หยางชูรับพระราชโองการราวกับคนละเมอ จนกระทั่งจงซู่ และกัวสวี่โค้งคำนับพร้อมกัน “คารวะเยวี่ยอ๋อง”
สติของเขากลับมาแล้วเข้าไปประคอง “ทั้งสองท่านไม่ต้องมากพิธี”
ทั้งสองคนไม่ได้โง่จึงดูออกว่าตอนนี้อารมณ์ของเขากำลังปั่นป่วนเมื่อเห็นว่ายังไม่สามารถคุยกันได้จึงกล่าวแสดงความยินดีแล้วขอตัวลา พวกเขาไม่ได้ไปไหนไกล แค่ยืนอยู่บนเนินเขา
ทิวทัศน์ยังคงเป็นทิวทัศน์เมื่อครู่ แต่อารมณ์ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
ผ่านไปนานจงซู่เปิดปาก “ไม่คิดว่าฝ่าบาทจะมีราชโองการให้หยาง…เยวี่ยอ๋องกลับราชวงศ์รับรองอย่างดีเช่นนี้…”
แม้เขาจะสายตาเฉียบคม แต่ก็คาดเดาไม่ได้เลยว่ามีฟู่จินคอยวางแผนให้หยางชูในเมืองหลวง เขาไม่รู้เลยว่าเพื่อเป้าหมายแล้วจะแอบทำอะไรมากแค่ไหน
ผู้ที่องค์หญิงใหญ่ทิ้งเอาไว้ให้กระจายเป็นหูเป็นตาอยู่ทั่วแคว้นฉีรวมถึงการกระทำต่างๆ ของเขาในตงกง…แม้แต่พระราชโองการลับก็เตรียมมาแต่เนิ่นๆ
ถึงจะเป็นของปลอม แต่เส้นไหมสีเหลือง สีหมึก และลายมือจะไม่ลงแรงหามาได้อย่างไร ไม่ต้องพูดถึงการพยายามตอบสนองต่อทุกฝ่ายเพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งขอบเขตที่เหมาะสม
อาจารย์ไม่ได้นอนหลับเต็มอิ่มเป็นเวลาสองปีเต็มดูเหมือนจะทำได้โดยง่ายแต่จริงๆ แล้วกลับเก็บซ่อนไว้มากแล้วค่อยๆ ปล่อยออกมา
ในที่สุดเมื่อได้รับพระราชโองการนี้ทำให้เขาได้ชื่อกลับคืนมา อารมณ์ของกัวสวี่ก็ไม่สงบเช่นกัน เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ความโดดเด่นของเขาในสงครามถูกหยางชูแย่งไป แต่เขาไม่มีเวลามาสนใจแล้ว
อย่างไรจงซู่ก็ไม่อยู่ในเมืองหลวง เขาไม่เข้าใจวิถีของราชสำนักเท่าเขา กัวสวี่ได้กลิ่นอายพิเศษจากเรื่องนี้
รู้สึกว่า…มีคนต้องการผลักเด็กคนนี้ออกมา
เมื่อลองคิดดูอีกทีตั้งแต่ออกจากเมืองหลวง เด็กคนนี้ดูเหมือนไร้จุดหมาย แต่หลังจากไตร่ตรองอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วเขาก็เดินอย่างมั่นคงอย่างยิ่งในทุกขั้นตอน ทำการก่อสร้างเป็นการใหญ่ในเกาถาง การที่เขาตกต่ำลงทำให้พระทัยของฮ่องเต้สงบลง
การทำให้เหลียงจางขุ่นเคืองเหมือนการตัดเส้นทางของตนวิ่งไปที่ไป๋เหมินเซี่ย เป็นทั้งศัตรูและมิตรกับตระกูลจง จากนั้นใช้โอกาสที่ทหารเผ่าหูมุ่งหน้ามาแดนใต้เข้าร่วมกองทัพผูกติดกับตระกูลจง ด้วยการสนับสนุนจากตระกูลจงจึงมีความมั่นใจเป็นอย่างมาก
ตอนนี้มีความดีความชอบทางทหารแล้วอีกทั้งได้ยศอ๋องต่อไปยามรุกก็สามารถบุกโจมตีได้ ยามถอยก็สามารถป้องกันเอาไว้ได้ ยิ่งกัวสวี่ไตร่ตรองมากเท่าไร เขาก็ยิ่งพบว่าน่าสนใจมากขึ้นเท่านั้น
นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่หยางซานสามารถสร้างได้เพียงลำพังมีอะไรในเมืองหลวงที่เขามองข้ามไปหรือไม่ ด้วยนิสัยของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน การยอมรับสถานะของเขาง่ายดายเช่นนี้อีกทั้งยังมอบตำแหน่งอ๋องให้อีกจะต้องมีใครสักคนในเมืองหลวงช่วยพูดให้เขาแน่!
และผู้ที่สามารถพูดเรื่องนี้ได้มีน้อยมาก กัวสวี่นับคนเหล่านั้นทีละคน และในที่สุดตนเองก็ต้องตกใจ
ผู้อาวุโสหลู่งั้นหรือ ให้ตายเถอะ! ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนเดียวที่พูดเรื่องนี้ได้โดยไม่ทำให้ฝ่าบาทสงสัย
เด็กคนนี้…หูได้ยินจงซู่ถามว่า “ใต้เท้ากัว ข้าคิดว่าเรื่องนี้มันแปลกๆ หรือข้าคิดมากไปเอง”
กัวสวี่เหม่อลอย “ใช่ๆ!”
“เยวี่ยอ๋องต้องรีบกลับเมืองหลวงสถานการณ์ในเมืองหลวงในอนาคตจะเป็นอย่างไร…”
กัวสวี่กลอกตา และพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าแม่ทัพจงถามถึงเรื่องนั้นเกรงว่าท่านคงคิดมากไป เยวี่ยอ๋องเป็นเหลนของไท่จู่ และความสัมพันธ์นี้ค่อนข้างห่างไกล”
จงซู่หนักอกหนักใจจึงไม่สังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายเขาพึมพำ “ก็จริง…”
เมื่อเห็นเขามีท่าทีเช่นนั้นกัวสวี่ก็ยิ้มเยาะในใจ
เสแสร้ง! ท่านเสแสร้ง! ก่อนหน้านี้คิดว่าตระกูลจงอยู่ข้างอันอ๋อง แต่ก็ดูไม่สมเหตุสมผล ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วที่แท้การเดิมพันอยู่ที่นี่
ช่างกล้าหาญมาก
กัวสวี่บิดเอวแสร้งทำเป็นเหนื่อย “ไอหยา แม่ทัพที่เปลี่ยนเวรมาถึงหรือยัง พวกเราต้องเตรียมตัวกลับเมืองหลวงแล้ว! ปีนี้มีแต่คนหยาบกระด้าง ช่าง…”
อืม…แต่ก็ยังมีสาวงามอยู่ แต่คนผู้นั้น…กัวสวี่หนาวจนตัวสั่นระริกไม่กล้าคิดอะไร คิดเรื่องที่จะกลับเมืองหลวงดีกว่า
จริงสิ ระหว่างกลับเมืองหลวงต้องประจบเยวี่ยอ๋องคนใหม่เข้าไว้จะปล่อยให้ตระกูลจงเอาเปรียบไม่ได้
………
หยางชูอ่านพระราชโองการซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เจียงเหยี่ยน
นิ้วของเขาหยุดที่คำสองคำนี้ไม่ขยับไปไหน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นชื่อของตนในหลายปีที่ผ่านมา เป็นชื่อที่เขาเกิดมาก็สูญเสียมันไป
เหยี่ยนคือเกิด ชูคือตาย
ทันทีที่เขารอดตาย เขาเป็นเหมือนคนตาย และตอนนี้เจียงเหยี่ยนก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง มีมือแตะตรงหว่างคิ้วตามด้วยเสียงของหมิงเวย “ท่านได้รับชื่อกลับคืนมาแล้วหวังว่ารูปลักษณ์ของท่านจะกลับมาเร็วๆ นี้”
หยางชูกะพริบไล่น้ำที่หางตาแล้วพยักหน้า การรับชื่อกลับเป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น หากรูปลักษณ์ของเขาจะเปลี่ยนก็ไม่ควรเปลี่ยนตอนนี้
“ดีใจหรือไม่เจ้าคะ” นางถาม หยางชูยิ้มแล้วกอดนาง
“ดีใจ” เขาฝังหน้าลงกับซอกคอของนางแล้วพูดเสียงอู้อี้ “ข้าใกล้ถึงเป้าหมายนั้นแล้ววันที่ท่านแม่จะเป็นอิสระใกล้เข้ามาแล้วใช่หรือไม่”
“ใช่เจ้าค่ะ” หมิงเวยกอดเขาอย่างอ่อนโยน
หยางชูสงบสติอารมณ์และพูดว่า “ข้าไม่คิดว่าจะเร็วเพียงนี้เป็นเพราะความดีความชอบของอาจารย์ฟู่ กลับเมืองหลวงข้าต้องขอบคุณเขา”
หมิงเวยหัวเราะ “แน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ” นางชะงักและกระซิบเสียงเบา “ดูสิ มีคนมากมายที่ช่วยเหลือท่าน ก่อนหน้านี้เป็นองค์หญิงใหญ่และผู้เฒ่าโหว จากนั้นก็เป็นศิษย์พี่ของท่านกับอาจารย์ฟู่ แม้แต่แม่ทัพจงที่ไม่ได้ตั้งใจลุยน้ำโคลนไปกับท่าน ตอนนี้แม้แต่ตระกูลจงก็ยื่นมือเข้ามาช่วยแล้วท่านไม่ได้อยู่คนเดียวเลย มีคนมากมายที่ช่วยเหลือท่าน”
“ใช่ ข้าโชคดีมาก” หยางชูเงยหน้าขึ้นมองนางด้วยสายตาลึกซึ้ง “แต่ทุกอย่างเริ่มต้นจากท่าน”
เมื่อเขาพบนางชะตาชีวิตของเขาก็เริ่มพลิกผันไม่อย่างนั้นเขาอาจจะต้องเร่ร่อนไปตามยุทธภพกับศิษย์พี่ก็เป็นได้
หมิงเวยยิ้ม “ใช่เจ้าค่ะ! แล้วท่านจะตอบแทนข้าอย่างไร”
หยางชูลังเลอยากจะพูดอะไร แต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา
หมิงเวยรู้ว่าเขาอยากพูดอะไรนางวางนิ้วบนริมฝีปากของเขา “ช่างเถอะ แค่นี้ก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
“เวยเวย…” หยางชูพูดเสียงอ่อนเขายังไม่ทันพูดออกมาเลย!
ทำไมซูถูพูดกับนางตรงๆ ได้ว่าจะให้นางเป็นหวางเฟยของตนแล้วเหตุใดเขากลับพูดไม่ได้
“ตราบใดที่ข้ายังกังวลอยู่ท่านพูดไปก็ไม่มีประโยชน์เจ้าค่ะ” อย่างไรก็ตามหมิงเวยไม่สงสารเขาเลย นางตอบอย่างใจแข็งว่า “เพราะฉะนั้นประหยัดแรงไว้จะดีกว่า!”
“แล้วสถานการณ์แบบไหนที่จะทำให้ความกังวลของท่านหายไปได้”
หมิงเวยคิดแล้วส่ายหน้า “ไม่รู้เจ้าค่ะ”
หยางชูเอนหลังพิงโต๊ะอย่างหมดกำลังใจเขาคร่ำครวญ “ให้ความหวังสักนิดไม่ได้หรือ”
หมิงเวยอยากหัวเราะ “เรื่องอื่นให้ได้ แต่เรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ เจ้าค่ะ”
“ท่านไร้หัวใจจริงๆ…” เขาว่าไปคำหนึ่ง นางว่าไปคำหนึ่ง ทั้งห้องอบอวลไปด้วยไออุ่น หนิงซิวยืนอยู่นอกค่ายมองดูท้องฟ้าสูง และทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ด้านนอก
เดิมทีเขาคิดว่ามันเป็นภาพลวงตาไม่คิดว่าพอก้าวไปทีละก้าวเขาจะเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เขาถอนหายใจในใจ “ท่านอาจารย์ ภารกิจที่ท่านมอบให้ข้าดูเหมือนศิษย์จะทำไม่สำเร็จ”
ท้องฟ้ามืดลงโดยไม่รู้ตัวไม่รู้ว่าเมื่อไรที่หิมะแรกของฤดูหนาวนี้ตกลงมา
ใบหลิวลอยไปตามลม อากาศหนาวมาก แต่ก็งดงามมากเช่นกัน
………..
ในส่วนลึกของทุ่งหญ้ามีคนดูหิมะอยู่เช่นกัน
ทั้งคนทั้งม้าต่างเหน็ดเหนื่อยไม่ได้กินอะไรมาก นี่เป็นฤดูหนาวที่น่าเศร้าสำหรับเผ่าหมาป่าหิมะ ซูถูรู้ว่าคนในเผ่าหลายคนมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเขาคิดว่าเขาหัวรุนแรงมากเกินไปจนต้องถอยออกมาครั้งแล้วครั้งเล่านำไปสู่สถานการณ์ในตอนนี้
อย่างไรก็ตามเขาไม่เสียใจเลย
“พี่เจ็ด!” น่าซูวิ่งเข้ามาสลัดเกล็ดหิมะตามตัวแล้วพูดว่า “สำรวจเส้นทางเรียบร้อยแล้วพวกเราออกเดินทางเลยดีหรือไม่ขอรับ” พวกเขาจะกลับเป่ยไห่เพื่อพักฟื้น รอต้อนรับการกลับมาของเผ่าหมาป่าหิมะอีกครั้ง
“อืม” ซูถูพยักหน้า “ไปกันเถอะ”
เขากระโดดขึ้นนั่งบนหลังม้าศึกของตน และมองย้อนกลับไปที่ด่านเหลียงชวนอันยิ่งใหญ่เป็นครั้งสุดท้าย
ที่นี่เขาจะกลับมาอีกแน่นอน!