ณ ดวงตาภูติบดี
แสงสว่างที่นี่ขมุกขมัว และในดวงตา วิญญูชนสวรรค์อวี้กินไก่ที่เหลือหมดแล้ว แต่ทว่าเมื่อเขาคิดจะโยนกระดูกทิ้งไป เขาก็พบว่าโถงวังแห่งนี้สะอาดสะอ้านขนาดไหน เขาไม่รู้ว่าจะโยนมันลงไปยังจุดใดของสถานที่อันหมดจดไร้ที่ตินี้
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อเขาพบว่าไม่มีใครอยู่ในโถง ภูติบดีอันก่อจากไฟนรกและผู้เฒ่านำทางความตายก็ล้วนแต่ไม่ได้อยู่ที่นี่ทั้งคู่ ดังนั้น เขาจึงโยนกระดูดทิ้งไว้ที่มุมโถงหนึ่ง และรีบจรลีจากไป
ข้างนอกโถงวัง ภูติบดีอันก่อขึ้นมาจากไฟนรกยืนอยู่ที่นั่นกับผู้เฒ่านำทางความตาย และพวกเขาก็กำลังมองลงไป
วิญญูชนสวรรค์อวี้ชะโงกมองดูบ้าง แต่เขามองเห็นเพียงแค่ความมืด มองไม่เห็นอะไรเลยสักนิด
“เจ้าได้จดบันทึกไว้ทุกอย่างไหม” ภูติบดีหันศีรษะไปถาม
ผู้เฒ่านำทางความตายผงกศีรษะและตอบ “ข้ากำลังบันทึก”
ข้างนอกดวงตาของภูติบดี เรือน้อยมากมายกำลังลอยอยู่ และบนเรือน้อยจำนวนหลายหมื่นลำแต่ละลำ ก็มีผู้เฒ่านำทางความตายอยู่บนนั้น ตะเกียงถูกแขวนเอาไว้บนหัวเรือ และผู้นำทางความตายทั้งหมดก็กำลังจดบันทึกอย่างเร็วรี่
“วิญญูชนสวรรค์มู่กำลังช่วยเหลือภูติบดี แล้วทำไมข้ายังต้องจดบันทึกความผิดของเขาอยู่อีกล่ะ” ผู้เฒ่านำทางความตายถาม
ภูติบดีมีสีหน้าไร้อารมณ์ “แม้ว่าเขาจะช่วยเหลือข้า แต่การกลืนกินจิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพเจ้าเหล่านั้นก็ยังคงเป็นความผิดมหันต์ พวกเราไม่มีทางเลือกนอกเสียจากต้องจดบันทึกมันเอาไว้”
ผู้เฒ่านำทางความตายเผยสีหน้ายุ่งยากและถอนหายใจยาว “สมุดน้อยจดเรื่องเขามีมากมายเกินไปแล้ว และเรือนเก็บของหลายหลังก่อนหน้านี้ก็ไม่เพียงพออีกต่อไป เรื่องนี้มันจะจบลงแค่มีสมุดอัดแน่นจนปริ่มถึงหลังคาเรือนตึกได้อย่างไร ข้าเกรงว่าพวกเราคงจะต้องสร้างราชวังอีกหลายหลังเพื่อเก็บวีรกรรมอันรุ่งโรจน์เหล่านี้ของเขาเอาไว้”
ภูติบดีกล่าว “ถ้าอย่างนั้น ก็ก่อสร้างราชวังขึ้นเพื่อเก็บบันทึกของเขาไว้เป็นพิเศษสิ”
ผู้เฒ่านำทางความตายส่งเสียงรับคำ
ที่หน้าด่านกุญแจหยก เอี๋ยนเชียนจ้งไออย่างไม่หยุด ใบหน้าของเขาเปลี่ยนจากซีดเผือดเป็นแดงก่ำเมื่อเขามองไปยังคลื่นยักษ์ของเทพศาสตราที่โถมซัดเข้ามา เทพศาสตราเหล่านั้นคืออาวุธของเทพเจ้าที่อยู่ใต้บัญชาเขา และเทพเจ้าหลายหมื่นก่อนหน้านี้ก็ล้วนแต่เป็นบริวารของเขา
เขานั้นคือจักรพรรดิแดงสวรรค์ทักษิณในสภาสวรรค์นอกโลกระหว่างยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง และเทพเจ้าเหล่านี้ก็เป็นผู้ใต้บัญชาของเขา
เขาต่อสู้กับฉีเสียอวี๋แห่งยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง และเขาก็ได้ตายไปในการต่อสู้ ผู้ใต้บัญชาของเขานับไม่ถ้วนก็ตายลงไปในศึกเช่นกัน และหลังจากที่พวกเขาสิ้นชีวิต พวกเขาก็ตกลงมาในแดนใต้พิภพเช่นกัน พวกเขายังคงติดตามเขาอยู่
และในวันนี้ พวกเขาทั้งหมดถูกกลืนกินเข้าไปโดยเงาร่างที่ยืนเหยียบอยู่เหนือภูเขาโครงกระดูกจำนวนไร้ประมาณ
คลื่นเชี่ยวกรากของเทพศาสตราเปล่งรังสีแสงสุริยัน และพวกมันก็โถมซัดในอากาศพุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง พวกมันสร้างแรงกดดันแก่ท้องฟ้าจนมีเสียงฟ้าร้องกึกก้อง
เทพศาสตราแต่ละชิ้นใหญ่โตปานภูเขา แสงเทพและแสงมารสาดส่องไปบนกันและกัน และทันใดนั้น แสงทั้งสองก็ประสานเข้าด้วยกัน เทพและมารปะทะกันในแดนใต้พิภพ มรรคามารสะกดข่มมรรคาเทพ ดังนั้นพลานุภาพของเทพศาสตราจึงยากที่จะปลดปล่อยออกมา
แต่ถึงอย่างนั้นพลานุภาพที่น่าสะพรึงกลับก็พวยพุ่งออกจากเทพศาสตราเหล่านี้ พวกมันถูกปราณมารใต้พิภพเข้าไปแปดเปื้อน
ภายใต้การสาดส่องของแสงเทพและแสงมาร เงาร่างที่ยืนอยู่บนขุนเขาโครงกระดูกก็เดินเข้ามา เขาให้ทุกคนรู้สึกขยาดกริ่งเกรง
นั่นคือมนุษย์สามหัวหกแขน หัวแรกนั้นเป็นทารก และเขากำลังปรบมืออ้วนด้วยความตื่นเต้น ดวงตาของอีกหัวหนึ่งเผยแสดงความบ้าคลั่งการต่อสู้ และดูเหมือนจะอัดแน่นไปด้วยโทสะต่อศึกสงครามที่กำลังจะมาถึง เขานั้นเหมือนกับราชามารอันสามารถระเบิดออกมาได้ทุกขณะจิต เพื่อเริ่มต้นเข่นฆ่าล้างผลาญภายใต้การควบคุมของสันดานมาร!
ในขณะเดียวกัน หัวที่สามดูจะเยือกเย็นสงบนิ่งอย่างถึงที่สุด และดูศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง เขากวาดตามองไปรอบๆ และเขาดูราวกับเทพเจ้าผู้สูงส่งอยู่เบื้องบน
เอี๋ยนเชียนจ้งพิศวงเล็กน้อย “เขาดูจะแตกต่างไปจากโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพเมื่อคราวก่อน...”
“อย่าแตกกระบวน!”
เสียงคำรามเกรี้ยวกราดดังมาจากสองฝั่งค่าย นั่นคือเสียงของแม่ทัพนายกองทั้งหลายที่ควบคุมเทพเจ้าภายใต้สังกัดเพื่อไม่ให้พวกเขาแตกทัพ
ตอนนี้เมื่อไพร่พลของเอี๋ยนเชียนจ้งถูกกำจัดไปหมด เขาก็ได้เปิดช่องว่างขึ้นมา ตราบเท่าที่ฉินมู่มุ่งตรงไปยังเอี๋ยนเชียนจ้ง ทั้งสองฟากทัพก็จะสามารถกระหนาบเข้ามาจากทั้งสองด้านของฉินมู่ได้
ในตอนนั้นเอง ฉินมู่ก็พลันหยุดเดิน ทั้งสองฝั่งนั้นเป็นกองทัพเทพยดาที่มีจำนวนหลักล้าน พวกเขาตัวสั่นงันงกเมื่อมองมาที่เขา ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ภายใต้กระโจมค่ายทัพแต่ละแห่ง ตัวตนระดับตำหนักชิดฟ้าและบัลลังก์จักรพรรดินั่งอยู่ที่นั่นโดยไม่ปริปาก
ศีรษะทั้งสามของฉินมู่กวาดมองไปรอบบริเวณ และเขาก็เผยยิ้มออกมา เขาสามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังงานอันรุนแรงที่พวยพุ่งออกมาจากฉินเฟิงชิง และหลังจากดูดกินจิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพเจ้าหลายหมื่นในพริบตาดุจวาฬกลืนทะเลแล้ว พลังอำนาจของเขาก็เพิ่มพูนขึ้นขณะที่ทารกย่อยสลายเทพเจ้ามากมายในท้อง เขาอดไม่ได้ที่จะชมชอบความรู้สึกเช่นนี้
โชคดีว่า ฉินเฟิงชิงสามารถควบคุมสันดานมารใต้พิภพได้ และไม่ปล่อยให้สันดานมารมาบ่อนเซาะเขา มิเช่นนั้น เขาก็คงไม่อาจควบคุมตนเอง และก็จะเข้าไปกลืนกินเทพเจ้าทั้งหมดที่อยู่ที่นี่!
ฉินเฟิงชิงมิได้สืบย้อนไปถึงต้นตอของทักษะเทวะ เขาทำไม่ได้ หรือกล่าวอีกอย่างก็คือ เขาขี้คร้านเกินกว่าที่จะไปตรึกตรองทำความเข้าใจทักษะเทวะ ดังนั้นเขาจึงสักแต่ใช้ๆ มันไป
แต่ทว่า ฉินมู่นั้นแตกต่าง
ตั้งแต่เมื่อเขาติดตามผู้ใหญ่บ้าน ท่านยายซี เฒ่าหม่า และคนอื่นๆ เพื่อฝึกวิทยายุทธมาตั้งแต่ครั้งยังเด็กๆ เขานั้นก็พลอยได้รับอิทธิพลของการเป็นคนที่ตั้งคำถามต่อทุกสิ่ง เขาชื่นชมการศึกษาค้นคว้า
หากว่าเขาจะก่อเรื่องชั่วร้ายแล้วละก็ เขาก็จะน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าฉินเฟิงชิงเป็นร้อยเท่า!
“พวกเจ้า”
เขามองไปรอบๆ และเขาก็มองไปยังกองทัพเทพยดาอันหวาดผวา แม้ว่าพวกเขาจะมีค่ายทัพนับร้อย มีเทพเจ้านับล้านและสัตว์ประหลาดใต้พิภพอีกนับไม่ถ้วน พวกเขาก็ล้วนแต่ตัวสั่นกึกๆ เมื่อเผชิญกับคนเพียงคนเดียว แม้แต่อาวุธก็ถือไว้ในมือไม่มั่น
“พวกเจ้าไม่เปิดทางให้ข้า และก็ยังไม่หลบหนี หรือว่าพวกเจ้ารอให้ข้า…”
ศีรษะทั้งสองข้างของฉินมู่พลันขยายใหญ่ขึ้นมา และกลายเป็นโอฬารดุจเขาพระสุเมรุ เขาอ้าปากกว้างใหญ่ และปากหนึ่งก็กว้างเท่ากับครึ่งท้องฟ้า เขาคำรามไปยังกองทัพเทพและมาร “…กินเจ้า?”
ร่างของเขาเดิมทีก็มหึมาและยิ่งใหญ่กำยำอยู่แล้ว บัดนี้เมื่อศีรษะของเขาขยายใหญ่เป็นร้อยเท่าของร่างกาย ยอดกระหม่อมของเขาก็ถึงกับยันขึ้นไปจนค้ำฟ้า ขณะที่คางของเขาปักลงมาบนพื้นดิน มันเป็นภาพอันน่าสยดสยองยิ่งนัก
ปฏิกิริยาของฉินเฟิงชิงช้ากว่านิดหน่อย เมื่อเขาเห็นสถานการณ์ เขาก็รีบแกว่งหัวไปมาเช่นกัน ศีรษะของเขาถึงกับใหญ่โตกว่าศีรษะทั้งสองของฉินมู่ และเขากวัดแกว่งกำปั้นไปรอบๆ “กินเจ้า”
เสียงคำรามสามเสียงทำให้ลมหนาวเหน็บกระโชกออกไปรอบทิศทาง เสียงปะทะกันกับกำแพงเมืองดำ และมหานครอันใหญ่มหึมาก็สะเทือนเลื่อนลั่นจากคลื่นเสียง
บนพื้นดินมีทั้งทรายและหินอันกลิ้งปลิวไปพร้อมกับลมดำ โถมพัดไปยังทุกพยุหะกระบวนทัพและค่ายกระโจม ลมหนาวเสียดกระดูกทำให้เสื้อเกราะเก่าขาดและอาวุธหักพังของทวยเทพทั้งหลายสั่นกราว ไม่นานนัก พวกเขาก็ถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งชั้นหนึ่ง
ตรงหน้ากระบวนทัพ เทพเจ้าตาเดียวตนหนึ่งกลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก แต่ทว่า เพราะเขาเป็นภูตผีเทวะ เขาจึงไม่มีน้ำลายในปาก
“หนี”
ราชาผีเขียวพลันหันกายแล้ววิ่งหนี ทิ้งไฟผีขโมดสีเขียวสดเอาไว้เป็นเส้นทางข้างหลัง
มารเทวะใต้พิภพและจิตวิญญาณดั้งเดิมเทพเจ้าตนอื่นๆ ไม่ขยับ
ทันใดนั้นมีบางอย่างสั่นกราว เสื้อเกราะของเทพเจ้าสี่แขนถูกกระแทกให้แตกออกเป็นชิ้นๆ จากคลื่นเสียง และร่วงลงไปกับพื้น
เสียงนั้นดูจะบาดหูเป็นพิเศษในกระบวนทัพหลังจากที่ลมร้ายพัดผ่าน
มารเทวะตนนั้นค่อยๆ ปักธงศึกของกองทัพเขาลงไปกับพื้นอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นเขาก็ก้มลงไปหยิบเกราะที่ขาดวิ่น แต่ทว่า เขาเผลอโขกชนเข้ากับเสาธง
ธงมหึมาร่วงล้มลงกับพื้น ผืนธงอันขาดวิ่นทาบลงไปกับพสุธา
ธงนี้ตกไม่ได้นะ…
ขณะที่เขาคิดจะยกธงกลับขึ้นมา เสียงของคลื่นฝูงชนก็ดังอยู่ข้างหูเขา เทพเจ้าจำนวนนับไม่ถ้วนวิ่งหนีถอยกลับ และผู้คนจำนวนมากมายไร้ประมาณก็ตะโกนต่อๆ กันไป “ธงตกแล้ว พวกเราพ่ายแพ้ หนีเร็ว!”
เทพสี่แขนตนนั้นตกตะลึง ขณะที่เขาคิดจะยกธงขึ้นมาใหม่ เขาก็ถูกฝูงคนผลักดันออกไปห่างจากธงบนพื้นมากขึ้นทุกที
ข้าจบสิ้นแล้ว…
เขาอุทานกับตนเอง ต่อให้ข้ากลับไปหยิบธงได้ ข้าก็ไม่อาจรักษากำลังขวัญของกองทัพได้อีกต่อไป ข้าควรจะหนี! และดังนั้น เขาจึงผละหนีและวิ่งไป
เอี๋ยนเชียนจ้งมองไปยังจิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพเจ้าที่กำลังวิ่งหนีกันอลหม่านและยิ้มหยัน ในตอนนั้นเอง เอี๋ยนจิ่วซี เทพครองดาวมหาตะวัน และเทพบรรพกาลตนอื่นๆ ก็ไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกต่อไป พวกเขาลุกขึ้นและพยายามหยุดยั้งทหารซึ่งกำลังหลบหนี แต่กำลังขวัญของกองทัพได้กระจัดกระจายไปแล้ว พวกเขาจะไปหยุดยั้งไพร่พลเหล่านั้นได้อย่างไรกัน
เหล่าทหารหนีทัพวิ่งผ่านภูเขาและทุ่งราบ และพวกเขาก็กรูกันไปยังพื้นผิวเท้าของภูติบดีราวกับน้ำหลาก พวกเขาปีนขึ้นไปบนขาอย่างรวดเร็ว เสียงร้องดังมาจากทุกหนแห่ง และผู้คนมากมายก็กำลังหวีดร้อง “ทรราชย์น้อยจับคนกินอีกแล้ว!”
ในดวงตาของภูติบดี ภูติบดีไฟนรกตื่นตระหนก และเขาก็กล่าว “ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ต้องจดบันทึกมากสักเท่าไร เพียงแค่สองโถงวังก็น่าจะพอ อาจจะไม่เต็มด้วยซ้ำ”
ผู้เฒ่านำทางความตายส่ายหัวและกล่าวพลางถอนหายใจ “พวกที่ยังหลงเหลืออยู่ล้วนแต่เป็นผู้มีอิทธิพลที่แท้จริง แม้ว่าข้าจะไม่ต้องบันทึกมากมายนัก แต่บาปกรรมก็ยังคงหนักหนา”
ผ่านไปนาน ความโกลาหลถึงค่อยสงบราบคาบ
ทารกหัวโตมองตรงไปข้างหน้าและเห็นก็แต่เทพเจ้าหนึ่งพันที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่หลบหนี เขาอึ้งไป เขามองซ้ายและมองขวา ก่อนที่จะถามฉินมู่ “น้องชาย พวกเขาหนีกันไปหมดแล้ว แบบนี้พวกเราจะกินอะไรล่ะ”
เมื่อเสียงของเขาดังออกมา ความอลหม่านก็ดังมาอีกครั้งเมื่อเทพเจ้าหลายร้อยตนเหล่านั้นไม่อาจข่มระงับความกลัวได้อีกต่อไป พวกเขาจึงวิ่งหนี
ฉินเฟิงชิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและอยากที่จะไล่กวดพวกนั้นเป็นอย่างยิ่ง แต่ทว่าเพราะฉินมู่เป็นคนควบคุมร่างกายในตอนนี้ เขาจึงไม่อาจกระทำตามใจได้
“ไม่ว่าพวกเราจะกินปลาเล็กปลาน้อยไปมากมายแค่ไหน ก็ไม่เท่ากับกินปลาตัวใหญ่”
สายตาของฉินมู่ตกลงไปยังร่างอันใหญ่มหึมาของเทพเจ้าที่เหลืออยู่หนึ่งร้อยตน เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่ชาย ในตอนนี้ สิ่งที่พวกเราจะกิน ก็คือปลาใหญ่พวกนี้!”
ฉินเฟิงชิงตื่นเต้นขึ้นมา และถามกลั้วหัวเราะ “ทำไมพวกเรายังไม่ไปกันอีกล่ะ”
ฉินมู่กระโดดขึ้น และเทพศาสตรากับมารศาสตราในอากาศ ก็พลันหลอมละลายเมื่อเขาเหินทะยานสู่ฟากฟ้า พวกมันแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นกระแสอันเชี่ยวกราก และรูปทรงของพวกมันในตอนนี้คือกระบี่เล่มใหญ่ที่ห่อหุ้มไปด้วยเพลิงไฟ เขาจับมันเอาไว้ในมือ
ในทันทีที่เขาจับกระบี่ยักษ์ เอี๋ยนเชียนจ้ง เอี๋ยนจิ่วซี เทพครองดาวมหาตะวัน และพรรคพวกต่างก็ระเบิดทักษะเทวะของตนออกไป ด่านกุญแจหยกนั้นน่าจะเป็นสถานที่อันมืดมิดที่สุดในแดนใต้พิภพ และเป็นสถานที่ที่มีปราณมารเข้มข้นที่สุด แต่ทว่าในเวลานี้ มันกลับเหมือนถูกฉายส่องด้วยดวงตะวันนับพันบนฟากฟ้า เพลิงไฟและรังสีแสงแห่งทักษะเทวะเหยียดยาวไปเป็นพันๆ ลี้ และพวกมันก็พวยพุ่งมาจากทุกทิศทางเพื่อซัดถล่มเข้าใส่ฉินมู่อันยืนอยู่กลางอากาศ
เอี๋ยนจิ่วซีร้องคำราม และร่างกายของเขาก็ขยายใหญ่พลางพุ่งทะยานไปข้างหน้า แขนของเขากวัดแกว่งไปมา และกระบี่ดำในมือของเขาก็ลอยพุ่งเข้าไปแทงยังฉินมู่
เทพครองดาวมหาตะวันกระพือปีกและแปรเปลี่ยนเป็นอีกาทองคำแห่งความมืด ดวงตะวันสีดำทุกขนาดหมุนปั่นไป และซัดถล่มเข้าใส่ฉินมู่
เอี๋ยนเชียนจ้งทะยานไปข้างหน้าอย่างเกรี้ยวกราด และแปรเปลี่ยนเป็นเทพอัคคี กงล้อข้างหลังศีรษะของเขาปั่นหมุน และทักษะเทวะจำนวนนับไม่ถ้วนก็ระเบิดออกมาจากกงล้อแสงนั้น
ในเวลาเดียวกัน ทักษะเทวะทุกชนิดประเภทจากจิตวิญญาณดั้งเดิมขั้นตำหนักชิดฟ้าและบัลลังก์จักรพรรดิ ก็ซัดมาเต็มนภากาศ สาดแสงเจิดจ้าให้แก่สถานที่อันมืดมิดที่สุดในแดนใต้พิภพ แม้กระทั่งข้างในด่านกุญแจหยกก็ยังสว่างโพลงราวหิมะ
สามารถฝึกปรือมาได้ระดับนี้ พวกเขาล้วนแต่เป็นตัวตนอันย่างกรายสู่เต๋า เมื่อทักษะเทวะของพวกเขาระเบิดออก พวกมันก็กลายเป็นมหาทักษะเทวะที่มีอำนาจสะท้านพิภพ!
เทพีอู่จีดุดันที่สุด และทักษะเทวะมรรคาบู๊ของนางก็น่าตื่นตระหนก เพลงหมัดของนางทั้งดุร้ายและเขื่องโข ขณะที่ความเร็วของนางก็เร็วอย่างสุดขีดขั้ว นางกูร้องคำรามศึก และพุ่งทะยานเข้าใส่ใบหน้าฉินมู่ ตามมาด้วยภาพค้างของกำปั้น ฝ่ามือ และดรรชนี จำนวนนับไม่ถ้วน ฟาดเข้าใส่ฉินมู่จากทุกทิศทาง!
ในตอนนั้นเอง ฉินเฟิงชิงก็ตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด เขากำลังจะต่อสู้ แต่พลันตระหนักว่ากำลังถือกระบี่สีแดงฉานอยู่ เขางุนงงทันที แปลกจริง ทำไมข้าถึงถือกระบี่เอาไว้ล่ะ ข้าไม่รู้จักเพลงกระบี่เลยสักอย่าง…
ขณะที่เขาคิดถึงเทพีอู่จีก็พุ่งทะยานมาตรงหน้าเขาแล้ว
“ย้อนพันฝ่ามือเหนือยอดสวรรค์พิสดาร!”
ฉินมู่คำราม และทักษะเทวะกายเนื้อจำนวนนับไม่ถ้วนก็แปรเปลี่ยนเป็นหมัดเดียวอันเรียบง่าย หมัดนี้ดูราวกับมียอดเขาประหลาดพิสดารจำนวนนับไม่ถ้วนทิ่มทะลวงไปยังเทพีอู่จี
“มรรคาบู๊ของเจ้าอ่อนแอเกินไป!”
กำปั้นเหลือคณานับของเทพีอู่จีซัดลงไปยังร่างของฉินมู่ ด้วยมือของนางที่ต้านรับหมัดของฉินมู่ ใบหน้าของนางพลันเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง แขนของนางโก่งบิดและใกล้จะหัก ขวาของนางตวัดหมุนและเตะไปยังฉินมู่ย้ำๆ
“กระบี่จงมา”
ฉินมู่ยื่นมือออกไปเพื่อฉวยคว้ากระบี่ออกมาจากมือของฉินเฟิงชิง ด้วยการตวัดหนึ่งครั้ง ศีรษะของเทพีอู่จีก็ขาดหลุดจากร่าง
ตูม
ทักษะเทวะนับพันซัดมาถึงและกลบพวกเขาจนจมมิด ทักษะเทวะน่าสะพรึงกลัวเหล่านี้ระเบิดปะทุ และแสงขาวโพลนปานหิมะก็กวาดซัดไปทั่วทิศทาง พวกมันทำลายปฐพีจนราบเป็นหน้ากลอง และเหินทะยานสู่นภากาศ ไปถึงสะเอวของภูติบดี ถึงตอนนั้นคลื่นที่กระเพื่อมขึ้นมาจากแสงขาวจ้าจึงค่อยๆ จางหาย
และในจุดศูนย์กลางของการระเบิด ฉินมู่ลงมาเหยียบพื้นด้วยท่ากึ่งย่อตัว กายเนื้อของเขายับเยิน แม้แต่สามเศียรและหกกรของเขาก็ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง
คลื่นของปราณและโลหิตไหลเวียนทั่วทั้งร่างของเขา และไหลออกมาจากร่างกาย ฉินมู่ถือกระบี่ยักษ์ด้วยความตื่นเต้นอันฉุดไม่อยู่
“ข้าแข็งแกร่งขนาดนี้เชียว”
กายเนื้อของเขาฟื้นฟูกลับมาด้วยความเร็วอันสุดแสนขนาดว่ามองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เขาระเบิดพลังออกไปและกระโจนทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เขาพุ่งตัวไปยังครึ่งเทพเอี๋ยนจิ่วซีและหัวร่อฮาๆ “แข็งแกร่งจริงๆ”
ฉินเฟิงชิงผู้ซึ่งพยายามย่อยสลายเทพีอู่จีอยู่ ก็เหลือกตาใส่เมื่อได้ยินที่เขาพูด “บ้านนอกเข้ากรุง…”