วันที่สามเดือนสาม เทศกาลซ่างซื่อหนีว์เอ๋อเจี๋ย[1]
ในเขตชานเมืองมีดอกไม้สวยงามมากมาย พืชพรรณสีสันสดใส ผู้คนควบขี่ม้าในชุดเลิศหรู ผู้คนหลั่งไหลมามากมายดั่งกระแสน้ำไหล
ในรัชสมัยนี้เทศกาลหนีว์เอ๋อเจี๋ยไม่ได้เป็นทางการมากนักเพียงแต่ฤดูกาลมาถึงพอดี สตรีในห้องหอสามารถออกมาเดินเล่นอย่างเหมาะสม บรรยากาศครึกครื้นไม่น้อย
ตัวอย่างเช่นเดินทางไปวัดฉางเชิงเพื่อถวายเครื่องหอม หรือไปเที่ยวงานวัดที่ชานเมืองหรือไปเขาซีชานเพื่อชมดอกท้อ หรือไปชมรมกวีนิพนธ์ที่ตงไถ หรือจะพามาทั้งครอบครัวก็ได้
ตระกูลจี้เองก็เช่นกัน ปีที่สองที่หมิงเวยจากบ้านไปจี้หลิงสอบผ่านขุนนางและได้ตำแหน่งทั่นฮวา พี่ใหญ่ไม่เพียงมีความสามารถในการเรียนรู้เหนือคนธรรมดา แต่ยังมีความสามารถในการจัดการเรื่องต่างๆ ที่เยี่ยมยอด ช่วงสองปีนี้พรสวรรค์ของเขาโดดเด่นออกมาในสำนักฮั่นหลิน
นายท่านจี้ทำหน้าที่ซือเยว่อย่างใสสะอาดอีกทั้งยังมีจี้หลิงคอยสนับสนุน ทำให้ตอนนี้ตระกูลจี้มีชื่อเสียงอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตามสำหรับพวกเขาแล้วไม่มีอะไรมากไปกว่าการมีชีวิตที่ดีขึ้นที่เหลือไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ตระกูลจี้ไปไหว้พระจุดธูปด้วยพวกเขาไม่ได้ไปวัดฉางเชิง แต่ไปที่เสวียนตูกวัน
หลังจากไหว้เทพเจ้าแต่ละองค์เสร็จ พวกเขาก็ไปรอคนในห้องโถง จูเอ๋อร์อายุได้ห้าขวบแล้วเป็นช่วงวัยที่มีชีวิตชีวา นางมองทางนั้นทางนี้อย่างไม่อยู่สุข
“อา ท่านอา!”
จี้ฮูหยิน และสะใภ้ใหญ่ที่กำลังสนทนากันอยู่ได้ยินเสียงจูเอ๋อร์ พอหันหน้าไปมองก็เห็นว่าผู้ที่มาใช่จี้เสียวอู่จริงหรือ
ปีนี้จี้เสียวอู่มีอายุสิบเก้าปีตัวเขาสูงขึ้นเล็กน้อย ร่างกายดูหนาขึ้น ในที่สุดเขาก็เติบโตขึ้นเป็นอย่างที่เขาฝันถึง เขาสวมชุดนักพรตสีน้ำเงินเข้มเกือบดำของเสวียนตูกวัน ขับให้เขาดูโดดเด่น สูงตระหง่านและมั่นคง เพราะไม่ได้เจอจี้เสียวอู่มาระยะหนึ่งแล้ว จี้ฮูหยินและสะใภ้ใหญ่จึงเข้ามาไถ่ถามทุกข์สุข
จี้หลิงและจี้เสียวอู่อายุห่างกันไม่กี่ปี ตอนที่สะใภ้ใหญ่แต่งเข้าเรือนมาเขามีอายุเพียงสิบสองปี อีกทั้งยังเป็นเจ้าเด็กแสบซึ่งดูไม่ต่างอะไรกับมีลูกชายหลายคนเลย จี้เสียวอู่ถูกสตรีสองนางล้อมถาม ภาพลักษณ์อันมั่นคงของเขาหายไปอย่างรวดเร็ว
เขาพูดว่า “เอาล่ะๆ ข้ารู้แล้ว ข้ากินอิ่มดี ไม่ได้อ่านอะไรซี้ซั้ว ไม่ได้แอบออกไปเล่นข้างนอก...เหตุใดพวกท่านไม่เชื่อข้า!”
“เพราะก่อนหน้านี้เจ้าก่อเรื่องไว้มากตอนนี้เลยไม่มีผู้ใดเชื่อน่ะสิ” จี้หลิงเดินเข้ามาพร้อมนักพรตซีเฉิง
“เช่นนั้นท่านก็ถามท่านอาจารย์สิ! ว่าข้าเป็นเด็กดีจริงๆ”
นักพรตซีเฉิงยังคงมีใบหน้าที่เย็นชามีเพียงแววตาที่มองมาอย่างอบอุ่น เขาพยักหน้าแล้วตอบว่า “เสียวอู่เป็นเด็กขยันฝึกฝนทักษะ”
“ได้ยินหรือไม่ พวกท่านได้ยินหรือไม่!” จี้เสียวอู่พูดด้วยความภาคภูมิใจ “ข้าบอกแล้วไม่เชื่อ! ไอหยา!”
จี้หลิงดีดหน้าผากอีกฝ่าย “ไม่ว่าจะเรียนหนังสือ หรือฝึกฝนทักษะจำเป็นต้องจริงจัง เจ้าภูมิใจมากหรือไม่”
แววตาของจี้เสียวอู่ฉายแววตัดพ้อ “อย่างไรพี่ใหญ่ก็คิดว่าข้าไม่เอาไหนอยู่แล้ว!”
“มีเหตุผล!”
หลังพูดเรื่องไร้สาระกันเสร็จก็เข้าหัวข้อหลัก นายท่านจี้กล่าวว่า “ท่านนักพรต อายุของเสียวอู่ก็ไม่น้อยแล้วน้องสาวของเขาบอกว่าจะกลับมาเร็วๆ นี้ ท่านเห็นว่าควรให้เขาแต่งงานก่อนดีหรือไม่”
นักพรตซีเฉิงไม่พูดอะไร แต่จี้เสียวอู่ร้องออกมาว่า “ท่านพ่อ ท่านพูดอะไรน่ะ ท่านอาจารย์รับปากจะถ่ายทอดศีลให้ข้า หากข้าได้รับถ่ายทอดศีลแล้วถือว่าเป็นนักบวชอย่างเป็นทางการจะแต่งงานได้อย่างไร”
“เจ้าพูดอะไร” นายท่านจี้ขึ้นเสียง “เจ้าจะรับการถ่ายทอดศีลเหตุใดจึงไม่ปรึกษาครอบครัวก่อน ก่อนหน้านี้ไม่เรียนหนังสืออยากเรียนเคล็ดวิชาข้าก็ปล่อยเจ้าเรียน ตอนนี้ยังคิดจะออกบวชอีกเพราะไม่อยากแต่งงานกับน้องสาวเจ้าหรือถึงได้จงใจหาข้ออ้าง เด็กคนนี้ อายุเพียงนี้แล้วจะไม่แต่งงานได้อย่างไร”
“แล้วเหตุใดต้องแต่งงานด้วยในครอบครัวก็ยังมีพี่ใหญ่อยู่ไม่ใช่หรือ”
“พี่ใหญ่ก็ส่วนพี่ใหญ่จะเหมือนกันได้อย่างไร”
“มีพี่ใหญ่อยู่ก็มีคนสืบทอดตระกูลขาดข้าไปคนไม่เห็นจะสำคัญเลย”
นายท่านจี้โกรธมากจนอยากจะตีเขา แต่ที่นี่คือเสวียนตูกวันจึงจำเป็นต้องอดกลั้นไว้
“ผู้ใดบอกไม่สำคัญบุญคุณบิดามารดาต้องทดแทนคิดจะออกบวชอยากจะทำให้พ่อแม่เจ้าอกแตกตายหรือ”
จี้เสียวอู่กลัวโดนทำร้ายจึงไปหลบอยู่หลังนักพรตซีเฉิงแล้วพูดว่า “มีหลายวิธีที่จะตอบแทนความกตัญญู เหตุใดต้องเป็นการแต่งงานด้วย แต่งงานมีอะไรดีกัน ท่านต้องการให้ข้าแต่งกับน้องหญิงจริงหรือ ท่านพ่อ ท่านโง่จริงหรือแกล้งโง่กันแน่ เหตุใดน้องหญิงถึงออกจากบ้านนางวิ่งไล่ตามผู้ชายคนอื่นท่านคิดจะให้ข้าสวมหมวกเขียวหรือ!”
ใบหน้าของนายท่านจี้เขียวคล้ำเขาต้องการลากบุตรชายออกมาทุบตีโดยไม่สนใจแล้วว่านักพรตซีเฉิงอยู่ที่นี่ด้วยหรือไม่
“เจ้ากล้าทำลายชื่อเสียงน้องสาวเจ้า! คิดว่าข้าไม่กล้าตีเจ้าให้ตายหรือไง!”
จี้เสียวอู่กุมหัวเขาวิ่งไปร้องไปว่า “ข้าพูดเรื่องจริง เหตุใดท่านพ่อถึงไม่เชื่อข้าบ้าง”
เขาจะตายอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือ คำพูดนี้ซูเจี๋ยเป็นคนบอกเขามา ว่าอยากออกบวชก็บวชอยากถอนหมั้นก็ถอน
หึ! คนที่ออกกำแพง[2]ไม่ใช่เขา มีสิทธิ์อะไรมาให้เขาถอนหมั้น ไม่ถอนก็ไม่ถอน! อย่างไรเขาก็ไม่มีคนอยากแต่งงานด้วยอยู่แล้ว ดูสิว่าผู้ใดที่จะต้องกังวลเรื่องนี้!
“ท่านอาจารย์ ท่านช่วยข้าพูดทีขอรับ!” จี้เสียวอู่ทำได้เพียงหาคนช่วยเหลือ
นักพรตซีเฉิงกำลังจะพูด แต่คนรับใช้ตระกูลจี้รีบเข้ามาบอกว่า “นายท่าน ฮูหยิน! คุณหนูกลับมาแล้วขอรับ!”
ในจดหมายหมิงเวยเขียนแค่ประมาณระยะเวลาเท่านั้น ทุกคนในตระกูลจี้รู้สึกไม่ทันตั้งตัว ไม่มีเวลาสนใจจี้เสียวอู่พวกเขารีบเก็บข้าวของกลับจวน พอออกจากเสวียนตูกวันทุกคนถึงพบว่าภายนอกแตกต่างจากตอนเข้ามา
ถนนใหญ่ถูกเปิดทางเจ้าหน้าที่ และนักท่องเที่ยวมากมายยืนหลบอยู่ข้างถนนอย่างตั้งตารอคอย จี้เสียวอู่คว้าตัวนักพรตเต๋าตัวน้อยที่มีท่าทีกระตือรือร้นมาถาม “เกิดอะไรขึ้น เชื้อพระวงศ์เสด็จออกประพาสหรือ”
นักพรตน้อยตอบ “ไม่ใช่ขอรับ! กองทัพซีเป่ยนำชัยชนะกลับเมืองหลวง ทุกคนจึงมาดูเยวี่ยอ๋องกับแม่ทัพใหญ่”
พูดถึงเรื่องนี้หลายคนต่างให้ความสนใจ เยวี่ยอ๋องผู้นี้คืออดีตคุณชายสามจากตระกูลหยาง เมื่อสองสามปีก่อนไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงไม่รู้จักเขาต่อมาถูกลดขั้น และไล่ออกจากเมืองหลวงทุกคนยังทอดถอนใจเลย!
เรื่องของคุณชายหยางทำให้ทุกคนต่างพูดถึงกันหลังอาหารเย็นเป็นอย่างมาก การจากไปเช่นนั้นน่าเสียดายนัก! ทำให้ฮ่องเต้ขุ่นเคืองใจเกรงว่าจากนี้คงไม่ได้กลับมาอีก
ผู้ใดจะคิดว่าไม่ถึงสามปีเขาไม่เพียงกลับมาเท่านั้น แต่เปลี่ยนจากพระประยูรญาติเป็นสมาชิกในราชวงศ์แทน
หลานของซือฮว๋ายไท่จื่อ ถ้าไม่ใช่เพราะเคราะห์ร้ายตอนนี้คงสูงส่งเกินกว่าจะอธิบาย ไม่น่าแปลกใจเลยที่ความวุ่นวายเมื่อสองสามปีก่อนฮ่องเต้ทรงอดทนแล้วอดทนอีก
อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่สามารถย้อนกลับไปได้แล้วทุกคนในตระกูลจี้ยืนอยู่ข้างถนนตามทุกคนเช่นกัน
อันที่จริงวันที่กองทัพซีเป่ยตามกำหนดเดิมจะเข้าเมืองหลวงคือวันพรุ่งนี้ แต่วันนี้ฮ่องเต้อารมณ์ดี พระวรกายก็ดีจึงปรับให้เป็นเข้าเมืองวันนี้แทน อาการปวดพระเศียรของฝ่าบาทไม่แน่นอนไม่รู้ว่าจะกำเริบเมื่อไร ใช้โอกาสที่ฝ่าบาทอารมณ์ดีจัดการเรื่องจำเป็นทั้งหมดให้เสร็จจะดีกว่า
“วู…” เสียงแตรดังใกล้เข้ามามีการสั่นสะเทือนเล็กน้อยที่พื้น และกองทัพซีเป่ยกำลังเดินทางเข้ามาใกล้พวกเขา
ประชาชนแคว้นต้าฉีเงยหน้าขึ้นมอง มองเห็นวีรบุรุษในชุดเกราะสีดำมาจากที่ไกล ม้าศึกดูแข็งแรงทรงพลัง ชุดเกราะบนร่างกายเปล่งประกายมาพร้อมกับกลิ่นอายของเลือด
นอกจากเสียงแตรสั่งการ ทั้งขบวนตกอยู่ในความเงียบและเข้มงวดทำให้บรรยากาศดูมีรังสีแห่งการฆ่าฟันมากขึ้น ตั้งแต่หัวขบวนยันท้ายขบวนเดินผ่านไป เหล่าคนมากมายที่ยืนมุงอยู่ด้านข้างไม่มีผู้ใดพูดอะไรออกมาเลย
จนกระทั่งทุกคน และเจ้าหน้าที่ถอนตัวออกไปถึงมีคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก น้ำเสียงนี้ทำลายบรรยากาศที่เคร่งเครียดทุกคนพูดคุยกัน
“ผู้ที่อยู่หัวขบวนคือแม่ทัพจงใช่หรือไม่ น่าเกรงขามมาก!”
“กองทัพซีเป่ยแข็งแกร่งมาก และทหารทุกคนก็ดูมีกลิ่นอายสังหาร”
“พวกเขาต้องฆ่าคนมาไม่น้อยแน่”
“คนพวกนั้นเป็นศัตรู สมควรแล้ว!”
“แล้วเยวี่ยอ๋องล่ะ คนไหนกัน”
“จริงสิ เหมือนจะไม่เห็นนะ…”
……………
[1] หนีว์เอ๋อเจี๋ย : เทศกาลซ่างซื่อ(上巳节) ตรงกับวันขึ้น 3 ค่ำตามปฏิทินจันทรคติของจีน ปัจจุบันมักเรียกว่า หนีว์เอ๋อเจี๋ย(女儿节) เล่ากันว่า วันนี้เป็นวันประสูติของหวางตี้(黄帝) ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชนชาติจีน สมัยโบราณ ผู้คนจะใช้ดอกและต้นกล้วยไม้ต้มน้ำ เพราะนอกจากส่งกลิ่นหอมแล้ว ยังเชื่อว่า น้ำต้มกล้วยไม้สามารถขจัดสิ่งอัปมงคลได้ ต่อมา กลายเป็นเทศกาลเฉพาะสำหรับหญิงสาว โดยเฉพาะเป็นเทศกาลแสดงถึงการโตเป็นสาวของเด็กหญิงชาวฮั่น สาวๆ จะอาบน้ำกล้วยไม้ แต่งชุดสวยงาม ร้องรำทำเพลงริมแม่น้ำ เที่ยวชมวิวฤดูใบไม้ผลิและขออธิษฐานให้มีความสุขตลอดชีวิต
[2] มาจากสำนวน ดอกซิ่งแดงออกกำแพง เป็นสำนวนจีนที่นิยมใช้ในนิยายจีนมักหมายถึง หญิงที่มีสามีแล้ว แต่ไปคบชู้ หรือ ยังคอยโปรยเสน่ห์แก่ชายอื่น