บทที่ 268 แสงสว่าง
เช้าวันรุ่งขึ้น มีเสียงตะโกนโหวกเหวกดังลั่นมาจากด้านนอก
“หมอ! เร็วเข้า รีบตื่นเร็ว เราเพิ่งช่วยชีวิตเด็กเล็กวัยสามขวบได้ เร็วเข้า!”
ช่วงเวลาประมาณตีสี่ ไป๋เยี่ยล้มตัวลงและหลับไปในทันที แม้ว่าจะเป็นเวลาสั้นๆ เพียงสองชั่วโมง แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าพลังงานของเขาฟื้นฟูเร็วมาก
นี่คงเป็นบัฟฟื้นฟูขั้นสูงสินะ
ทันทีที่ได้ยินเสียงะโกน ไป๋เยี่ยก็ดีดตัวขึ้นมาทันที หลังจากที่ดื่มน้ำยาเสริมสร้างพันธุกรรมไป ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขาก็แข็งแกร่งมากเกินกว่าที่คนธรรมดาจะเปรียบเทียบได้ ทว่าทันทีที่ไป๋เยี่ยหันกลับไปก็เห็นจ้าวหู่ชิวกำลังจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยนัยน์ตาดั่งเสือซุ่มพร้อมจู่โจม!
ไป๋เยี่ยไม่ได้ถอดเสื้อผ้านอน เหตุผลหนึ่งก็เพราะว่าที่นี่หนาวเกินไป ด้านนอกยังคงปกคลุมด้วยหิมะหนา อีกเหตุผลหนึ่งคือนี่ไม่ใช่สถานที่ที่จะมามัวสนุกสนานกัน ไม่มีใครรับประกันความปลอดภัยได้ ควรสวมเสื้อผ้าไว้ตลอดเวลา
ทว่าไป๋เยี่ยกลับไม่เข้าใจว่าทำไมจ้าวหู่ชิวถึงมีปฏิกิริยาเร็วกว่าเขาเสมอ หรือว่าเขาจะไม่ได้นอนทั้งคืนกันแน่
แน่นอน เขาไม่รู้ว่าจ้าวหู่ชิวได้มีเวลาหยุดพักระหว่างปฏิบัติภารกิจดูแลความปลอดภัยหรือไม่ เพราะดูเขาพร้อมปกป้องไป๋เยี่ยอยู่ตลอดเวลา
หากบอกว่าจ้าวหู่ชิวจะหามไป๋เยี่ยวิ่งหนีตอนเกิดแผ่นดินไหวก็คงไม่เกินจริง แน่นอนว่า…ถ้าวิ่งไม่ทัน จ้าวหู่ชิวก็คงใช้ร่างกายของเขากำบังไป๋เยี่ยจากสิ่งต่างๆ
นี่คือภารกิจของเขา!
ไป๋เยี่ยเหลือบมองจ้าวหู่ชิวอย่างรู้สึกขอบคุณ เขาพยักหน้าก่อนจะหยัดตัวขึ้นและเดินออกไปนอกเต้นท์ ทันทีที่เขาเดินออกไป เขาก็เห็นคนสี่ห้าคนกำลังเดินหามแผ่นไม้กระดานไปอีกทาง
ทั้งหมดต่างพากันตะโกน “หมอ เร็วเข้า รีบช่วยเด็กคนนี้ที”
ไป๋เยี่ยเดินออกไปดูก็ถึงกับชะงักไปเมื่อเห็นว่าตรงหน้ามีร่างของชายคนหนึ่งกำลังกอดเด็กหญิงไว้ในอ้อมแขน
ยิ่งไปกว่านั้น ชายคนนี้ไม่มีลมหายใจแล้ว ร่างกายของเขาแข็งทื่อไปแล้ว
ชายคนนี้ไม่ได้สวมเสื้อผ้าใดๆ ทว่ากลับมีเสื้อผ้าชิ้นหนาพันอยู่รอบเด็กหญิงตัวเล็กๆ ร่างกายของชายคนนั้นโค้งลงกอดเด็กหญิงไว้ในอ้อมแขนของเขาแน่น
ร่างของชายคนนั้นถูกแช่แข็งราวกับรูปปั้น แต่เด็กหญิงตัวเล็กๆ ในอ้อมแขนของเขายังมีชีวิตอยู่ แม้จะสัมผัสได้ถึงลมหายใจอันแผ่วเบาของเธอ แต่ดวงตาของเธอก็ปิดแน่นราวกับว่ากำลังท่องอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน
ไป๋เยี่ยต้องการเอาเด็กหญิงออกมาจากอ้อมแขนของชายคนนั้น แต่ไม่ว่าจะดึงสักกี่ครั้งก็เอาออกมาไม่ได้ จากนั้นไป๋เยี่ยจึงสังเกตว่าท่าทางของร่างที่แข็งตัวไปแล้วนั้นเป็นเหมือนกับโครงเหล็กที่คอยคุ้มกันร่างของเด็กหญิงไว้
ชายคนหนึ่งที่ร่างเต็มไปด้วยฝุ่นผงเดินเข้ามาจากด้านหลัง “ตอนเราไปเจอ ผู้ชายคนนี้ก็ตายไปแล้ว…เด็กน้อยยังมีชีวิตอยู่แต่พวกเราเอาเธอออกมาไม่ได้ เราควรทำไงดีครับหมอ”
ไป๋เยี่ยมองดูภาพตรงหน้าพลางอดหายใจเข้าลึกๆ ไม่ได้ ผู้ชายคนนี้ได้รับบาดเจ็บอย่างเห็นได้ชัด แผ่นหลังของเขามีแผลจากการะถูกสิ่งของกระแทก บริเวณศีรษะของเขามีแผลเปิดหลายจุด แม้ว่าจะมีแผลตกสะเก็ดบ้างแล้ว แต่บาดแผลก็ลึกมาก
อะไรทำให้ผู้ชายคนนี้ยอมถอดเสื้อผ้าออกมาพันร่างของเด็กหญิงตัวน้อยในสถานการณ์วิกฤตกัน ทั้งยังกอดเด็กหญิงไว้ในอ้อมแขนแน่นทั้งที่ถูกน้ำหนักกดทับ!
ตอนนี้ร่างของชายตรงหน้ามีสภาพการแข็งตัวของศพชนิดพิเศษที่เรียกว่า ‘คาดาเวอริค สปาซึม’ ซึ่งโดยทั่วไปจะเกิดขึ้นในเคสที่มีการหดตัวของกล้ามเนื้อฉับพลันระหว่างเสียชีวิต ทำให้ศพอยู่ค้างอยู่ท่าเดิมในสภาพแข็งทื่อ
กระบวนการแข็งตัวของศพจะเกิดขึ้นช้าๆ ทว่าสภาวะคาดาเวอริค สปาซึมนั้นกลับเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงจะเข้าสู่กระบวนการแข็งตัวปกติ ซึ่งการแข็งตัวในลักษณะนี้จะทำให้ศพแข็งกว่าปกติเล็กน้อย
สถานการณ์ของชายคนนี้ค่อนข้างชัดเจนแล้ว ทั้งยังพอย้อนภาพเหตุการณ์ในขณะนั้นได้ด้วย
ชายคนนี้ถอดเสื้อผ้าของตนมาพันรอบตัวเด็กหญิงไว้ขณะที่ตนเองก็ได้รับบาดเจ็บและยังคงอยู่ในท่าทางเดิมจวบจนตอนนี้ ก่อนจะสิ้นลมชายคนนี่คงจะพยายามปกป้องลูกสาวสุดที่รักของเขาไว้
การแข็งตัวของศพกินเวลาค่อนข้างนาน อย่างน้อยก็สองหรือสามวัน อย่างไรเสียทีมแพทย์ก็ยังวินิจฉัยอาการของเด็กหญิงไม่ได้ เพราะต้องดึงร่างของเด็กหญิงออกมาจากอ้อมแขนด้วยกำลังเท่านั้น!
ตอนนี้หลี่หมิงกำลังเดินออกมาจากที่พักพลางขยี้ตาไปด้วย เมื่อเขาเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้าก็ขมวดคิ้วเข้า ทำเอาใครก็เดาความคิดของเขาไม่ออก
จากนั้นหลี่หมิงก็เอ่ยปากขึ้น “เตรียมเครื่องมือให้พร้อม เอาเด็กออกมาก่อนค่อยว่ากันต่อ”
ไป๋เยี่ยพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นไปเตรียมตัว ไม่นานนักเขาก็กลับมาพร้อมเครื่องมือ
หลี่หมิงโค้งแสดงความเคารพผู้เสียชีวิตเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเบาๆ “ลูกสาวของคุณไม่เป็นไรแล้ว พักผ่อนให้สบายเถอะครับ”
ไป๋เยี่ยกำลังจะลงมือ ทว่าระหว่างที่กำลังจะดึงแขนของผู้ชายออก เขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อชายคนนั้นยอมปล่อยแขนลง…
คราวนี้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างตกตะลึงตามๆ กันไป
นี่มัน…
แปลกเกินไปแล้ว!
แขนที่แข็งทื่อเมื่อครู่กลับยกขึ้นได้แล้ว เป็นไปได้อย่างไร
หลี่หมิงรีบดึงเด็กหญิงออกจากอ้อมแขนของเขา ทันทีที่ร่างของเด็กหญิงเป็นอิสระ หลี่หมิงก็ได้ยินเสียงหอบหายใจอย่างรุนแรงจากตัวเด็กน้อย
หลี่หมิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ “ไปเตรียมมอนิเตอร์หาสัญญาณชีพก่อน”
หลีจื่อเหยียนเองก็ตื่นเพราะเสียงจากด้านนอก เมื่อเธอมาเห็นภาพตรงหน้าก็ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก
เธอรีบเตรียมมอนิเตอร์และอุ้มร่างของเด็กหญิงมาเตรียมวินิจฉัย
สัญญาณชีพของเธอค่อนข้างคงที่แล้ว แต่ความดันโลหิตและอุณหภูมิร่างกายต่ำมาก อัตราการเต้นของหัวใจก็ช้ามาก รวมถึงกระบวนการเผาผลาญที่แย่มาก
โชคดีที่เธอมาถึงที่นี่ทันเวลา ทำให้ค่อยๆ รักษาให้อาการคงที่ได้
ร่างของชายบนไม้กระดานนั้นค่อยๆ คลายตัวลง ราวกับว่าไม่ได้ผ่านกระบวนการแข็งตัวมาก่อน
เขาใช้ร่างของตนรักษาชีวิตของลูกสาวไว้
แม้แต่บั้นปลายชีวิตของเขา ก็ไม่เคยลืมเลือนความเป็นพ่อไปเลย
ความรักของพ่อไร้ซึ่งเสียง…
และไร้ซึ่งขอบเขตใดๆ…
ทุกคนไม่ทันได้ซาบซึ้งใจก็ต้องหันไปทุ่มเทกับการช่วยชีวิตต่อแล้ว
ผ่านไปพักหนึ่งก็จะมีผู้บาดเจ็บเข้ามาเรื่อยๆ จนไม่มีเวลาให้พักผ่อน ได้แต่ผลัดเวรรักษาผู้บาดเจ็บกันไป
ทั้งเมืองตกอยู่ในสภาวะอัมพาต ถ้าหากไม่มีเครื่องปั่นไฟชั่วคราว เมืองทั้งเมืองคงตกอยู่ในความมืดมิดยามค่ำคืน
บางทีนี่อาจเป็นแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวที่ทำให้เมืองยังดำรงอยู่ต่อไปได้
ศูนย์ช่วยเหลือชั่วคราวเหล่านี้คือสถานที่ที่คอยชี้ทางให้เหล่าชีวิตที่ตกอยู่ในห้วงความมืดนี้
วันรุ่งขึ้น มีผู้ป่วยกระดูกหักร้ายแรงเข้ามาทำการรักษากว่าสี่สิบราย รายที่อาการสาหัสที่สุดคือบรรดาเคสกระดูกซี่โครงทะลุหน้าอกจนเกือบแทงทะลุหัวใจ
หลี่หมิงเป็นศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทว่าความรู้ด้านกระดูกและการปฐมพยาบาลของเขานั้นกลับมีอยู่อย่างจำกัด
ในขณะเดียวกัน ไป๋เยี่ยกลับเป็นคนที่ลุกขึ้นมา ระหว่างสองวันนี่ ไป๋เยี่ยมักจะ คิดหาวิธีการรักษาและแผนการผ่าตัดที่ดีที่สุดให้กับผู้ป่วยอาการสาหัสเหล่านั้น
ชีวิตและความตายขึ้นอยู่กับชั่วความคิดเดียว การตัดสินใจของแพทย์ย่อมส่งผลต่อชีวิตของผู้ป่วยได้
ยิ่งผู้ป่วยสาหัสมากขึ้นเท่าใด การตัดสินใจก็ยิ่งสำคัญมากเท่านั้น
ไป๋เยี่ยค่อยๆ กลายเป็นกระดูกสันหลังให้กับทีมแพทย์เกี่ยวกับสิ่งที่ควรทำต่อผู้ป่วย วิธีจัดการกับผู้ป่วยและตัดสินว่าใครจะเป็นผู้จัดการกับผู้ป่วยบ้าง
หลี่หมิงถึงกับต้องยอมรับว่าไป๋เยี่ยคืออัจฉริยะตัวจริง!