จ้วงหยวนหลางคือผู้ที่สอบได้คะแนนสูงสุดในทุกระดับขั้นตอนการสอบจอหงวน ร้อยปีกว่าจะมีนิมิตมงคลโผล่มาคนหนึ่ง จิ่งหมิงฮ่องเต้ย่อมประทับใจบุตรเขยที่มีคุณสมบัติเช่นนี้เป็นธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาถูกใจบิดาของเขายิ่งกว่า
เหล่าเจินเป็นคนมีความสามารถ
“ไว้ข้าจะลองถามความเห็นเจินซื่อเฉิงดูก็แล้วกัน”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เชื่อมั่นว่าตนเป็นจักรพรรดิหัวก้าวหน้า เขาจึงไม่นิยมพระราชทานงานอภิเษกให้โดยพลการ เพราะต่อให้อีกฝ่ายไม่ยินยอม แต่ใครเล่าจะกล้าปฏิเสธ การทำเช่นนั้นจะดูเป็นการกดดันผู้อื่นมากเกินไป
เพียงแต่เขาวางแผนเอาไว้แล้ว หากเหล่าเจินแสดงออกว่าไม่ยินยอม เขาก็จะใช้หยกขาวทับกระดาษปาเข้าที่หน้าของเหล่าเจิน
ธิดาของเขาดีเลิศปานนี้ อีกทั้งยังเป็นหน่อเนื้อขององค์จักรพรรดิ หากเหล่าเจินแสดงท่าทีรังเกียจก็ตาบอดตาสั้นเต็มที!
เจินซื่อเฉิงที่กำลังคร่ำเคร่งอยู่ที่โต๊ะทำงานจามออกมาโดยไม่ทราบสาเหตุ เขายกมือขยี้จมูกพลางลงความเห็นในใจ จะมีคดีอีกแล้วรึ
เมื่อจิ่งหมิงฮ่องเต้จากไปแล้ว ฮองเฮาก็จมดิ่งสู่ห้วงแห่งความคิด
แม้จะบอกว่าอายุของฝูชิงควรแก่การออกเรือน แต่ถึงกระนั้นการที่ฝ่าบาทยกเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยก็ดูมีพิรุธอยู่ดี
หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นรึ
ฮองเฮาเบนสายตาไปทางตำหนักฉือหนิงโดยไม่รู้ตัว
เรื่องที่เกิดขึ้นกับบุตรสาวครั้งแล้วครั้งเล่าล้วนเกี่ยวข้องกับตำหนักฉือหนิง นางจึงเชื่อไม่ลงว่าไทเฮาเป็นผู้บริสุทธิ์
นางไม่ได้ถูกไทเฮาชุบเลี้ยงเช่นฝ่าบาท จึงไม่มีอารมณ์คอยบังตา ในมุมของนาง ไม่ว่าแรงจูงใจคืออะไร ผลลัพธ์คือสิ่งที่สำคัญที่สุด
ฝูชิงตกเป็นเหยื่อหลายครั้ง จำเป็นต้องหาแรงจูงใจให้พบก่อนจึงจะสงสัยไทเฮาได้อย่างนั้นหรือ หรือบางทีไทเฮาอาจเป็นปัญหาแต่แรก
ฮองเฮาขบคิด ในใจรู้สึกหนักอึ้ง
นางเป็นฮองเฮาที่ยืนหยัดอยู่ในวังหลังอย่างมั่นคง แต่มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่นางไม่สามารถเอาชนะได้ ซึ่งก็คือไทเฮา
ยิ่งคิด นางก็ยิ่งสะท้อนใจ
ฮองเฮาลุกขึ้น เดินไปยืนอยู่ข้างหน้าต่าง ไอร้อนพัดโบกมาจากด้านนอก
นางทอดสายตาไปทางทิศตะวันออก ถอนหายใจแผ่วเบา
นางได้แต่เฝ้าภาวนาว่าเจ้าเจ็ดและชายาจะย้ายเข้ามาที่ตงกงในเร็ววัน วังหลวงจะได้สงบสุขเสียที
……
ไม่นานนัก จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เรียกเจินซื่อเฉิงมาเข้าเฝ้า
“เจินอ้ายชิง หมู่นี้งานยุ่งหรือไม่”
เจินซื่อเฉิงเดาไม่ได้ว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้ต้องการสื่อความใด จึงเรียนตามตรง “มีงานไม่มากพ่ะย่ะค่ะ”
อาจเป็นเพราะสภาพอากาศร้อนอบอ้าว คดีความถึงได้น้อยตามไปด้วย
จิ่งหมิงฮ่องเต้ส่งยิ้ม “ไม่ยุ่งก็ดี แล้วหมู่นี้บุตรชายของเจ้างานยุ่งหรือไม่”
เจินซื่อเฉิงลอบดึงมุมปากเล็กน้อย ตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ “เป็นอย่างเคยเหมือนที่ผ่านมาพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเองก็มิได้ถามพ่ะย่ะค่ะ”
บุตรชายของเขาก็เป็นขุนนางของฝ่าบาทมิใช่หรือ แต่แปลกพิลึกที่ฝ่าบาทมาถามเรื่องพวกนี้จากเขา
“นี่ถือเป็นความผิดของเจินอ้ายชิง เหตุไฉนถึงได้ละเลยบุตรชายของตนเองเช่นนี้ ข้าได้ยินมาว่าบุตรชายของเจ้ายังไม่ได้ตบแต่งหญิงสาวใช่หรือไม่”
เจินซื่อเฉิงตื่นตัวขึ้นมาทันควัน
ฝ่าบาทกำลังจะทำอะไร
เอ๋…นี่ฝ่าบาทคงไม่ได้จะทำตัวเป็นพ่อสื่อจับคู่ซี้ซั้วหรอกใช่ไหม
เจินซื่อเฉิงกระแอมไอแผ่วเบา “เด็กนั่นเป็นพวกสมองทึบพ่ะย่ะค่ะ เขาบอกกับกระหม่อมว่าไม่คิดจะแต่งภรรยาเร็วพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ส่ายศีรษะด้วยความไม่พอใจ “บุรุษต้องแต่งงาน หญิงสาวก็ต้องออกเรือน จะตามใจลูกได้อย่างไร บุตรชายของเจ้าสมองทึบ แต่เจินอ้ายชิงคงไม่ได้สมองทึบด้วยอีกคนใช่หรือไม่ ไม่อยากอุ้มหลานเร็วๆ หรือ”
เจินซื่อเฉิงดึงมุมปากการใหญ่
ฝ่าบาททรงล้ำเส้น เพื่อตอบสนองนิสัยชอบเป็นพ่อสื่อของตัวเองเลยมาขุดหลุมฝังเขาอย่างนี้หรือ
บุตรชายของเขาไม่แต่งงานแล้วจะทำไม มีใครเดือดร้อนอย่างนั้นรึ
“เจินอ้ายชิง?” จิ่งหมิงฮ่องเต้ลากเสียงยาวพลางชำเลืองมองไปที่เจินซื่อเฉิง
เจินซื่อเฉิงพยายามสงบสติอารมณ์ ฝืนคลี่ยิ้ม “ฝ่าบาททรงตรัสถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ เป็นบุรุษต้องแต่งงาน เป็นหญิงสาวก็ต้องออกเรือน”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักหน้า “ใช่ จะว่าไปแล้วองค์หญิงสิบสามของข้าก็ควรแก่เวลาที่จะต้องออกเรือนแล้วเหมือนกัน”
เจินซื่อเฉิงชะงักงันนิ่งอึ้ง
ฝ่าบาทหมายความว่าอย่างไร
ย้ำเขาเรื่องบุตรชายยังไม่มีภรรยา และยกเรื่องบุตรสาวของตัวเองถึงวัยออกเรือนขึ้นมา นี่กำลังหมายความว่าจะยกองค์หญิงฝูชิงให้แต่งงานกับตระกูลเจินอย่างนั้นรึ
จิ่งหมิงฮ่องเต้สื่อชัดเพียงนี้ก็ไม่อาจพูดสิ่งใดไปมากกว่านี้ เขายกชาขึ้นมาจิบอย่างสงวนท่าที
รอแล้วรอเล่า เจินซื่อเฉิงก็ยังไม่ยอมตอบสนอง รอแล้วรออีก เจินซื่อเฉิงก็ยังคงนิ่ง… จิ่งหมิงฮ่องเต้เริ่มมีน้ำโห เขากระแทกถ้วยชาลงบนโต๊ะ
สติของเจินซื่อเฉิงจึงฟื้นคืนกลับ เขาเอ่ยวาจาชื่นชมองค์หญิงฝูชิงยกใหญ่ก่อนจะกลับบ้านไปปรึกษาเรื่องนี้กับผู้เป็นภรรยา
เจินฮูหยินตะลึงสุดขีด “เจ้ากำลังจะบอกว่า ฝ่าบาททรงประสงค์จะยกองค์หญิงฝูชิงให้แต่งงานกับเหิงเอ๋อร์อย่างนั้นรึ”
เมื่อเห็นเจินซื่อเฉิงพยักหน้า หัวของเจินฮูหยินก็ประมวลผลทันที
องค์หญิงฝูชิงเป็นองค์หญิงที่ประสูติแต่ฮ่องเต้และฮองเฮา แต่เนื่องจากป่วยด้วยโรคตาตั้งแต่วัยเยาว์ นางจึงไม่มีนิสัยหยิ่งยโสเช่นสตรีอื่น อีกทั้งยังเป็นเด็กไร้เดียงสา ซึ่งเหมาะจะมาเป็นคู่ครองของเหิงเอ๋อร์อย่างยิ่ง
สำหรับมารดาทุกคนแล้ว ลูกของตนเป็นคนดีที่หนึ่ง
เจินฮูหยินพินิจพิเคราะห์อยู่หลายตลบ และพบว่าไม่มีจุดใดเลยที่นางต้องรู้สึกไม่พอใจ แต่ถึงกระนั้นก็อดสงสัยไม่ได้ “องค์หญิงฝูชิงเป็นพระธิดาสายตรงเพียงพระองค์เดียว การลดตัวลงมาแต่งงานกับตระกูลของเราที่ศักดิ์ต่ำกว่า มิรู้ว่าจะอยู่ร่วมกันได้หรือไม่…”
เจินซื่อเฉิงหัวเราะเพราะเห็นต่าง “แม่สามีที่ใจกว้างเช่นเจ้าหาได้ยากยิ่ง ไม่ว่าสะใภ้จะมีสถานะใด จะอยู่ร่วมกันไม่ได้เลยหรือ”
วาจายกยอปอปั้นทำให้เจินฮูหยินรู้สึกสบายใจ นางพยักหน้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้มผ่อนคลาย “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น นายท่านก็ตอบรับไปเถิด มิฉะนั้นอาจถูกฝ่าบาทเล่นงานก็เป็นได้”
เจินซื่อเฉิงทำหน้าขึงขัง “พูดอะไร ฝ่าบาททรงเป็นกษัตริย์ที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา ใช่คนประเภทนั้นที่ไหนกัน”
……
ในตำหนักหย่างซิน จิ่งหมิงฮ่องเต้จิตใจว้าวุ่นจนไม่สามารถอ่านตำรานิทานต่อได้
เหล่าเจินคงนำเรื่องนี้กลับไปปรึกษากับภรรยา ไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่
เหอะ หากเรื่องนี้สำเร็จก็จะเป็นเรื่องน่ายินดีของทุกฝ่าย แต่หากไม่สำเร็จ…เหล่าเจินก็เตรียมตัวรับแรงกระแทกได้เลย
อะไรนะ คนจะหาว่าเขาใช้อำนาจมาแก้แค้นอย่างนั้นหรือ มีคำเขียนห้ามไว้รึ หากบุตรสาวถูกปฏิเสธ คนเป็นบิดาจะไม่โกรธได้อย่างไร
รออยู่เพียงไม่นาน จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ได้รับคำตอบรับจากเจินซื่อเฉิง
จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่รอช้า รีบออกราชโองการพระราชทานพิธีอภิเษกสมรสทันที
ครั้นราชโองการถูกส่งออกไป ราชสำนักก็ตกอยู่ในความวุ่นวาย
เจินซื่อเฉิงนี้ช่างโชคดีเหลือเกิน ได้องค์หญิงในฮองเฮามาเป็นลูกสะใภ้
ในกฎมณเฑียรบาลไม่ได้มีข้อกำหนดว่า ห้ามราชบุตรเขยรับตำแหน่งสำคัญ ฉะนั้นแล้วหลังจากนี้ตระกูลเจินคงรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ เป็นแน่
ใครต่างก็คาดไม่ถึงว่า เจินซื่อเฉิงที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อย หนำซ้ำภรรยาก็มิได้มาจากตระกูลสูงศักดิ์ จะได้เป็นพ่อสามีขององค์หญิงในฮ่องเต้และฮองเฮา
ในช่วงเวลาสั้นๆ หน้าประตูจวนเจินมีรถม้าจอดรอท่าหนาตา ผู้คนมากมายแห่แหนกันมาแสดงความยินดี
อวี้จิ่น รัชทายาทองค์ใหม่ที่ยังไม่ทันย้ายเข้าไปในตำหนักบูรพาก็ให้เกียรติมาเยือนจวนเจินด้วยเช่นกัน
เหตุใดเขาถึงไม่พาภรรยามาด้วยอย่างนั้นรึ ล้อเล่นหน่า อีกไม่กี่อึดใจเจ้าคนแซ่เจินก็จะกลายมาเป็นน้องเขยของเขาแล้ว อย่าไปกระตุ้นจิตอกุศลของเขาเลยจะดีกว่า
ด้วยสถานะของอวี้จิ่น เจินซื่อเฉิงจะต้องเชิญเขาเข้าไปนั่งสนทนาเป็นธรรมดา
“ข้าแสดงความยินดีกับใต้เท้าเจินด้วย ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้เป็นครอบครัวเดียวกันกับใต้เท้าเจิน”
เจินซื่อเฉิงลูบเครา ส่งยิ้มพลางเอ่ย “กระหม่อมก็คิดไม่ถึงเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
แค่คิดว่าไอ้เด็กนี่แย่งลูกสะใภ้เขาไปก็คับข้องใจจะแย่แล้ว ใครจะไปคิดว่าสุดท้ายจะกลายมาเป็นครอบครัวเดียวกัน
อวี้จิ่นจิบชาให้ชุ่มคอ ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มลุ่มลึก “ในเมื่อเป็นครอบครัวเดียวกันก็มิควรปฏิบัติเหมือนเป็นคนนอก ใต้เท้าเจินว่าจริงไหม”
กลองเตือนภัยลั่นสนั่นในหัวเจินซื่อเฉิง ทว่าใบหน้ายังคงแย้มยิ้มเริงร่า “แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้จิ่นกวาดสายตาไปรอบทิศ ผุดยิ้มพลางเอ่ย “งั้นข้าก็จะไม่เกรงใจล่ะนะ ข้ามีเรื่องหนึ่งจะปรึกษาใต้เท้าเจิน”
เจินซื่อเฉิงส่งสัญญาณให้บ่าวรับใช้ออกไป ก่อนจะถามว่า “ไม่ทราบว่าไท่จื่อมีเรื่องใดอยากปรึกษากระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้จิ่นโน้มตัวไปด้านหน้าพลางกระซิบแผ่วเบา “ข้าสงสัยว่าไทเฮาเป็นตัวปลอม”