวาร​ของ​เขา​

เขา​นั้น​คือ​จักรพรรดิ​แดง​สวรรค์​ทักษิณ​ใน​สภาสวรรค์​นอก​โลก​ระหว่าง​ยุคสมัย​จักรพรรดิ​สูงส่ง และ​เทพเจ้า​เหล่านี้​ก็​เป็น​ผู้​ใต้​บัญชา​ของ​เขา​

เขา​ต่อสู้​กับ​ฉีเสีย​อวี๋​แห่ง​ยุคสมัย​จักรพรรดิ​สูงส่ง และ​เขา​ก็ได้​ตาย​ไป​ใน​การต่อสู้​ ผู้​ใต้​บัญชา​ของ​เขา​นับไม่ถ้วน​ก็​ตาย​ลง​ไป​ใน​ศึก​เช่นกัน​ และ​หลังจากที่​พวกเขา​สิ้นชีวิต​ พวกเขา​ก็​ตก​ลงมา​ใน​แดน​ใต้พิภพ​เช่นกัน​ พวกเขา​ยังคง​ติดตาม​เขา​อยู่​

และ​ใน​วันนี้​ พวกเขา​ทั้งหมด​ถูก​กลืน​กิน​เข้าไป​โดย​เงาร่าง​ที่​ยืน​เหยียบ​อยู่​เหนือ​ภูเขา​โครงกระดูก​จำนวน​ไร้​ประมาณ​

คลื่น​เชี่ยวกราก​ของ​เทพ​ศาสตรา​เปล่ง​รังสี​แสงสุริยัน​ และ​พวก​มัน​ก็​โถมซัด​ใน​อากาศ​พุ่ง​ไป​ข้างหน้า​อย่าง​ไม่หยุดยั้ง​ พวก​มัน​สร้าง​แรงกดดัน​แก่​ท้องฟ้า​จน​มีเสียง​ฟ้าร้อง​กึกก้อง​

เทพ​ศาสตรา​แต่ละ​ชิ้น​ใหญ่โต​ปาน​ภูเขา​ แสงเทพ​และ​แสงมาร​สาดส่อง​ไป​บน​กันและกัน​ และ​ทันใดนั้น​ แสงทั้งสอง​ก็​ประสาน​เข้าด้วยกัน​ เทพ​และ​มาร​ปะทะ​กัน​ใน​แดน​ใต้พิภพ​ มรรคา​มาร​สะกด​ข่ม​มรรคา​เทพ​ ดังนั้น​พลานุภาพ​ของ​เทพ​ศาสตรา​จึงยาก​ที่จะ​ปลดปล่อย​ออกมา​

แต่​ถึงอย่างนั้น​พลานุภาพ​ที่​น่า​สะพรึง​กลับ​ก็​พวยพุ่ง​ออกจาก​เทพ​ศาสตรา​เหล่านี้​ พวก​มัน​ถูก​ปราณ​มาร​ใต้พิภพ​เข้าไป​แปดเปื้อน​

ภายใต้​การ​สาดส่อง​ของ​แสงเทพ​และ​แสงมาร​ เงาร่าง​ที่​ยืน​อยู่​บน​ขุนเขา​โครงกระดูก​ก็​เดิน​เข้ามา​ เขา​ให้​ทุกคน​รู้สึก​ขยาด​กริ่งเกรง​

นั่น​คือ​มนุษย์​สามหัว​หก​แขน​ หัว​แรก​นั้น​เป็น​ทารก​ และ​เขา​กำลัง​ปรบมือ​อ้วน​ด้วย​ความตื่นเต้น​ ดวงตา​ของ​อีก​หัว​หนึ่ง​เผย​แสดง​ความ​บ้าคลั่ง​การต่อสู้​ และ​ดูเหมือน​จะอัด​แน่น​ไป​ด้วย​โทสะ​ต่อ​ศึกสงคราม​ที่​กำลังจะ​มาถึง เขา​นั้น​เหมือนกับ​ราชา​มาร​อัน​สามารถ​ระเบิด​ออกมา​ได้​ทุกขณะ​จิต​ เพื่อ​เริ่มต้น​เข่นฆ่า​ล้างผลาญ​ภายใต้การควบคุม​ของ​สันดาน​มาร​!

ในขณะเดียวกัน​ หัว​ที่สาม​ดูจะ​เยือกเย็น​สงบนิ่ง​อย่าง​ถึงที่สุด​ และ​ดู​ศักดิ์สิทธิ์​เป็น​อย่างยิ่ง​ เขา​กวาดตา​มอง​ไป​รอบ​ๆ และ​เขา​ดู​ราวกับ​เทพเจ้า​ผู้​สูงส่งอยู่​เบื้องบน​

เอี๋ยน​เชีย​นจ้ง​พิศวง​เล็กน้อย​ “เขา​ดูจะ​แตกต่าง​ไป​จาก​โอรส​ศักดิ์สิทธิ์​ใต้พิภพ​เมื่อคราว​ก่อ​น.​..”

“อย่า​แตก​กระบวน​!”

เสียงคำราม​เกรี้ยวกราด​ดัง​มาจาก​สอง​ฝั่งค่าย​ นั่น​คือ​เสียง​ของ​แม่ทัพ​นาย​กอง​ทั้งหลาย​ที่​ควบคุม​เทพเจ้า​ภายใต้​สังกัด​เพื่อ​ไม่ให้​พวกเขา​แตกทัพ​

ตอนนี้​เมื่อ​ไพร่พล​ของ​เอี๋ยน​เชีย​นจ้ง​ถูก​กำจัด​ไป​หมด​ เขา​ก็ได้​เปิด​ช่องว่าง​ขึ้น​มา ตราบเท่าที่​ฉิน​มู่มุ่งตรง​ไป​ยัง​เอี๋ยน​เชีย​นจ้ง​ ทั้งสอง​ฟาก​ทัพ​ก็​จะสามารถ​กระหนาบ​เข้า​มาจาก​ทั้งสอง​ด้าน​ของ​ฉิน​มู่ได้​

ใน​ตอนนั้น​เอง​ ฉิน​มู่ก็​พลัน​หยุด​เดิน​ ทั้งสอง​ฝั่งนั้น​เป็น​กองทัพ​เทพยดา​ที่​มีจำนวน​หลัก​ล้าน​ พวกเขา​ตัวสั่น​งันงก​เมื่อ​มอง​มาที่​เขา​ ดวงตา​เต็มไปด้วย​ความหวาดกลัว​

ภายใต้​กระโจม​ค่าย​ทัพ​แต่ละ​แห่ง​ ตัวตน​ระดับ​ตำหนัก​ชิด​ฟ้าและ​บัลลังก์​จักรพรรดิ​นั่ง​อยู่​ที่นั่น​โดย​ไม่ปริปาก​

ศีรษะ​ทั้ง​สามของ​ฉิน​มู่กวาด​มอง​ไป​รอบ​บริเวณ​ และ​เขา​ก็​เผย​ยิ้ม​ออกมา​ เขา​สามารถ​สัมผัส​ได้​ถึงคลื่น​พลังงาน​อัน​รุนแรง​ที่​พวยพุ่ง​ออกมา​จากฉิน​เฟิงชิง และ​หลังจาก​ดูด​กิน​จิตวิญญาณ​ดั้งเดิม​ของ​เทพเจ้า​หลาย​หมื่น​ใน​พริบตา​ดุจ​วาฬ​กลืน​ทะเล​แล้ว​ พลัง​อำนาจ​ของ​เขา​ก็​เพิ่มพูน​ขึ้น​ขณะที่​ทารก​ย่อยสลาย​เทพเจ้า​มากมาย​ใน​ท้อง​ เขา​อด​ไม่ได้​ที่จะ​ชมชอบ​ความรู้สึก​เช่นนี้​

โชคดี​ว่า​ ฉิน​เฟิงชิงสามารถ​ควบคุม​สันดาน​มาร​ใต้พิภพ​ได้​ และ​ไม่ปล่อย​ให้​สันดาน​มาร​มาบ่อน​เซาะเขา​ มิเช่นนั้น​ เขา​ก็​คง​ไม่อาจ​ควบคุม​ตนเอง​ และ​ก็​จะเข้าไป​กลืน​กิน​เทพเจ้า​ทั้งหมด​ที่อยู่​ที่นี่​!

ฉิน​เฟิงชิงมิได้​สืบ​ย้อน​ไป​ถึงต้นตอ​ของ​ทักษะ​เท​วะ​ เขา​ทำ​ไม่ได้​ หรือ​กล่าว​อีก​อย่าง​ก็​คือ​ เขา​ขี้คร้าน​เกิน​กว่า​ที่จะ​ไป​ตรึกตรอง​ทำความเข้าใจ​ทักษะ​เท​วะ​ ดังนั้น​เขา​จึงสัก​แต่​ใช้ๆ มัน​ไป​

แต่ทว่า​ ฉิน​มู่นั้น​แตกต่าง​

ตั้งแต่​เมื่อ​เขา​ติดตาม​ผู้ใหญ่บ้าน​ ท่าน​ยาย​ซี เฒ่าหม่า​ และ​คนอื่นๆ​ เพื่อ​ฝึก​วิทยา​ยุทธ​มาตั้งแต่​ครั้ง​ยัง​เด็ก​ๆ เขา​นั้น​ก็​พลอย​ได้รับ​อิทธิพล​ของ​การ​เป็น​คน​ที่​ตั้งคำถาม​ต่อ​ทุกสิ่ง​ เขา​ชื่นชม​การศึกษา​ค้นคว้า​

หากว่า​เขา​จะก่อเรื่อง​ชั่วร้าย​แล้ว​ละ​ก็​ เขา​ก็​จะน่าสะพรึงกลัว​ยิ่งกว่า​ฉิน​เฟิงชิงเป็น​ร้อย​เท่า​!

“พวก​เจ้า”

เขา​มอง​ไป​รอบ​ๆ และ​เขา​ก็​มอง​ไป​ยัง​กองทัพ​เทพยดา​อัน​หวาดผวา​ แม้ว่า​พวกเขา​จะมีค่าย​ทัพ​นับ​ร้อย​ มีเทพเจ้า​นับ​ล้าน​และ​สัตว์ประหลาด​ใต้พิภพ​อีก​นับไม่ถ้วน​ พวกเขา​ก็​ล้วนแต่​ตัวสั่น​กึก​ๆ เมื่อ​เผชิญ​กับ​คน​เพียง​คนเดียว​ แม้แต่​อาวุธ​ก็​ถือ​ไว้​ใน​มือ​ไม่มั่น​

“พวก​เจ้าไม่เปิดทาง​ให้​ข้า​ และ​ก็​ยัง​ไม่หลบหนี​ หรือว่า​พวก​เจ้ารอ​ให้​ข้า​…”

ศีรษะ​ทั้งสอง​ข้าง​ของ​ฉิน​มู่พลัน​ขยาย​ใหญ่​ขึ้น​มา และ​กลายเป็น​โอฬาร​ดุจ​เขา​พระ​สุเมรุ​ เขา​อ้า​ปาก​กว้างใหญ่​ และ​ปาก​หนึ่ง​ก็​กว้าง​เท่ากับ​ครึ่ง​ท้องฟ้า​ เขา​คำราม​ไป​ยัง​กองทัพ​เทพ​และ​มาร​ “…กิน​เจ้า?”

ร่าง​ของ​เขา​เดิมที​ก็​มหึมา​และ​ยิ่งใหญ่​กำยำ​อยู่แล้ว​ บัดนี้​เมื่อ​ศีรษะ​ของ​เขา​ขยาย​ใหญ่​เป็น​ร้อย​เท่า​ของ​ร่างกาย​ ยอด​กระหม่อม​ของ​เขา​ก็​ถึงกับ​ยัน​ขึ้นไป​จน​ค้ำฟ้า​ ขณะที่​คาง​ของ​เขา​ปัก​ลงมา​บน​พื้นดิน​ มัน​เป็น​ภาพ​อัน​น่าสยดสยอง​ยิ่งนัก​

ปฏิกิริยา​ของ​ฉิน​เฟิงชิงช้ากว่า​นิดหน่อย​ เมื่อ​เขา​เห็น​สถานการณ์​ เขา​ก็​รีบ​แกว่ง​หัว​ไปมา​เช่นกัน​ ศีรษะ​ของ​เขา​ถึงกับ​ใหญ่โต​กว่า​ศีรษะ​ทั้งสอง​ของ​ฉิน​มู่ และ​เขา​กวัดแกว่ง​กำปั้น​ไป​รอบ​ๆ “กิน​เจ้า”

เสียงคำราม​สามเสียง​ทำให้​ลม​หนาวเหน็บ​กระโชก​ออก​ไป​รอบทิศทาง​ เสียง​ปะทะ​กัน​กับ​กำแพงเมือง​ดำ​ และ​มหานคร​อัน​ใหญ่​มหึมา​ก็​สะเทือน​เลื่อน​ลั่น​จาก​คลื่นเสียง​

บน​พื้นดิน​มีทั้ง​ทราย​และ​หิน​อัน​กลิ้ง​ปลิว​ไป​พร้อมกับ​ลม​ดำ​ โถมพัด​ไป​ยัง​ทุก​พยุหะ​กระบวน​ทัพ​และ​ค่าย​กระโจม​ ลมหนาว​เสียด​กระดูก​ทำให้​เสื้อเกราะ​เก่า​ขาด​และ​อาวุธ​หัก​พัง​ของ​ทวยเทพ​ทั้งหลาย​สั่น​กราว​ ไม่นาน​นัก​ พวกเขา​ก็​ถูก​ปกคลุม​ด้วย​น้ำแข็ง​ชั้นหนึ่ง​

ตรงหน้า​กระบวน​ทัพ​ เทพเจ้า​ตาเดียว​ตน​หนึ่ง​กลืนน้ำลาย​ด้วย​ความยากลำบาก​ แต่ทว่า​ เพราะ​เขา​เป็น​ภูตผี​เท​วะ​ เขา​จึงไม่มีน้ำลาย​ใน​ปาก​

“หนี​”

ราชา​ผี​เขียว​พลัน​หัน​กาย​แล้ว​วิ่งหนี​ ทิ้ง​ไฟผี​ข​โมด​สีเขียว​สด​เอาไว้​เป็น​เส้นทาง​ข้างหลัง​

มาร​เท​วะ​ใต้พิภพ​และ​จิตวิญญาณ​ดั้งเดิม​เทพเจ้า​ตน​อื่นๆ​ ไม่ขยับ​

ทันใดนั้น​มีบางอย่าง​สั่น​กราว​ เสื้อเกราะ​ของ​เทพเจ้า​สี่แขน​ถูก​กระแทก​ให้​แตก​ออก​เป็น​ชิ้นๆ​ จาก​คลื่นเสียง​ และ​ร่วง​ลง​ไป​กับ​พื้น​

เสียง​นั้น​ดูจะ​บาดหู​เป็นพิเศษ​ใน​กระบวน​ทัพ​หลังจากที่​ลม​ร้าย​พัดผ่าน​

มาร​เท​วะ​ตน​นั้น​ค่อยๆ​ ปัก​ธงศึก​ของ​กองทัพ​เขา​ลง​ไป​กับ​พื้น​อย่าง​ระมัดระวัง​ หลังจากนั้น​เขา​ก็​ก้มลง​ไป​หยิบ​เกราะ​ที่​ขาดวิ่น​ แต่ทว่า​ เขา​เผลอ​โขก​ชน​เข้ากับ​เสาธง

ธงมหึมา​ร่วง​ล้ม​ลง​กับ​พื้น​ ผืน​ธงอัน​ขาดวิ่น​ทาบ​ลง​ไป​กับ​พสุธา​

ธงนี้​ตก​ไม่ได้​นะ​…

ขณะที่​เขา​คิด​จะยกธง​กลับ​ขึ้น​มา เสียง​ของ​คลื่น​ฝูงชน​ก็​ดัง​อยู่​ข้าง​หู​เขา​ เทพ​เจ้าจำนวน​นับไม่ถ้วน​วิ่งหนี​ถอยกลับ​ และ​ผู้คน​จำนวน​มากมาย​ไร้​ประมาณ​ก็​ตะโกน​ต่อ​ๆ กัน​ไป​ “ธงตก​แล้ว​ พวกเรา​พ่ายแพ้​ หนี​เร็ว​!”

เทพ​สี่แขน​ตน​นั้น​ตกตะลึง​ ขณะที่​เขา​คิด​จะยกธง​ขึ้น​มาใหม่​ เขา​ก็​ถูก​ฝูงคน​ผลักดัน​ออก​ไป​ห่าง​จาก​ธงบน​พื้น​มากขึ้น​ทุกที​

ข้า​จบสิ้น​แล้ว​…

เขา​อุทาน​กับ​ตนเอง​ ต่อให้​ข้า​กลับ​ไป​หยิบ​ธงได้​ ข้า​ก็​ไม่อาจ​รักษา​กำลัง​ขวัญ​ของ​กองทัพ​ได้​อีกต่อไป​ ข้า​ควรจะ​หนี​! และ​ดังนั้น​ เขา​จึงผละหนี​และ​วิ่ง​ไป​

เอี๋ยน​เชีย​นจ้ง​มอง​ไป​ยัง​จิตวิญญาณ​ดั้งเดิม​ของ​เทพ​เจ้าที่​กำลัง​วิ่งหนี​กัน​อลหม่าน​และ​ยิ้ม​หยัน​ ใน​ตอนนั้น​เอง​ เอี๋ยนจิ่ว​ซี เทพ​ครอง​ดาว​มหา​ตะวัน​ และ​เทพ​บรรพกาล​ตน​อื่นๆ​ ก็​ไม่อาจ​นิ่งเฉย​ได้​อีกต่อไป​ พวกเขา​ลุกขึ้น​และ​พยายาม​หยุดยั้ง​ทหาร​ซึ่งกำลัง​หลบหนี​ แต่​กำลัง​ขวัญ​ของ​กองทัพ​ได้​กระจัดกระจาย​ไป​แล้ว​ พวกเขา​จะไป​หยุดยั้ง​ไพร่พล​เหล่านั้น​ได้​อย่างไร​กัน​

เหล่า​ทหาร​หนี​ทัพ​วิ่ง​ผ่าน​ภูเขา​และ​ทุ่ง​ราบ​ และ​พวกเขา​ก็​กรู​กัน​ไป​ยัง​พื้นผิว​เท้า​ของ​ภูติ​บดี​ราวกับ​น้ำหลาก​ พวกเขา​ปีน​ขึ้นไป​บน​ขา​อย่าง​รวดเร็ว​ เสียงร้อง​ดัง​มาจาก​ทุกหน​แห่ง​ และ​ผู้คน​มากมาย​ก็​กำลัง​หวีดร้อง​ “ทร​ราชย์​น้อย​จับ​คน​กิน​อีกแล้ว​!”

ใน​ดวงตา​ของ​ภูติ​บดี​ ภูติ​บดี​ไฟนรก​ตื่นตระหนก​ และ​เขา​ก็​กล่าว​ “ดูเหมือนว่า​เจ้าจะไม่ต้อง​จดบันทึก​มาก​สัก​เท่าไร​ เพียงแค่​สอง​โถงวัง​ก็​น่าจะ​พอ​ อาจจะ​ไม่เต็ม​ด้วยซ้ำ​”

ผู้เฒ่า​นำทาง​ความตาย​ส่าย​หัว​และ​กล่าว​พลาง​ถอนหายใจ​ “พวก​ที่​ยัง​หลง​เหลืออยู่​ล้วนแต่​เป็น​ผู้มีอิทธิพล​ที่​แท้จริง​ แม้ว่า​ข้า​จะไม่ต้อง​บันทึก​มากมาย​นัก​ แต่​บาปกรรม​ก็​ยังคง​หนักหนา​”

ผ่าน​ไป​นาน​ ความโกลาหล​ถึงค่อย​สงบราบคาบ​

ทารก​หัวโต​มอง​ตรง​ไป​ข้างหน้า​และ​เห็น​ก็​แต่​เทพเจ้า​หนึ่ง​พัน​ที่​ยืน​นิ่ง​อยู่​ตรงนั้น​โดย​ไม่หลบหนี​ เขา​อึ้ง​ไป​ เขา​มอง​ซ้าย​และ​มอง​ขวา​ ก่อนที่จะ​ถามฉิน​มู่ “น้องชาย​ พวกเขา​หนี​กัน​ไป​หมด​แล้ว​ แบบนี้​พวกเรา​จะกิน​อะไร​ล่ะ​”

เมื่อ​เสียง​ของ​เขา​ดัง​ออกมา​ ความ​อลหม่าน​ก็​ดัง​มาอีกครั้ง​เมื่อ​เทพเจ้า​หลาย​ร้อย​ตน​เหล่านั้น​ไม่อาจ​ข่ม​ระงับ​ความกลัว​ได้​อีกต่อไป​ พวกเขา​จึงวิ่งหนี​

ฉิน​เฟิงชิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน​และ​อยาก​ที่จะ​ไล่กวด​พวก​นั้น​เป็น​อย่างยิ่ง​ แต่ทว่า​เพราะ​ฉิน​มู่เป็น​คน​ควบคุม​ร่างกาย​ใน​ตอนนี้​ เขา​จึงไม่อาจ​กระทำ​ตามใจ​ได้​

“ไม่ว่า​พวกเรา​จะกิน​ปลา​เล็ก​ปลา​น้อย​ไป​มากมาย​แค่​ไหน​ ก็​ไม่เท่ากับ​กิน​ปลา​ตัว​ใหญ่​”

สายตา​ของ​ฉิน​มู่ตกลง​ไป​ยัง​ร่าง​อัน​ใหญ่​มหึมา​ของ​เทพ​เจ้าที่​เหลืออยู่​หนึ่งร้อย​ตน​ เขา​กล่าว​ด้วย​รอยยิ้ม​ “พี่ชาย​ ใน​ตอนนี้​ สิ่งที่​พวกเรา​จะกิน​ ก็​คือ​ปลา​ใหญ่​พวก​นี้​!”

ฉิน​เฟิงชิงตื่นเต้น​ขึ้น​มา และ​ถามกลั้ว​หัวเราะ​ “ทำไม​พวกเรา​ยัง​ไม่ไป​กัน​อีก​ล่ะ​”

ฉิน​มู่กระโดด​ขึ้น​ และ​เทพ​ศาสตรา​กับ​มาร​ศาสตรา​ใน​อากาศ​ ก็​พลัน​หลอมละลาย​เมื่อ​เขา​เหิน​ทะยาน​สู่ฟากฟ้า​ พวก​มัน​แปร​เปลี่ยนเป็น​คลื่น​กระแส​อัน​เชี่ยวกราก​ และ​รูปทรง​ของ​พวก​มัน​ใน​ตอนนี้​คือ​กระบี่​เล่ม​ใหญ่​ที่​ห่อหุ้ม​ไป​ด้วย​เพลิง​ไฟ เขา​จับ​มัน​เอาไว้​ใน​มือ​

ใน​ทันทีที่​เขา​จับ​กระบี่​ยักษ์​ เอี๋ยน​เชีย​นจ้ง​ เอี๋ยนจิ่ว​ซี เทพ​ครอง​ดาว​มหา​ตะวัน​ และ​พรรคพวก​ต่าง​ก็​ระเบิด​ทักษะ​เท​วะ​ของ​ตน​ออก​ไป​ ด่าน​กุญแจ​หยก​นั้น​น่าจะเป็น​สถานที่​อัน​มืดมิด​ที่สุด​ใน​แดน​ใต้พิภพ​ และ​เป็น​สถานที่​ที่​มีปราณ​มาร​เข้มข้น​ที่สุด​ แต่ทว่า​ในเวลานี้​ มัน​กลับ​เหมือน​ถูก​ฉาย​ส่อง​ด้วย​ดวงตะวัน​นับ​พัน​บน​ฟากฟ้า​ เพลิง​ไฟและ​รังสี​แสงแห่ง​ทักษะ​เท​วะ​เหยียดยาว​ไป​เป็น​พัน​ๆ ลี้​ และ​พวก​มัน​ก็​พวยพุ่ง​มาจาก​ทุกทิศทาง​เพื่อ​ซัด​ถล่ม​เข้าใส่​ฉิน​มู่อัน​ยืน​อยู่​กลางอากาศ​

เอี๋ยนจิ่ว​ซีร้อง​คำราม​ และ​ร่างกาย​ของ​เขา​ก็​ขยาย​ใหญ่​พลาง​พุ่ง​ทะยาน​ไป​ข้างหน้า​ แขน​ของ​เขา​กวัดแกว่ง​ไปมา​ และ​กระบี่​ดำ​ใน​มือ​ของ​เขา​ก็​ลอย​พุ่ง​เข้าไป​แทง​ยัง​ฉิน​มู่

เทพ​ครอง​ดาว​มหา​ตะวัน​กระพือปีก​และ​แปร​เปลี่ยนเป็น​อีกา​ทองคำ​แห่ง​ความมืด​ ดวงตะวัน​สีดำ​ทุก​ขนาด​หมุน​ปั่น​ไป​ และ​ซัด​ถล่ม​เข้าใส่​ฉิน​มู่

เอี๋ยน​เชีย​นจ้ง​ทะยาน​ไป​ข้างหน้า​อย่าง​เกรี้ยวกราด​ และ​แปร​เปลี่ยนเป็น​เทพ​อัคคี​ กงล้อ​ข้างหลัง​ศีรษะ​ของ​เขา​ปั่น​หมุน​ และ​ทักษะ​เท​วะ​จำนวน​นับไม่ถ้วน​ก็​ระเบิด​ออก​มาจาก​กงล้อ​แสงนั้น​

ในเวลาเดียวกัน​ ทักษะ​เท​วะ​ทุกชนิด​ประเภท​จาก​จิตวิญญาณ​ดั้งเดิม​ขั้น​ตำหนัก​ชิด​ฟ้าและ​บัลลังก์​จักรพรรดิ​ ก็​ซัด​มาเต็ม​นภา​กา​ศ สาด​แสงเจิดจ้า​ให้​แก่​สถานที่​อัน​มืดมิด​ที่สุด​ใน​แดน​ใต้พิภพ​ แม้กระทั่ง​ข้างใน​ด่าน​กุญแจ​หยก​ก็​ยัง​สว่าง​โพลง​ราว​หิมะ​

สามารถ​ฝึกปรือ​มาได้​ระดับ​นี้​ พวกเขา​ล้วนแต่​เป็น​ตัวตน​อัน​ย่างกราย​สู่เต๋า​ เมื่อ​ทักษะ​เท​วะ​ของ​พวกเขา​ระเบิด​ออก​ พวก​มัน​ก็​กลายเป็น​มหา​ทักษะ​เท​วะ​ที่​มีอำนาจ​สะท้าน​พิภพ​!

เทพี​อู่​จีดุดัน​ที่สุด​ และ​ทักษะ​เท​วะ​มรรคา​บู๊​ของ​นาง​ก็​น่า​ตื่นตระหนก​ เพลง​หมัด​ของ​นาง​ทั้ง​ดุร้าย​และ​เขื่อง​โข​ ขณะที่​ความเร็ว​ของ​นาง​ก็​เร็ว​อย่าง​สุดขีด​ขั้ว​ นาง​กู​ร้อง​คำราม​ศึก​ และ​พุ่ง​ทะยาน​เข้าใส่​ใบหน้า​ฉิน​มู่ ตามมา​ด้วย​ภาพ​ค้าง​ของ​กำปั้น​ ฝ่ามือ​ และ​ดรรชนี​ จำนวน​นับไม่ถ้วน​ ฟาด​เข้าใส่​ฉิน​มู่จาก​ทุกทิศทาง​!

ใน​ตอนนั้น​เอง​ ฉิน​เฟิงชิงก็​ตื่นเต้น​อย่าง​ถึงที่สุด​ เขา​กำลังจะ​ต่อสู้​ แต่​พลัน​ตระหนัก​ว่า​กำลัง​ถือ​กระบี่​สีแดงฉาน​อยู่​ เขา​งุนงง​ทันที​ แปลก​จริง​ ทำไม​ข้า​ถึงถือ​กระบี่​เอาไว้​ล่ะ​ ข้า​ไม่รู้จัก​เพลง​กระบี่​เลย​สัก​อย่าง​…

ขณะที่​เขา​คิดถึง​เทพี​อู่​จีก็​พุ่ง​ทะยาน​มาตรงหน้า​เขา​แล้ว​

“ย้อน​พัน​ฝ่ามือ​เหนือ​ยอด​สวรรค์​พิสดาร​!”

ฉิน​มู่คำราม​ และ​ทักษะ​เท​วะ​กาย​เนื้อ​จำนวน​นับไม่ถ้วน​ก็​แปร​เปลี่ยนเป็น​หมัด​เดียว​อัน​เรียบง่าย​ หมัด​นี้​ดู​ราวกับ​มียอดเขา​ประหลาด​พิสดาร​จำนวน​นับไม่ถ้วน​ทิ่ม​ทะลวง​ไป​ยัง​เทพี​อู่​จี

“มรรคา​บู๊​ของ​เจ้าอ่อนแอ​เกินไป​!”

กำปั้น​เหลือ​คณานับ​ของ​เทพี​อู่​จีซัด​ลง​ไป​ยัง​ร่าง​ของ​ฉิน​มู่ ด้วยมือ​ของ​นาง​ที่​ต้าน​รับ​หมัด​ของ​ฉิน​มู่ ใบหน้า​ของ​นาง​พลัน​เปลี่ยนแปลง​อย่าง​รุนแรง​ แขน​ของ​นาง​โก่ง​บิด​และ​ใกล้​จะหัก​ ขวา​ของ​นาง​ตวัด​หมุน​และ​เตะ​ไป​ยัง​ฉิน​มู่ย้ำ​ๆ

“กระบี่​จงมา”

ฉิน​มู่ยื่นมือ​ออก​ไป​เพื่อ​ฉวย​คว้า​กระบี่​ออก​มาจาก​มือ​ของ​ฉิน​เฟิงชิง ด้วย​การ​ตวัด​หนึ่ง​ครั้ง​ ศีรษะ​ของ​เทพี​อู่​จีก็​ขาด​หลุด​จากร่าง​

ตูม​

ทักษะ​เท​วะ​นับ​พัน​ซัด​มาถึงและ​กลบ​พวกเขา​จน​จมมิด​ ทักษะ​เท​วะ​น่าสะพรึงกลัว​เหล่านี้​ระเบิด​ปะทุ​ และ​แสงขาวโพลน​ปาน​หิมะ​ก็​กวาด​ซัด​ไป​ทั่ว​ทิศทาง​ พวก​มัน​ทำลาย​ปฐพี​จน​ราบเป็นหน้ากลอง​ และ​เหิน​ทะยาน​สู่นภา​กา​ศ ไป​ถึงสะเอว​ของ​ภูติ​บดี​ ถึงตอนนั้น​คลื่น​ที่​กระเพื่อม​ขึ้น​มาจาก​แสงขาว​จ้าจึงค่อยๆ​ จางหาย​

และ​ใน​จุดศูนย์กลาง​ของ​การระเบิด​ ฉิน​มู่ลงมา​เหยียบ​พื้น​ด้วย​ท่า​กึ่ง​ย่อ​ตัว​ กาย​เนื้อ​ของ​เขา​ยับเยิน​ แม้แต่​สามเศียร​และ​หก​กร​ของ​เขา​ก็​ได้รับ​ความเสียหาย​อย่าง​รุนแรง​

คลื่น​ของ​ปราณ​และ​โลหิต​ไหลเวียน​ทั่ว​ทั้ง​ร่าง​ของ​เขา​ และ​ไหล​ออก​มาจาก​ร่างกาย​ ฉิน​มู่ถือ​กระบี่​ยักษ์​ด้วย​ความตื่นเต้น​อัน​ฉุด​ไม่อยู่​

“ข้า​แข็งแกร่ง​ขนาด​นี้​เชียว​”

กาย​เนื้อ​ของ​เขา​ฟื้นฟู​กลับมา​ด้วย​ความเร็ว​อัน​สุด​แสน​ขนาด​ว่า​มองเห็น​ได้​ด้วย​ตาเปล่า​ เขา​ระเบิด​พลัง​ออก​ไป​และ​กระโจน​ทะยาน​ขึ้น​สู่ท้องฟ้า​ เขา​พุ่งตัว​ไป​ยัง​ครึ่ง​เทพ​เอี๋ยนจิ่ว​ซีและ​หัวร่อ​ฮาๆ “แข็งแกร่ง​จริงๆ​”

ฉิน​เฟิงชิงผู้​ซึ่งพยายาม​ย่อยสลาย​เทพี​อู่​จีอยู่​ ก็​เหลือก​ตา​ใส่เมื่อ​ได้ยิน​ที่​เขา​พูด​ “บ้านนอก​เข้า​กรุง​…”

ตำนานเทพกู้จักรวาล

ตำนานเทพกู้จักรวาล

Score 10
Status: Completed

อ่าน ตำนานเทพกู้จักรวาล PDF ตอน 1 – 443 คลิกเพื่ออ่าน

( อ่านต่อด้านล่าง )


ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก

เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่

ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย

บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู

ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน

เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ!

ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่

ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร

ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา…

เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่

นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก!

‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

Options

not work with dark mode
Reset