”หมายความว่าพวกเขาถอดใจเรื่องพระสรีระแล้วเลือกที่จะไปตามหาสิ่งที่ท่านเอ่ยถึงแทนหรือ” สมองของเฮ่อเหลียนเวยเวยทำงานอย่างรวดเร็วแม้แต่ในเวลานี้
ผู้เฒ่าหลี่พยักหน้าแล้วกล่าวว่า ”มันเป็นกระจกวิเศษที่ทำให้มนุษย์สามารถข้ามผ่านประตูแห่งชีวิตและความตายได้ หากมันหลุดออกไปนอกสุสานหลวงได้ละก็ เส้นทางสู่ยมโลกจะเปิดออก หลังจากสุสานหลวงโบราณแห่งนี้ตกอยู่ในเงื้อมมือของศัตรู เป้าหมายต่อไปย่อมเป็นเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายอย่างแน่นอน”
”เมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายไม่มีวันล่มสลายได้! หากเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายหายไป ผนึกขับไล่วิญญาณร้ายจะถูกทำลายจนไม่เหลือ! เมื่อถึงเวลานั้นปีศาจจะสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างไร้อุปสรรค ภพภูมิทั้งหกจะต้องย่อยยับ และไม่มีหนทางใดที่มนุษย์จะสามารถเอาตัวรอดไปได้!” ทันทีที่ได้ยินเช่นนี้ จูเก่ออวิ๋นก็ตะโกนขึ้นอย่างอดไม่ไหว ”ทำไมถึงมีของพรรค์นั้นอยู่ในสุสานได้?!”
ผู้เฒ่าหลี่ยกมือขึ้นปิดหน้าหลังจากได้ยินคำพูดของจูเก่ออวิ๋น ”ทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของข้า ข้าไม่ควรเล่าเรื่องนี้ให้พวกเขาฟัง”
”ผู้เฒ่าหลี่ ท่านไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองหรอก” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดขึ้น ดวงตาของนางเรืองแสงจางๆ ”ต่อให้ท่านไม่ได้บอกพวกเขา พวกเขาก็คงรู้เรื่องกระจกที่อยู่ในสุสานหลวงแห่งนี้อยู่แล้ว หากมีคนต้องการชุบชีวิตหนีเฟิ่งคนก่อนนี้ขึ้นมาละก็ คนคนนั้นก็คงคิดทุกอย่างออกแล้วเป็นแน่ หากพวกเขาล้มเหลวในการนำพระสรีระมาเป็นของตัวเอง พวกเขาย่อมลงมือตามแผนสำรอง และนี่คือเหตุผลที่แท้จริงที่ว่าทำไมตระกูลหนีถึงได้อยากเข้ามาในสุสานหลวงแห่งนี้นัก” ขณะที่พูด นางก็หันไปมองทางผู้ขับไล่วิญญณร้าย ”และนี่ก็คือเหตุผลที่นายน้อยอวิ๋นพยายามห้ามทุกคนไว้ในตอนแรก แต่เขายังมีเรื่องที่ไม่มั่นใจอยู่หลายอย่าง และไม่สามรถอธิบายสิ่งเหล่านั้นให้ทุกคนฟังได้ เวลานี้เมื่อความจริงปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสายตาของทุกคนแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์อันใดให้เรามองย้อนกลับไปเพื่อหาว่าใครควรเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ ข้าจะไปเอาพระสรีระ ส่วนคนอื่นๆ ในอีกไม่ช้าปีศาจทุกตนในสุสานจะตื่นขึ้น ดังนั้นพวกเราต้องร่วมมือกันจึงจะสามารถเอาชีวิตรอดไปจากที่นี่ได้”
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกคนพยักหน้าขึงขัง
ตรงข้ามกับหนีหู่ เขากลับไม่ขยับเลยแม้แต่นิ้วเดียว ดูเหมือนเขาจะยังตกใจจนตัวแข็ง และจ้องมองศพที่นอนอยู่แทบเท้าของตัวเองเท่านั้น
เขาเป็นคนเดียวในตระกูลหนีที่ไม่ได้กลายร่าง
แต่เป็นเพราะสมองของเขายังแจ่มชัด เขาจึงเจ็บปวดอย่างมาก
”เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร มันไม่ควรจะเป็นเช่นนี้!” หนีหู่ร้องไห้ เขาดูเหมือนใกล้จะสิ้นใจเพราะอาการบาดเจ็บที่ขาและแผลถูกกัดที่อยู่บนบ่า
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่มีเวลามาสนใจเขา นางไม่ใช่แม่พระมาแต่ไหนแต่ไร แต่หนีหู่กลับรั้งขากางเกงของนางไว้ตอนที่นางกำลังจะเดินไป ”พี่สาวของข้าไม่มีทางเป็นซากศพอย่างแน่นอน มันจะมีต้องมีอะไรเข้าใจผิดกันแน่ๆ! นางอาจจะกลายเป็นเช่นนี้หลังจากกินแก่นชีวิตเข้าไปเหมือนกับท่านพ่อก็ได้!”
”ผิดแล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าหนีหู่เพียงต้องการรู้ความจริง นางมองเข้าไปในตาของเขา น้ำเสียงของนางแผ่วเบา แต่ก็ดังพอที่จะทำให้ทุกคนได้ยินอย่างชัดเจน ”นางเป็นซากศพมาตั้งแต่แรกแล้ว แม้แต่ท่านพ่อของเจ้าก็ยังถูกหลอกให้กินแก่นชีวิต เจ้าอาจจะยังตระหนักถึงเรื่องนี้ไม่ได้ แต่ที่นางสามารถปลอมตัวได้เช่นนี้ก็เพราะดูดพลังวิญญาณมาจากท่านพ่อของเจ้า ท่านพ่อของเจ้ารู้ว่าการใช้ซากศพมาเลี้ยงผีดิบจะก่อให้เกิดปราณแห่งความเคียดแค้นมหาศาล แต่เขาก็ยังทำเพราะเขาต้องการยึดเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายมาเป็นของตัวเอง มันเป็นเหตุผลเดียวกันกับที่เขาไม่เคยห้ามเจ้าไม่ให้กลั่นแกล้งตระกูลจูเก่อ นี่ยังไม่รวมเรื่องที่เขาร่วมมือกับตระกูลอื่นๆ เพื่อกดดันพวกเขาอีกด้วย เขาต้องการรวบอำนาจทั้งหมดไว้กับตัว แต่เขาไม่อยากให้ทุกคนรู้ถึงความทะเยอทะยานของตัวเอง เพราะจะไม่มีผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนใดติดตามเขาเข้ามาในสุสาน มิหนำซ้ำพวกเขาคงจะขัดขวางไม่ให้เขาเข้ามาที่นี่ทันทีที่รู้ถึงเจตนานี้ แต่แน่นอนว่าท่านพ่อของเจ้าถูกหลอกใช้ เขาหลงเชื่อว่าเขาจะมีอำนาจและอิทธิพลทันทีที่ได้พระสรีระมาไว้ในมือ แต่ความจริงแล้วพี่สาวของเจ้ากลับเพียงแค่ต้องการยืมมือหลอกใช้เขาเพื่อทำพิธีชุบชีวิตอันขัดต่อสวรรค์ ทันทีที่นางได้พระสรีระไปไว้ในมือ ท่านพ่อของเจ้าก็จะต้องตายอยู่ดี!”
”ข้าไม่เชื่อ เจ้าโกหก! ตระกูลหนีของพวกเรามีทายาทเพียงคนเดียวมาหลายต่อหลายรุ่น ทุกรุ่นไม่เคยมีใครเป็นสตรีมาก่อน ทันทีที่มีเด็กผู้หญิงมาเกิด นางย่อมเป็นพระชายาที่กลับชาติมาเกิดไม่ผิดแน่ พระชายาในยุคนั้นก็มาจากตระกูลหนี และนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านพ่อของข้าตั้งชื่อพี่สาวของข้าว่าหนีเฟิ่ง ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่านางเป็นพระชายา! เจ้ารู้หรือไม่ว่าการเป็นพระชายาหมายความว่าอย่างไร มันหมายความว่านางจะไม่มีทางทำในสิ่งที่เจ้าพูดอย่างแน่นอน!” หนีหู่จวนจะเสียสติอยู่รอมร่อ
ทันใดนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยก็หยุดฝีเท้าลงอย่างกะทันหัน ”เช่นนั้น ข้าจะบอกความจริงให้เจ้ารู้ก็แล้วกัน พระชายาไม่เคยกลับชาติมาเกิดในตระกูลหนีมาก่อน ทุกอย่างเป็นเพียงเรื่องโกหกที่บรรพบุรุษของเจ้าสร้างขึ้นเพื่อผลประโยชน์เท่านั้น!”
ทันใดนั้น
ความเงียบก็พลันโรยตัวลงทั่วสุสาน
ดวงตาของหนีหู่เบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ
ผู้เฒ่าหลี่หันไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวยเช่นกัน ”น้องเว่ย ข้าไม่ได้สงสัยในคำพูดของเจ้า แต่ข้าเพียงแค่สงสัยว่าเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าตระกูลหนีในตอนนั้นโกหก นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อนแล้วมิใช่หรือ”
”ผู้เฒ่าหลี่จะเข้าใจเองเมื่อเราได้พระสรีระมาไว้ในมือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินเข้าไปในอุโมงค์สุดท้ายโดยไม่ลังเล
จูเก่ออวิ๋นตามหลังนางไปอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชม ”พี่เว่ย ท่านสุดยอดมากเลยขอรับ ท่านทำให้ผู้หญิงคนนั้นเผยร่างจริงออกมาได้ด้วยการใช้เทียนเพียงแค่เล่มเดียว! ในตำราศาสตร์แห่งการขับไล่วิญญาณร้ายมีวิธีเช่นนี้บันทึกเอาไว้ด้วยหรือขอรับ ข้าไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลย”
”ไม่มี” เฮ่อเหลียนเวยเวยเงียบไปเล็กน้อยหลังจากพูดจบ ”วิธีนี้ไม่ได้อยู่ในนั้น ข้าเพียงแค่ใช้วิธีนี้เพราะมันประหยัดเวลา และยั่วโมโหนางเท่านั้น ความจริงแล้วไม่ว่าคนที่ถือเทียนจะเป็นซากศพหรือมนุษย์ แต่เปลวเทียนก็จะไม่มีวันดับตราบใดที่เราไม่ได้เป่ามัน”
จูเก่ออวิ๋น : …สรุปว่าทุกสิ่งที่ท่านพูดไปเมื่อครู่นี้ ที่ฟังดูจริงจังเหมือนมีหลักฐานแน่นหนา ล้วนแต่เป็นเรื่องโกหกหรือ!
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้สึกผิดเลยแม้แต่นิดเดียว ”ถูกต้อง เจ้าต้องรู้จักใช้อุบายเสียบ้างถึงจะสามารถเอาชนะนักแสดงมือฉมังเช่นนั้นได้ หนุ่มน้อย หนทางของเจ้ายังอีกยาวไกลนัก ดังนั้นเจ้าต้องรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์”
ทารกตัวโตและตัวเล็กที่อยู่ในท้องพยักหน้าอย่างแรง ดูเหมือนพวกเขาจะเห็นด้วยกับผู้เป็นมารดา ใช่ ในฐานะมนุษย์ พวกเราต้องรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์!
จูเก่ออวิ๋นพึมพำว่า ”ถ้าหนีเฟิ่งรู้ว่าท่านเพียงแค่ทดสอบนาง และยังไม่สามารถพิสูจน์ตัวตนของนางได้จริงละก็ นางคงจะเสียใจจนกระอักเลือดแน่”
”นางย่อมไม่รู้ตราบใดที่เจ้าไม่บอกนาง…” เฮ่อเหลียนเวยเวยหันกลับไปมองจูเก่ออวิ๋น แล้วยิ้มออกมา ”เมื่อใดที่เจ้าฉลาดมากกว่านี้ เจ้าจะบอกนางเรื่องนี้ตอนที่เจอนางครั้งหน้าก็ยังได้ นางคงได้เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความแค้นแน่ บางทีนางอาจจะเผยธาตุแท้ออกมาเป็นหนที่สองก็ได้”
จูเก่ออวิ๋นตกตะลึงกับคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวย ”เจอนางอีกหรือ จะเป็นไปได้อย่างไรขอรับ”
”ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยมองสุสานหลักที่อยู่ใกล้ๆ ดวงตาของนางดำทะมึน ”เจ้าได้เห็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายพวกนั้นกลายร่างไปแล้วมิใช่หรือ ทันทีที่หนีเฟิ่งคืนชีพกลับมา จะมีคนอีกมากมายในเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่จะต้องกลายเป็นเช่นนั้น พวกเราเคลื่อนไหวช้ากว่าพวกเขาเพราะข้าจำเป็นต้องไปเอาพระสรีระมาก่อน อีกอย่าง คนที่อยู่ข้างกายนางก็เป็นคนที่รับมือยากทีเดียว เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาเป็นใคร”
จูเก่ออวิ๋นส่ายหน้า เขาไม่เคยสนใจผู้คุ้มกันของหนีเฟิ่งมาก่อน เพราะคนคนนั้นซ่อนตัวเป็นอย่างดี
หากไม่ใช่เพราะฝีมืออันยอดเยี่ยมของเขา จูเก่ออวิ๋นคงจะคิดว่าเขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดาเท่านั้น
”เขาคือผู้พิทักษ์ของตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้าย นามว่าจิ่งอู๋ซวง” นิ้วของเฮ่อเหลียนเวยเวยไล้ไปตามด้ามปืน ”ดังนั้นพวกเราจะต้องได้เจอหนีเฟิ่งอีกครั้งอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้น ศึกที่จะเกิดขึ้นในเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายก็จะยิ่งลำบากมากกว่านี้อีก…”