สงครามกลางเมืองปะทุขึ้นในป้อมปราการสิบกว่าแห่งภายใต้การควบคุมของสมาคมชิ่ง มันมาอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียง และก็ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น
ตอนนี้ทหารและกองกำลังต่างๆ ของสมาคมตระกูลชิ่งคิดเพียงว่าจะมีแต่สงครามภายนอก แต่พวกเขาไม่นึกเลยว่าผ่านไปเพียงแค่คืนเดียว ทหารอารักขาถูกเปลี่ยน และสภาบริหารถูกล้างจนเหี้ยน
ผู้สนับสนุนของชิ่งเจิ่นที่แยกตัวไปอยู่ตามกองกำลังต่างๆ ไม่ก่อกบฏต่อผู้บังคับบัญชาในทัพตัวเองสำเร็จก็จัดการปฏิบัติภารกิจบั่นเศียร ทำให้กองทัพที่ไม่มีผู้นำตกอยู่ในความโกลาหล
คืนนั้นมีผู้สละชีวิตมากมาย พวกเขาต่างยอมตายเพื่อเกียรติยศของชิ่งเจิ่น ขณะเดียวกันชิ่งเจิ่นเองก็ส่งคนจำนวนมหาศาลไปผสานรวมคนของตัวเองในป้อมปราการต่างๆ เพื่อดำเนินการเข้ายึดครอง
กฎเกณฑ์ใหม่ถูกถ่ายทอดไปจากป้อมปราการ 111 ชิ่งเจิ่นใช้เวลากว่าครึ่งเดือนในการไล่ล่ากากเดนของยุคสมัยที่แล้ว
ผู้สนับสนุนสมาคมตระกูลชิ่งมากมายถูกบีบให้หนีไปในแดนรกร้าง แต่สิ่งที่รอพวกเขาอยู่คือฤดูหนาวอันโหดร้ายและความอดอยากถึงขีดสุด
ข้างในคฤหาสน์บนไหล่เขาแปะก๊วย โจวฉีกำลังถามว่า “ไหนเงินที่นายสัญญาฉันไว้ล่ะ จ่ายมา! จ่ายมา!”
ชิ่งเจิ่นมองเขาด้วยความขบขันและเขียนเช็คให้เขา “ไปขึ้นเงินที่ธนาคารสมาคมตระกูลชิ่งได้เลย นี่น่าจะพอให้นายอยู่ไปตลอดชีวิต”
โจวฉีถือเช็คในมืออย่างมีความสุข “ดูสิ เพราะนายไม่ยอมเชื่อใจฉัน หลัวหลานเลยถูกจับเป็นหมากต่อรองกับนายในป้อมปราการ 88 นายจะทำยังไงล่ะทีนี้!”
“ให้ฉันเชื่อใจนายเนี่ยนะ” ชิ่งเจิ่นอารมณ์เสีย “งานเพิ่งเสร็จไปฉากหนึ่งก็ขอเงินแล้ว ฉันจะเชื่อใจคนอย่างนายได้ไง”
โจวฉีได้ยินเช่นนั้นก็ไม่พอใจ “ถ้าฉันชอบเงินมากขนาดนั้น จะรับเงินจากสภาบริหารด้วยก็ได้ ทำไมต้องรับเงินจากนายแทนของสภาบริหารล่ะฮะ นี่เป็นเพราะพวกเรามีสายสัมพันธ์กันหรอก!”
“อย่างกับว่าฉันจะเชื่องั้นแหละ” ชิ่งเจิ่นนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ ที่เขาเป็นกังวลก็คือกลัวว่าโจวฉีจะทรยศเขาในนาทีสุดท้าย
คนภายนอกอาจจะคิดว่าชิ่งเจิ่นวางแผนไว้หมด แต่ตัวเขาเองก็รู้สึกระทึกขวัญไม่น้อยเช่นกัน
ที่จริงคืนนั้นยากรู้ได้ว่าจะเป็นเขาหรือสภาบริหารที่ชนะ การตัดสินใจจะพนันกับโจวฉีเป็นอะไรที่เสี่ยงมากจริงๆ เพราะโจวฉีชอบเงินมากตั้งแต่เด็กแล้ว
ชิ่งเจิ่นยังเข้าใจด้วยว่าส่วนหนึ่งที่โจวฉีอยู่ฝั่งตนเป็นเพราะได้เงินจากเขามันง่ายและก็ปลอดภัยกว่า
ถ้ารับเงินจากสภาบริหาร ก็เป็นไปได้ว่าจะถูกคิดบัญชีย้อนหลัง
แน่นอนว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะความสัมพันธ์ซับซ้อนบางอย่าง เพราะรู้จักกันแต่เด็กย่อมต้องคิดถึงมิตรภาพต่อกัน
โจวฉีว่า “หลัวหลานนี่เอาไงดี จ่ายเงินฉันเพิ่มแล้วให้ฉันไปช่วยเขาไหมล่ะ”
ชิ่งเจิ่นจ้องเขา “ไม่ต้อง ฉันมีแผนการของตัวเอง”
…
ตอนนี้เองก็มีรถบรรทุกทหารคันหนึ่งเร่งเครื่องมาทางป้อมปราการ 88 ทันใดนั้นหยางเสียวจิ่นก็ว่า “ถึงแล้ว!”
เริ่นเสี่ยวซู่มองผ่านกระจกหน้าและเห็นป้อมปราการสูงตั้งอยู่กลางแดนรกร้าง ป้อมปราการนี้ใหญ่มากจริงๆ น่าจะใหญ่กว่าป้อมปราการ 108, 109, และ 113 มากทีเดียว
ที่ตั้งของป้อมปราการ 88 เองก็พิเศษมาก ทางเหนือไปเป็นสมาคมตระกูลจงและป้อมปราการ 178 ทางตะวันตกมีสมาคมตระกูลชิ่ง ส่วนสมาคมตระกูลหลี่อยู่ทางใต้ เมื่อหลายปีก่อนขณะที่เหล่าพ่อค้าแม่ค้าอิสระสามารถเดินทางอย่างไปมาระหว่างสมาคมอย่างเสรีได้นั้น ที่นี่ได้กลายเป็นศูนย์กระจายสินค้าที่สำคัญมาก และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของสมาคมตระกูลหยางด้วย
ขณะอยู่บนรถ เริ่นเสี่ยวซู่ก็เห็นป้อมปราการ 88 สูงตระหง่านมาแต่ไกล ตอนนี้เองก็มีผู้อพยพกลุ่มหนึ่งกลับมาบ้านหลังทำงานเสร็จ บ้างก็คาบบุหรี่ในมือและดูพอใจเป็นอย่างมาก
ก็อย่างที่เหยียนลิ่วหยวนว่าไว้ สมาคมตระกูลหยางไม่ต่างไปจากสมาคมอื่น มีแค่หยางเสียวจิ่นที่ต่างออกไป
ตอนที่รถขับมา เหล่าผู้อพยพก็รีบหลบทาง พวกเขากลัวตัวเองจะโดนผู้มีอิทธิพลในรถหาเรื่องเข้า
เหยียนลิ่วหยวนเห็นเมืองน้อยแล้วก็ตื่นเต้นมาก “พวกเราสร้างบ้างที่นี่กันไหม”
เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะ “ไปดูในป้อมปราการกันก่อน”
เหยียนลิ่วหยวนว่า “ได้!”
ข้างหน้าพวกเขาคือลั่วซินอวี่ที่กำลังยกใบแสดงตนให้ทหารยามจากในรถ พวกทหารรีบค้อมตัวเปิดประตูให้พวกเขาผ่านไป
ป้อมปราการ 88 มีบางอย่างพิเศษอยู่ หลังจากเข้าประตูไปแล้ว พวกเขาก็เห็นกำแพงอีกวงข้างใน สมาคมตระกูลหยางถึงกับสร้างป้อมไว้ข้างในป้อมปราการ 88 อีกที! มันเป็นสิ่งก่อสร้างเฉพาะเพื่อเสริมการป้องกันให้กับป้อมปราการ สมาคมตระกูลหยางให้ความสำคัญของป้อมปราการ 88 เป็นอย่างมาก
ทันใดนั้นหยางเสียวจิ่นก็ว่า “ที่จริงหลัวหลานต้องออกเดินทางช่วงนี้ แต่ว่าจู่ๆ กสมาคมตระกูลชิ่งก็ฉีกสัญญาพันธมิตร ดังนั้นคนของสมาคมตระกูลหยางเลยจับพวกเขาคุมขังในบ้าน ได้ยินว่าในสมาคมตระกูลชิ่งก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ หลังชิ่งเจิ่นถูกพาตัวกลับไปป้อมปราการ 111 พวกเขาก็ทำการรัฐประหาร ตอนนี้ชิ่งเจิ่นขึ้นมาเป็นผู้นำของสมาคมตระกูลชิ่งแล้ว”
ดังนั้นสมาคมตระกูลหยางยิ่งไม่มีทางปล่อยหลัวหลานไป อย่างไรเขาก็เป็นพี่ชายของจ้าวสมาคมตระกูลชิ่งเชียวนะ เป็นหมากต่อรองสำคัญในมือพวกเขา ทำเอาสภาบริหารของสมาคมตระกูลหยางตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ
เริ่นเสี่ยวซู่สัมผัสได้ว่าคำพูดของหยางเสียวจิ่นนั้นแฝงถึงความห่างเหินจากสมาคมตระกูลหยาง อย่างเช่นตอนเธอพูดสมาคมตระกูลหยาง เธอก็จะพูดว่า ‘คนของสมาคมตระกูลหยาง’
เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “สงครามที่แนวหน้าเป็นไงบ้างแล้วล่ะ”
“กำลังของสมาคมตระกูลชิ่งกลับขึ้นมาที่แนวหน้าใหม่แล้ว” หยางเสียวจิ่นว่า “ตอนแรกสงครามไม่ควรราบรื่นขนาดนี้ แต่ลือกันว่ามันเกิดการจารกรรมใหญ่ขึ้นในแนวหน้าของสมาคมตระกูลหลี่ สายลับมากฝีมือปล่อยข้อมูลแผนการรับมือของแนวหน้า ที่อยู่ของกองพันเทพยนต์ก็ยังถูกสายลับผู้นี้เปิดโปงด้วย”
ได้ยินแบบนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่พูดอะไรอีก พวกหวังอวี่ฉือเองก็ก้มหน้ามองเท้าตัวเอง กลัวว่าจะหลุดหัวเราะออกมา
หยางเสียวจิ่นถาม “พวกนายเป็นอะไร“
“เปล่าๆ” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “พูดต่อเลย”
“อืม” หยางเสียวจิ่นถอนหายใจ “สมาคมตระกูลหยางที่แนวหน้าเสียหายไม่น้อยเลย กองพลน้อยยานเกราะสองในสามถูกจัดการไปแล้ว ถ้าสมาคมตระกูลหยางมีสายลับคอยสนับสนุนแบบนั้นบ้างคงไม่ลงเอยเช่นนี้หรอก”
“ใช่” เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจด้วย “สายลับคนนั้นเก่งจริงๆ”
หยางเสียวจิ่นกลอกตา “โดนชมจนตัวลอยแล้วมั้ง ฉันรู้ว่าสายลับคนนั้นคือนายนั่นแหละ นอกจากนายแล้วยังมีใครที่ทำได้อีก! ที่ที่ฉันเตรียมไว้ให้พวกนายอยู่ข้างบ้านของหลัวหลาน เป็นสถานที่ที่สมาคมตระกูลหยางใช้ต้อนรับแขกจากต่างแดน สภาพแวดล้อมไม่เลว ถ้าอยากได้อะไรก็เรียกฉัน”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่ง “ในป้อมปราการ 88 มีมหาวิทยาลัยด้วยใช่ไหม”
“มี” หยางเสียวจิ่นพยักหน้า “ทำไม คิดจะเข้ามหาวิทยาลัยเหรอ”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดเรื่องนี้มาพักใหญ่แล้ว เขาอยากให้หวังฉวี่ฉือและคนอื่นๆ ศึกษาสูงไปกว่านี้จะได้มาปรับปรุงชุดเกราะเขาให้สมบูรณ์ได้
เกราะที่เขาใช้อยู่มันค่อนข้าง ‘ไม่น่าชม’ ไปหน่อย จะหน้าตาหรือโครงสร้างก็ยังต้องพัฒนาอีกมาก
พวกหวังอวี่ฉือเองก็พูดว่าพวกเขาพยายามลองพัฒนาดูได้ แต่เรื่องบางเรื่องมันคิดง่ายกว่าลงมือทำ ดังนั้นหวังอวี่ฉือต้องศึกษาเพิ่มมากขึ้น
เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าพวกเขาน่าจะอยู่ในป้อมปราการ 88 ได้อีกหลายปี ก่อนจะคิดถึงแผนการในอนาคตอื่นๆ ดังนั้นแทนทีจะมัวแต่เสียเวลา พวกเขาน่าจะเริ่มตั้งแต่ตอนนี้เลย
ถ้าตอนนั้นโล่ที่สร้างมาจากเกราะนาโนของเขามีโครงสร้างที่รับแรงกระแทกได้ดี ผลลัพธ์คงต่างไปจากตอนนี้มาก...