ถ้าพูดถึง ‘เกราะหนัก’ การุโด หรือหมายถึงพูดถึงตัวฉันเองล่ะก็ เขาก็เป็นนักผจญภัยที่พอมีชื่ออยู่
เกิดมาพร้อมการป้องกันที่สูง และพลังกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่ง เขาฝึกฝนอย่างหนักเพื่อเพิ่มเลเวลและพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ต้องขอขอบคุณท่านมิซารี่ที่มอบพรสวรรค์นี้ให้กับเขาผู้นั้น
ด้วยความพยายามของเขา ในวัย 40 ปี เขาก็ได้รับการรับรองให้เป็น [นักผจญภัยระดับ S] ระดับที่สูงที่สุดของนักผจญภัย
ฉันที่เกิดมาในครอบครัวชาวไร่ที่ยากจน กลายมาเป็นนักผจญภัยระดับ S และตอนนี้ก็มาเป็นหนึ่งในสมาชิกของ ‘คณะผู้กล้า’ แล้ว ฉันนี่มาได้ไกลจริงๆ เลย
แต่ สิ่งที่ฉันต้องทำก็ไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่ ทั้งหมดที่ฉันต้องทำคือปกป้องพรรคพวกของฉัน และกำจัดพวกเผ่ามาร นั้นคือทั้งหมดที่ฉันสามารถทำได้ด้วย
เมื่อตอนที่ฉันยังเป็นนักผจญภัย ฉันได้จัดการพวกมารและพวก [สัตว์อสูร] มาแล้ว แต่นอกเหนือจากนั้น สิ่งที่ฉันต้องทำก็ยังเหมือนเดิม
มันเป็นงานที่น่าพึงพอใจและวิเศษมาก
“อาทิตย์กำลังจะตกแล้วนะคะ”
ฉันมองดูท้องฟ้าตอนเสียงของมาริส พรรคพวกนักเวทของเรา และใช่ ดวงอาทิตย์กำลังตกถึงขอบฟ้าแล้ว อีกไม่กี่นาที กลางวันก็จะจบลง
วันนี้ก็เช่นกัน เราสามารถลดจำนวนของพวกมารไปได้มากทีเดียว ทั้งหมดต้องขอบคุณท่านผู้กล้าเลย
ท่านผู้กล้า ฉันไม่รู้ชื่อของเธอหรอก เธอดูเหมือนเด็กผู้หญิงที่ยังเด็กอยู่ แต่เธอเป็นอัจฉริยะในเพลงดาบที่ทั้งทรงพลังจนน่ากลัวและพรสวรรค์อย่างเปี่ยมล้น
เธออยู่เหนือสามัญสำนึกของมนุษย์และเกินเอื้อมของฉันไปบอก
ฉันไม่เคยได้ยินเสียงเธอเลย อย่าว่าแต่ชื่อเลย แม้แต่ลักษณะภายนอกของเธอก็มักจะอยู่ในชุดผ้าคลุมขาดรุ่งริ่ง ท่านอัซบาร์กับท่านทรัซท์แห่ง 12 อัครสาวกที่ร่วมทางกับพวกเราบอกว่ามันเป็นเพราะการฝึกประจำวันและการต่อสู้กับพวกมาร
“ผมว่าได้เวลาที่พวกเราจะกลับเมืองหลวงแล้วล่ะครับ ท่านอัซบาร์ ท่านทรัซท์”
“…อ่า จริงสินะ ผู้กล้าก็… ฉันคิดว่าเธอก็น่าจะเหนื่อยแล้วสินะ งั้นเราก็กลับกันเลยแล้วกัน มาริส เตรียมตัวร่าย {เกรทเตอร์ เทเลพอร์เทชั่น (เคลื่อนย้ายขั้นสูง)} ได้เลย”
“ค่ะ”
เวท {เคลื่อนย้ายขั้นสูง} เป็นเวทพื้นที่ที่สุดยอดมาก สามารถเคลื่อนย้ายได้ไกลกว่า {เทเลพอร์เทชั่น (เคลื่อนย้าย)} แถมยังทำลายเวทคุ้มครองป้องกันการเคลื่อนย้ายได้ด้วย
เหมือนจะมีไม่ถึงร้อยคนเท่านั้นที่สามารถใช้งานมันได้
ยังไงก็ตาม เพราะความยากของมัน แม้แต่นักเวทอัจริยะที่หาตัวจับยากอย่างมาริสยังต้องใช้เวลาร่ายนานพอดูเลย
โลกนั้นช่างกว้างใหญ่ ฉันรู้สึกได้เลย เพราะยังมีคนที่สามารถใช้เวทบทนี้ได้โดยไม่ต้องร่ายด้วยซ้ำ
อย่างท่านนอยน์ [12 อัครสาวก] ลำดับที่ 6 ‘จอมเวทเจ้าน้ำตา’ ผู้นั้นก็เป็นอันดับ 1 ในรายชื่อนั้นเลย
…และถึงไม่น่าสบอารมณ์เท่าไหร่ แต่ ‘แม่ทัพแห่งพงไพร’ เทียน่า ฟอเรสเตอร์ ที่เป็นเอลฟ์และถูกเรียกจากมนุษย์อย่างพวกเราว่า ‘ปีศาจ’ และก็ ‘แม่ทัพแห่งภัยแล้ง’ เฟเรีย ที่แข็งแกร่งพอๆ กับเจ้าปีศาจนั่น ก็สามารถใช้เวทนี้ได้เหมือนกัน
“เรายังมีเวลาว่างเหลืออีกเยอะกว่าฟ้าจะมืด พวกมารแถวๆ นี้ไม่ตายก็คงหนีไปแล้วสินะ”
“ฉันก็ว่างั้น เฮอะ ก็สมกับความขี้คลาดตาขาวของพวกมันแล้วล่ะนะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า! พวกมารตาขาวนี่น่าขำเป็นบ้า! เอาเถอะ ก็เข้ากับพวกมันดีแล้วหนิ!”
“…ทุกท่าน อย่าเพิ่งประมาทกันสิคะ”
คนที่ทักขึ้นมาแบบนั้นคือเคน (จอมยุทธ์), คิลัวร์ (ผู้วิเศษ) และก็เมรี่ (นักบุญ) ทุกคนล้วนเป็นอดีตนักผจญภัยระดับ S กันหมด และเป็นพรรคพวกร่วมทางเก่าของฉันด้วย
ฉันแปลกใจไม่ใช่เล่นเลยตอนที่เห็นว่าทุกคนถูกเรียกมารวมกันในฐานะคณะผู้กล้า ในขณะเดียวกัน มันก็ทำให้ฉันรู้สึกแปลกแยกด้วย เพราะฉันเป็นแค่คนแก่คนเดียวในคณะเลย
“ในบรรดาพวกมาร มีอยู่ไม่น้อยเลยที่มีพลังสูงจนน่าสะพรึงกลัว ถ้าพวกนายอยากเป็นประโยชน์ต่อท่านมิซารี่แล้วล่ะก็ ก็ควรจะระวังตัวไว้ให้ดีสิ”
“รู้แล้วน่า นี่ก็กระจายตัวออกเพื่อเฝ้าระวังโดยรอบแล้วนี่ไง”
“ใช่ๆ! เมรี่น่ะขี้กังวลไปแล้วนา”
“ไม่ใช่แบบนั้นซักหน่อย…หืม?”
“…มีอะไรเหรอ เมรี่? เกิดอะไรขึ้น?”
“เปล่าหรอก คือจับปฏิกิริยาเวทมนตร์ได้ใกล้ๆ นี่”
“หืม? จริงสิ ฉันเริ่มรับรู้มันได้แล้วเหมือนกัน”
พอได้ยินแบบนั้น ทุกคนในคณะ ยกเว้นมาริสที่กำลังเตรียมการเคลื่อนย้ายอยู่ กับท่านผู้กล้าก็เข้าสู่ภาวะเฝ้าระวังภัยทันที
เหตุผลที่ท่านผู้กล้าไม่เตรียมตัว อาจจะเพราะเธอมั่นใจในความสามารถในการตอบสนองของเธอที่พร้อมสวนกลับทุกการเคลื่อนไหวของฝั่งตรงข้ามล่ะมั้ง ช่างน่าชื่นชมจริงๆ
“…มันเข้ามาใกล้พวกเราแล้ว”
“โห เอาจริงงั้นเหรอเนี่ย?”
ความเครียดของพวกเราพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามเสียงนั่น จังหวะที่เราเห็นฝั่งตรงข้ามนั้น ความเครียดทั้งหมดของเราก็เปลี่ยนเป็นความงุนงงในทันที
เพราะว่า
“…เด็ก?”
ฝั่งตรงข้ามนั่น ไม่ว่าจะมองมุมไหน ก็เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กเท่านั้นเอง
หน้าของเธอที่ออกมาจากป่าดูคล้ายมนุษย์เมื่อเหลือบเห็นครั้งแรก แต่จากผมยาวนั่น, แสงสว่างที่มืดทึม และอยู่ในท่าก้มตัว ทำให้มองเห็นได้ยาก
“เด็ก ออกมาจากป่างั้นเหรอ? น่าสงสัย…”
“อย่าเพิ่งประมาทล่ะ อาจจะเป็นพวกเผ่ามารปลอมตัวมาก็ได้”
ท่านทรัซท์แห่ง 12 อัครสาวกพูดเช่นนั้น
เขาเป็นพี่ชายของท่านอัซบาร์ และสมกับฉายาว่า ‘ขวานคู่’ ท่านเป็นนักรบผู้เกรี้ยวกราดที่ถือขวานไว้ 2 เล่ม เป็นผู้ที่ฉันนับถือมาอย่างยาวนาน
“เจ้าหนู! หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ! พวกเราคือกลุ่มของผู้กล้า ตอบคำถามของพวกเรามาซะ! ตอบพวกเรามา และบอกมาว่าทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่!”
พอได้ยินเสียงตะโกนของท่านทรัซท์แล้ว เด็กคนนั้นก็หยุดเคชื่อนไหว ก็จะเริ่มพูดออกมาด้วยเสียงขาดช่วง
“ช่วย…ช่วยด้วยค่ะ…ถูกจับ…ผู้คน…ครอบครัวของฉัน…คุณแม่ช่วยให้ฉันหนีมา”
นี่เด็กคนนี้เป็นพวกเชลยที่พวกเผ่ามารจับไว้งั้นเหรอ?
งั้น เป็นไปได้มากเลยว่าฐานที่มั่นของกองทัพจอมมารจะอยู่ลึกเข้าไปในป่านี้สินะ
“มีหลักฐานอะไรพิสูจน์ตัวตนของเจ้า!”
“อะ…น- นี่ค่ะ…จดหมายนี่…แม่ให้หนูเอาไปส่งให้คนสำคัญซักคน”
“…เมรี่ มีการใช้เวทเปลี่ยนรูปร่างบ้างมั้ย?”
“ไม่มีเลยค่ะ ไม่ได้ใช้เวทสร้างภาพลวงตาเลยด้วย”
“มาริส ยืดระยะเวลาการเคลื่อนย้ายออกไปก่อนนะ”
ดูเหมือนท่านทรัซท์จะพร้อมฟังที่เด็กผู้หญิงคนนั่นพูดแล้ว
“อัซบาร์ ไปเอาจดหมายนั่นมา”
“โอ้ ได้เลย”
ท่านอัซบาร์รับจดหมายของเด็กหญิงมา และทุกคนยกเว้นท่านผู้กล้าก็ให้ความสนใจกับมันทันที
เขาหยิบกระดาษแผ่นนึงออกมาจากซอง และในนั้น…
[มองดูที่ดวงจันทร์]
มันเขียนไว้แบบนั้น
ฉันมองขึ้นไปดูดวงจันทร์โดยที่ไม่เข้าใจความหมายของประโยคที่เขียนเอาไว้นั้น ดวงจันทร์ที่เข้ามาในสายตาแทนที่ดวงอาทิตย์แล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิมเลย…วันนี้ดวงจันทร์เต็มดวงเหรอเนี่ย?
“นี่เจ้าหนู นี่มันเรื่องอะ-”
ท่านอัซบาร์หันไปทางป่าเพื่อถามเด็กผู้หญิงคนนั้น… แต่ตรงนั้นก็ไม่มีเด็กผู้หญิงอยู่แล้ว
“…อ่าว…เธอหายไปไหนแล้ว…เอ๊ะ?”
ฉันหันไปรอบๆ ก่อนจะได้เห็น…
.
.
.
เด็กผู้หญิงคนนั้นเอามือวางบนคอของมาริส… ไม่สิ เธอกำลังจะหักคอเธอแล้ว
มีเสียงลั่นดัง *กร็อบ* ก่อนที่มาริสจะทรุดลงตรงนั้น
ไม่ผิดแน่ เธอตายทันทีเลย
“มาริส!”
“ไอ้บ้านี่…”
“อ๊า น่ารำคาญเป็นบ้า ไอ้การแสดงห่วยๆ นี่… เอาเถอะ เอาเถอะ ว่าแต่ จะดีเหรอที่สนใจแต่ฉันน่ะ?”
ฉันหันกลับไปทันทีตามคำที่เด็กผู้หญิงคนนั้นที่อยู่ๆ ก็พูดคล่องแคล่วได้บอกออกมา และตอนนั้น มีเงาอีก 2 ร่างปรากฏตัวขึ้น
ฉันจำได้ว่านั่นเป็นเงาร่างของใคร…
“พวกผู้บริหาร!”
“{เทเลพอร์เทชั่น (เคลื่อนย้าย)} !”
แล้วเงาพวกนั้นก็หายวับไป พวกนั้นไม่ได้ทำอะไรเลย…
…ไม่ ไม่สิ! ไม่ใช่แน่!
“พวกมันเอาตัวท่านทรัซท์กับท่านอัซบาร์ไปแล้ว!”
“บ้าเอ๊ย! มันตัดเส้นทางการเคลื่อนย้ายของเรา!”
กำลังที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นอันดับ 2 อย่างท่าน 12 อัครสาวกทั้ง 2 คนถูกพาตัวไป!
เมจิกไอเท็มสำหรับการเคลื่อนย้ายนั้นอยู่ที่ท่านทรัซท์
และตอนนี้ที่มาริสถูกฆ่าไป เราเลยไม่มีทางใช้เวทเคลื่อนย้ายได้เลย
“แม่งเอ๊ย! ไอ้เด็กนี่มันเป็นหนึ่งในพวกเผ่ามาร!”
“งั้นเหรอ?… แผนการมาถึงจุดสำคัญแล้วสินะ มาเริ่มกันเลย”
เด็กคนนั้นหันมาพลางพูดเช่นนั้นออกมา… ไม่นะ ตาของพวกเผ่ามารที่เรืองแสงสีแดงออกมานั่น
ตานั่น และก็ฟันคู่นั่น ไม่ผิดแน่
“เผ่าแวมไพร์…!”
“ไม่ใช่ว่ามันสูญพันธุ์ไปแล้วเหรอ!”
เมื่อ 3 ปีก่อน มีข่าวลือว่าเผ่าแวมไพร์ที่เชื่อมโยงกับกองทัพจอมมารนั้นประกาศตัวเป็นกลาง ไม่เข้าแทรกแซงฝ่ายใด
แต่ถึงไม่มีข่าวลือพวกนั้น พวกมันก็ยังเป็นเผ่าพันธุ์ชั่วช้าที่ดันมาเชื่อในเทพชั่วร้าย อิซึสึ แผนการถูกวางขึ้นอย่างรวดเร็ว และ 12 อัครสาวกอย่างท่านนอยน์และท่านอีดิธก็ได้รับมอบหมายให้กวาดล้างเผ่าพันธุ์นั้นจนสิ้นซาก
“ฉันเป็นคนเดียวที่เหลือน่ะ ที่นี้ ถ้าพวกแกส่งตัวผู้กล้าให้กับเรา ฉันจะไม่ทำให้เรื่องมันแย่ไปกว่านี้ เอายังไงล่ะ?”
…แสดงว่าพวกมันหมายตาตัวผู้กล้าสินะ!
“พูดอะไรโง่ๆ! ใครมันจะไปส่งความหวังของมวลมนุษย์ให้พวกมารอย่างแกกัน!”
“…พวกแกไม่รู้เลยสินะว่าพวกมันอะไรบ้างกับความหวังนั้นของแกน่ะ”
“หา?!”
“ช่างเถอะ แสดงว่าการเจรจาไม่เป็นผลสินะ งั้นก็แค่เชือดพวกแกทิ้งให้หมด ตอนแรกฉันว่าจะฆ่าพวกแกโดยไม่ต้องเจ็บปวดแท้ๆ ถ้าพวกแกยอมยกมาให้แต่โดยดีตั้งแต่แรก โง่จริงๆ”
แล้วเจ้าแวมไพร์นั่นก็ตั้งท่าพร้อมสู้ พวกเราก็เตรียมพร้อมต่อสู้แล้วเช่นกัน
…นี่มันคิดจะสู้กับพวกเรา 5 คนพร้อมกันงั้นเหรอ?
ถ้าใช่ เธอก็บ้าไปแล้ว…
“เป็นอย่างที่ข้อมูลระบุไว้เลย นี่คือพลังของฉันตอนสมบูรณ์สินะ? ก็ คนอย่างแกน่ะไม่ใช่คู่มือของฉันหรอก”
ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่มันพูดเลย… แต่ถึงงั้น ฉันไม่รู้ว่าทำไมเพื่อนๆ ถึงได้มองมาที่ฉันแล้วทำหน้าซีดกัน
พอฉันมองไปที่เจ้าแวมไพร์นั่น ก็เห็นอะไรบางอย่างหยุ่นๆ อยู่ในมือของมัน
“โห นี่ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอว่าตัวเองตายไปแล้วน่ะ? หัวช้าจริงๆ เลยนะแกเนี่ย”
“…หา?”
…และในที่สุด ฉันก็รู้แล้วว่าสิ่งที่อยู่ในนั่นคือหัวใจของฉันเอง และ… ทันใดนั้น สติฉันก็มืดดับไป
TN: แต่น แต๊น~