“มู่ผิงตายอย่างไร”
มารดาของเขายังไม่ได้สติกลับมา และนางก็ยังคงโศกเศร้ากับความตายของท่านน้าผิงเอ๋อ ดังนั้นนางจึงไม่ได้ยินที่ฉินมู่พูด
สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างช่วงเวลาที่มู่ผิงได้นำฉินมู่ออกมาจากแดนใต้พิภพเข้ามายังแดนโบราณวินาศนั้น ฉินมู่เองก็ไม่รู้เลยสักนิด ท่านยายซีและคนอื่นๆ ก็ไม่รู้เช่นกัน และพวกเขารู้แต่ว่าหญิงผู้นั้นได้เสียชีวิตไปแล้ว ตอนที่นางส่งฉินมู่ไปยังฝั่งแม่น้ำ นางนั้นอาศัยจิตมุ่งมั่นที่ยังหลงเหลืออยู่เพื่อใช้ส่งฉินมู่ไปยังที่ปลอดภัย
เมื่อฉินมู่ได้พบนางอีกครั้งในด่านวารีลับ นางก็ได้กลายเป็นศพหญิงสาวใต้น้ำไปแล้ว ก็ต่อเมื่อนางได้ยินฉินมู่บอกกับนางว่าเขาได้เติบโตและและอยู่สุขสบายดี ความมุ่งมั่นของนางจึงหายไป นางจมลงไปยังก้นแม่น้ำเมื่อนางไม่มีห่วงกังวลอีกต่อไป
จากแดนใต้พิภพถึงแดนโบราณวินาศ ฉินมู่นั้นเป็นเพียงทารกอายุสองสามเดือน และเขาไม่มีความทรงจำใดๆ แม้ว่าการเดินทางนี้จะไม่ห่างไกลมาก แต่มันก็คงจะต้องมีการต่อสู้ที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ และจะต้องมีผู้คนที่พยายามจะแย่งชิงหรือสังหารฉินมู่ในสถานที่อันภูติบดีไม่อาจหยั่งเห็น
น่าเสียดายว่ามู่ผิงไม่อาจบรรยายเรื่องราวที่นางประสบพบในคราวนั้นได้อีกต่อไปแล้ว
“ท่านแม่ ข้าจะไปตามหาดวงวิญญาณของท่านน้าผิงเอ๋อด้วยตนเอง และไม่ว่าดวงวิญญาณของนางจะอยู่ที่ไหน ข้าก็จะอัญเชิญนางกลับมา”
ฉินมู่เผยยิ้มและปลอบโยนมารดาของเขา “ตอนนี้ข้ามีฝีมือความสามารถอยู่บ้าง และข้าก็รู้จักผู้คนมากมาย แม้ว่าดวงวิญญาณของท่านน้าผิงเอ๋อจะแตกสลายไป แม้ว่าดวงวิญญาณของนางจะถูกตรึงสะกดเอาไว้ ข้าก็จะต้องช่วยนางกลับมาได้อย่างแน่นอน ท่านแม่ พี่ชายก็อยู่ที่นี่ด้วย เขาอยากจะพบท่านเป็นอย่างยิ่ง”
“พี่ชาย?”
พระชายาเจินพิศวงเป็นอย่างยิ่ง และนางก็มองไปที่ฉินมู่ด้วยความกังวล ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นพี่ชายเองนั่นแหละ ตอนที่พวกเราเกิดมา ก็เป็นพี่ชายที่เป็นคนปกป้องท่านแม่ในแดนใต้พิภพ ให้ข้าเรียกเขามาสักหน่อย”
ร่างของฉินมู่พลันหยุดเคลื่อนไหว และเขายืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่ไหวติง
“เฟิงชิง?”
พระชายาเจินเริ่มรู้สึกวิตก และนางก็ร้องเรียกอยู่หลายหน “เฟิงชิง! เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า”
ในแผ่นดินรูปตัวฉิน ทารกหัวตกนั่งกอดอกอยู่ และใบหน้าของเขาเบือนไปด้านหนึ่ง ขณะที่เท้าอ้วนๆ ของเขาเหยียบซ้อนกัน “ข้าไม่ไป! ท่านแม่กลัวข้า!”
ฉินมู่อ้อมไปทางหน้าที่เบือนหนีของเขาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเป็นพี่ชาย แต่กลับตะบึงตะบอนเหมือนเด็กเล็กๆ เลิกอิดออดได้แล้ว เจ้าไม่อยากเจอท่านแม่มาตั้งนานแล้วหรอกหรือ นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากนะ”
“ข้าไม่ไป!”
ทารกหัวโตสะบัดหน้าไปอีกด้าน “ท่านแม่ชอบเจ้ามากกว่า นางไม่ชอบข้า ข้าถูกเก็บมาเลี้ยงแต่เจ้าเป็นลูกตัวจริง! ข้าไม่ออกไป!”
สำนึกรู้จักรพรรดิแดงฉานกล่าว “เด็กอ้วน เจ้าจะไม่ไปก็ไม่ต้องไป แต่ก่อนอื่นเจ้าลุกขึ้นจากตัวข้าได้หรือเปล่า เจ้านั่งทับข้ามานานแล้วนะ!”
เขาอยู่ใต้ตูดของทารกยักษ์ และเขาไม่อาจเคลื่อนไหวด้วยใบหน้าที่จมลงไปกับดิน
ไม่ไกลนัก เทพสรรพชีวิตซ่อนอยู่หลังภูเขาแห่งแผ่นดินรูปตัวฉิน เขาชะโงกหัวขึ้นมามองดู
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเราเป็นหนึ่งเดียวกัน ทำไมข้าถึงกลายเป็นลูกแท้ๆ ส่วนเจ้าถูกเก็บมาเลี้ยงได้เสียล่ะ เลิกดื้อได้แล้ว ไปพบท่านแม่เถอะ นางกังวลจนแทบแย่แล้ว หากว่าเจ้าไม่อยากไป งั้นข้าก็จะไปละนะ”
ทารกหัวโตรีบลุกขึ้นและพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า “ก็ได้!”
สำนึกรู้จักรพรรดิแดงฉานเห็นว่าเขาจากไปแล้วจึงรีบลุกขึ้น เขาปัดฝุ่นคลีออกจากเนื้อตัว จริงๆ แล้วตัวเขาไม่ติดฝุ่น แต่เขาก็คุ้นเคยกับแบบนี้
อีกฟากหนึ่ง ร่างแยกเทพสรรพชีวิตรีบวิ่งเข้ามา และเขามองไปที่ฉินมู่ “เจ้าจบสิ้นแล้ว เจ้าจบเห่แน่ๆ เจ้าได้ปล่อยจอมราชามารออกไปข้างนอก ทีนี้เจ้าไม่มีทางยึดกายเนื้อกลับคืนมาได้! เจ้าจบเห่!”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เทพสรรพชีวิต นั่นคือพี่ชายของข้า พวกเราเป็นคนคนเดียวกัน…”
ชายแก่หนวดขาวถลึงตาจ้องด้วยดวงตาเบิกกว้าง “เจ้ารู้ไหมว่าทารกหัวโตนี้เรียนนิสัยแย่ๆ มา เขาเรียนมาจากใครกันล่ะ ก็มีแต่เจ้านั่นแหละ! หลังจากที่เขาออกไป เขาจะต้องปิดผนึกเจ้าเอาไว้ข้างใน และกักขังพวกเราทั้งหมดไว้ที่นี่!”
ฉินมู่สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย “พี่ชายข้าไม่ทำอย่างนั้นหรอก...”
ข้างนอก พระชายาเจินกำลังวิตกกังวล แต่ทันใดนั้น ฉินมู่ก็ระบายลมหายใจสะท้าน และนางก็เห็นร่างกายของบุตรชายนางปูดขึ้นและขยายออกไป ฉินมู่ตัวสูงใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น แต่ทว่าอายุของเขากลับลดน้อยถอยลง และเขาค่อยๆ กลายเป็นเด็กชายอ้วนจ้ำม่ำตัวขาวจั๊วะอยู่ตรงหน้านาง
เสื้อผ้าของฉินมู่เป็นสมบัติวิเศษที่อวี่จ้าวชิงถักทอขึ้นมา อันสามารถขยายใหญ่ขึ้นได้ตามขนาดร่างกาย แต่ทว่าเมื่อมันถูกสวมอยู่บนทารกนี้กลับดูคับปริ และทำให้ดูน่าตลกไม่น้อย
พระชายาเจินมีสีหน้าว่างเปล่าเมื่อนางจ้องมองการเปลี่ยนร่างของบุตรชายนางด้วยความเหม่อลอย นางไม่ฟื้นคืนสติมา
“ท่านแม่ โปรดรอครู่หนึ่ง!”
เด็กน้อยตัวอ้วนปลดถุงเต๋าตี้สองถุงออกมา เขาคุ้ยหามันอย่างตื่นเต้น ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เป็นประกาย และเขาก็นำใบหลิวออกมาแปะไว้บนศีรษะ เขายิ้มแฉ่งและกล่าว “น้องชายตัวร้าย ทีนี้เจ้าก็ออกมาไม่ได้แล้ว!”
ในแผ่นดินรูปตัวฉิน ฉินมู่นั้นกำลังพยายามที่จะเหาะออกจากฟ้าและดินแห่งนี้เพื่อช่วงชิงร่างกายกลับมา แต่ทันใดนั้น เส้นลายของใบหลิวก็ปรากฏบนท้องฟ้า และรังสีแสงจากพุทธเจ้าก็ฉายส่องลงมาอย่างเจิดจ้า รัศมีของเขาเชื่อมต่อกับใบหลิว ปิดผนึกฟ้าและดิน
ฉินมู่ตะลึงไป “ข้า…พี่ชาย…”
“เจ้าจบสิ้นแล้ว!”
ผู้เฒ่าผมขาวร้องอย่างเดือดดาล “เจ้าได้ชักนำเขาไปในทางร้ายๆ เจ้าจบเห่ พวกเราจบเห่กันหมด!”
ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ และดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความจนปัญญา
จักรพรรดิแดงฉานแค่นเสียงและกล่าว “ข้าว่าแบบนี้ก็ดีกว่า อย่างน้อยเจ้าเด็กนี่ก็ไม่มาทุบตีพวกเราโดยไร้สาเหตุ”
“ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว!”
ทารกหัวโตปรบมืออ้วนๆ ของเขา และโผเข้าหาพระชายาเจินเพื่ออ้อนขอให้อุ้ม แต่ทว่า เขาตระหนักว่าตนเองใหญ่มหึมาจนเกินไป และไม่อาจกอดมารดาของตนได้ เขาจึงรีบหดย่อขนาดร่างกาย
พระชายาเจินอุ้มทารกนี้ที่มีอายุเพียงสามสี่เดือน และทารกนี้ก็ยังอยู่ในวัยเดียวกับตอนที่นางสวมจี้หยกลงไปที่คอของเขา
แต่ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างดูเหลวไหลไม่น่าเชื่อ
นางเผยสีหน้าอบอุ่น และนางรู้สึกว่าเป็นโชควาสนาจากสวรรค์ที่ทำให้นางได้เห็นบุตรชายของนางตอนที่ยังเยาว์อีกครั้ง
ในตอนนั้นเอง ผู้ช่วยเสนาบดีซ้ายที่ออกไปจับไก่และกบก็กลับมา และพวกเขาก็มองดูทารกในอ้อมแขนของพระชายาเจิน
ทารกหัวโตเห็นพวกเขาหิ้วปลาและกบ และก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขากระโดดลงไปจากอ้อมแขนของแม่ และแขนกับขาของเขาก็ป่ายคลานไปหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว
“น่าอร่อย!”
ทารกตัวใหญ่มหึมาขึ้นทุกที ก่อนที่จะคว้าจับผู้ช่วยเสนาบดีขึ้น เขาอ้าปากอันใหญ่กว้างเท่าท้องฟ้า และเตรียมที่จะส่งผู้ช่วยเสนาบดีซ้ายพร้อมกับไก่และกบเข้าไปในปากของตน
หญิงชาวบ้านกลับมาจากข้างนอกพร้อมกับผลไม้และผัก พวกนางถึงกับจับแม่ไก่มังกรกลับมาด้วย และมองภาพที่เห็นด้วยความตะลึงงัน
“ก๊อก!” แม่ไก่มังกรเป็นลมไป
ขณะที่ผู้ช่วยเสนาบดีซ้ายกำลังจะถูกกิน เสียงอ่อนโยนของพระชายาเจินก็ดังมา
“เฟิงชิง อย่า”
ทารกหัวโตลังเลไปครู่หนึ่ง และเขามองอย่างอิดออดไปยังผู้ช่วยเสนาบดีซ้ายที่เซ่อเป็นไก่ไม้ “พวกเราไม่ได้พบกันมากว่ายี่สิบปี ท่านลุงโตขึ้นมาแข็งแกร่งกำยำ ท่านจะต้องเหนียวหนึบเคี้ยวมันเป็นแน่…ท่านน้าจวนเอ๋อ อุ้ม อุ้ม”
เขากระโดดเข้าไปในอ้อมกอดของสาวชาวบ้าน ท่านน้าจวนเอ๋ออุ้มเขาเอาไว้ด้วยร่างกายอันสั่นเทิ้ม
ทารกหัวโตเลียใบหน้าของท่านน้าจวนเอ๋อ และมองด้วยสายตาหิวโหย ท่านน้าจวนเอ๋อไม่กล้ากระดุกกระดิกในตอนนี้ และในตอนนั้นเอง ทารกหัวโตก็รู้สึกร่างเบาหวิวเมื่อเขาถูกพระชายาเจินอุ้มกลับไป
ฉินเฟิงชิงกะพริบตาปริบๆ อย่างเจ้าเล่ห์ และเขาก็ดูดนิ้วหัวแม่มือของตน เขาแกว่งแขนและขาสั้นๆ ของตนไปมา
พระชายาเจินมองเขาด้วยสายตาเอ็นดู และนางก็จุมพิตเขาที่ศีรษะ นางแย้มยิ้มให้กับทุกคนที่ไม่กล้าขยับเขยื้อน “ไปเตรียมอาหารมาเถอะ นี่เป็นโอกาสอันดีที่พวกเราสองแม่ลูก ได้กลับมาพบกันใหม่อีกครั้ง”
แม้ว่าทุกคนจะเป็นเทพเจ้า แต่ก็ยังคงหวาดผวาต่อทรราชย์น้อยแห่งแดนใต้พิภพผู้นี้ พวกเขารีบไปหุงหาอาหารด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง
พระชายาเจินหยอกล้อกับทารกในอ้อมแขนของนาง และพวกเขาก็ยิ้มหัวเราะกันไม่หยุด
ไม่นานนัก อาหารทั้งหลายก็พร้อมพรัก แต่ทุกๆ คนไม่กล้าที่จะนั่งลงกิน พวกเขายืนอยู่ตัวสั่นระริกที่ข้างๆ
ทารกหัวโตปรายตามองไป และทุกๆ คนก็รีบนั่งลง ทารกจึงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอีกครั้ง
พระชายาเจินป้อนอาหารแก่บุตรชายของนาง และฉินเฟิงชิงก็กินอาหารอย่างเชื่อฟัง “มันไม่มีรสชาติของดวงวิญญาณ ไม่อร่อยเท่าไรเลย แต่ไม่ว่าอะไรที่ท่านแม่ป้อนข้า ก็ล้วนน่ากินทั้งนั้น”
เมื่อพวกเขาทานอาหารมื้อนี้ พระชายาเจินก็อุ้มเขาและฮัมเพลงกล่อมเด็กเพื่อกล่อมเขาให้เข้านอน ทารกหัวโตหัวเราะคิกคักและแกว่งแขนขาไปมา เมื่อเวลาผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็หลับลงไป
พระชายาเจินแตะใบหน้าของบุตรชายอย่างแผ่วเบา และนางก็เหม่อไป
นางลังเลแล้วลังเลอีก แต่ในที่สุดนางก็คงยังแตะนิ้วลงไปที่ใบหลิวตรงดวงตาที่สามของเขา
ในตอนนั้นเอง ทารกในอ้อมแขนของนางก็ลืมดวงตาอันดำขลับขึ้นมามอง
“ท่านแม่ อย่าปลดมันออก”
ทารกนั้นลืมตาขึ้นและเผยสีหน้าวิงวอน เขาแก้มป่องและกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้น “อย่าปลดมันออก เฟิงชิงคิดถึงท่านแม่ ท่านแม่ ได้โปรดอย่าเอามันออกไปเลยนะ…”
พระชายาเจินโคลงตัวไปมาและฮัมเพลงกล่องเด็กต่อ “เฟิงชิงเป็นเด็กดีของแม่ อย่าโยเยเลย ไปนอนเถอะ…”
“ท่านแม่ อย่าปลดมันออก”
พระชายาเจินปลดใบหลิวที่ทารกนี้ใช้ปิดดวงตาเอาไว้ น้ำตาหลั่งไหลจากหางตาทั้งสามของเขา และเขาเบือนหน้าหนีไปพลางกล่าวอย่างแผ่วเบา “ท่านไม่ชอบเฟิงชิง ท่านชอบแต่น้องชาย…”
พระชายาเจินจุมพิตเขาและกล่าว “แม่รักเจ้า ข้าเพียงแต่ไม่อยากให้เจ้าก่อเรื่องใหญ่ ข้าหวังอยากให้เจ้ามีชีวิตอยู่อย่างถูกต้องเหมาะสม เจ้าควบคุมตนเองไม่ได้ แต่น้องชายเจ้าสามารถควบคุมตัวเขาได้…แม่เพียงแต่อยากให้เจ้าทั้งสองมีชีวิตอยู่ต่อไป…”
นางกอดทารกของนางเอาไว้ และวางเขาลงไปบนเตียงเล็กๆ
ฉินเฟิงชิงถอนหายใจ และกลับไปยังแผ่นดินรูปตัวฉินด้วยความเดียวดาย
ร่างกายของเขาค่อยๆ เติบโตขึ้น และผ่านไปครู่หนึ่ง ฉินมู่ก็ลืมตาขึ้นมาและลุกจากเตียง เขาคุกเข่าลงตรงหน้าพระชายาเจิน และซบใบหน้าลงไปกับเข่าของนาง
มารดาและบุตรไม่พูดอะไรสักคำเดียว
สองวันให้หลัง พระชายาเจินรบเร้าเขา “เฟิงชิง เจ้าควรไปได้แล้ว นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าควรอยู่นาน”
ฉินมู่ลุกขึ้นและเผยรอยยิ้ม “ท่านแม่ แล้วข้าจะกลับมาใหม่ ในคราวหน้าที่ข้ากลับมา ข้าจะพาท่านแม่ออกไป เพื่อใช้ชีวิตอันสุขสำราญในโลกภายนอก”
พระชายาเจินส่งเขาไปที่ทางเข้าหมู่บ้าน ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่งหนึ่ง ก่อนกล่าวด้วยเสียงแผ่ว “ข้าได้พบกับท่านพ่อ เขายังมีชีวิตอยู่”
พระชายาเจินร่างสั่นเทิ้ม และนางก็ส่ายหัว “เจ้าไม่จำเป็นต้องโกหกข้า ด้วยอาการบาดเจ็บขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยังมีชีวิตอยู่…”
“ท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่จริงๆ”
ฉินมู่กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น และพูดต่อไปอย่างเคร่งขรึม “ข้าได้พบกับเขา เขาอยู่ที่นี่ในแดนโบราณวินาศ เขายังคงอยู่ในเรือสมบัติที่บรรทุกพวกเรามา เขานั้นตามหาท่านแม่อยู่ตลอด เขาได้กลายเป็นมนุษย์ต้นไม้ และเพราะว่าเทพครองดาวเสาร์ เขาจึงต้องกระทำสัตยาบันต่อภูติบดีว่า หากเขามองเห็นข้า เขาก็จะต้องบอกตำแหน่งที่ตั้งของหมู่บ้านไร้กังวล เมื่อข้าไปพบกับเขา เขาไม่ลืมตาขึ้นมามองดูข้า…แต่ถึงอย่างไร เขาก็ยังมีชีวิตอยู่”
พระชายาเจินตะลึงลาน
“ท่านแม่ ข้าอยากรู้ว่าจะสามารถไปยังหมู่บ้านไร้กังวลได้อย่างไร”
ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าต้องการพบกับจักรพรรดิก่อตั้ง”
พระชายาเจินนิ่งเงียบไปครู่ “อย่ากลับไป”
ฉินมู่อึ้ง และเขาถามด้วยเสียงอันดัง “ทำไม”
พระชายาเจินส่ายหน้าไปมา “อย่ากลับไป! ข้าไม่อนุญาตให้เจ้ากลับไป!”
ฉินมู่ตกตะลึง
“ท่านแม่ โปรดอยู่เถอะ”
ที่ทางเข้าหมู่บ้าน เขาหันกลับไปและคุกเข่าลงกับพื้น เขาโคกศีรษะคำนับสามหนอย่างหนักหน่วง ก่อนที่จะลุกขึ้นและเดินจากไป
พระชายาเจินมองไปยังเขาที่เดินกลับเข้าไปสู่ป่าอนุสาวรีย์ ฉินมู่หันกลับมา และเขาก็ยังคงเห็นนางยืนอยู่ที่นั่น
ที่ค่ายทหารด่านกุญแจหยกแห่งแดนโบราณวินาศ
ในตอนนี้ ทหารราบและทหารม้านับหมื่นถูกจัดวางไว้อย่างเป็นกระบวนทัพ พวกเขามีรัศมีอันเข้มงวด และพวกเขาก็ล้วนแต่จ้องไปยังอนุสาวรีย์กุศลกรรมไฟนรกทั้งหลายในป่าอนุสาวรีย์
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฉินมู่ก็เดินออกมาจากป่าอนุสาวรีย์ ท่ามกลางทหารอันแข็งแกร่ง ผู้พิทักษ์วิญญาณซ้ายโม่ฉีหมีวิ่งออกมาจากแถว และหยุดอยู่ห่างออกไป เขาประสานมือคารวะ
ฉินมู่หยุดเท้าและคารวะตอบกลับ “ข้าไม่ได้นำท่านแม่ของข้าออกมาด้วย ข้าไม่ได้สร้างความลำบากให้แก่ผู้พิทักษ์ซ้าย”
“ฉินเฟิงชิง เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีอะไรอยู่ข้างนอกด่าน” ผู้พิทักษ์วิญญาณซ้ายกล่าวถามอย่างเคร่งขรึม
ฉินมู่ส่ายศีรษะ
ผู้พิทักษ์วิญญาณซ้ายกล่าวด้วยเสียงอันดัง “ข้างนอกด่านกุญแจหยก ล้วนแต่เป็นศัตรูของเจ้า เทพและมารมากมายนับไม่ถ้วน ผู้มีอิทธิพลแห่งแดนใต้พิภพเหลือคณานับ! บางพวกก็มาจากสภาสวรรค์ พวกเขาครอบครองกายเนื้อ เทพศาสตรา และกำลังฝีมืออันเลิศล้ำเหนือธรรมดา บ้างก็เป็นจิตวิญญาณดั้งเดิมที่สำเร็จขั้นตำหนักชิดฟ้าและบัลลังก์จักรพรรดิเมื่อพวกเขายังมีชีวิตอยู่ พวกเขามีสรรพเดชะ และหลังจากที่พวกเขาตายลงมา ก็ได้กลายเป็นจ้าวครองเขตแดนของตนเอง! ทันทีที่เจ้าออกไปจากด่านนี้ ก็จะเกิดการนองเลือด!”
ฉินมู่โค้งกายประสานมือคารวะ “ขอบคุณมากสำหรับการชี้แนะ”
ผู้พิทักษ์วิญญาณซ้ายเผยรอยยิ้มและกล่าวอย่างมีความนัย “ภูติบดีดูแลเจ้าเป็นอย่างดี และเขาก็ยังดูแลแม่ของเจ้าดียิ่ง เพื่อตอบแทนน้ำใจของเขา เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าควรจะต้องทำอย่างไร”
ฉินมู่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “ความยุติธรรมพบได้ทุกหนแห่ง มันไม่ยอมงอให้กับอิทธิพลอำนาจ และมันไม่ใส่ใจกับผลประโยชน์ ผดุงความยุติธรรมโดยไม่หวั่นเกรงความตายนั้นคือความกล้าหาญของวิญญูชน!”
ผู้พิทักษ์วิญญาณซ้ายยกมือขึ้นและกล่าวอย่างขึงขัง “เปิดประตู”
ประตูอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรและหนาหนักอย่างไร้ประมาณแห่งด่านกุญแจหยกแดนใต้พิภพ ค่อยๆ แง้มเปิดออก
“ผู้เที่ยงธรรมฉิน เชิญ”
ผู้พิทักษ์วิญญาณซ้ายตะโกน “รัวกลองศึก! เป่าแตรเขาสัตว์! ส่งผู้เที่ยงธรรมออกจากด่าน!”
ตึง ตึง ตึง!
เสียงกลองก้องมาราวสายฟ้าฟาด
หวูดดด หวูดดด
เสียงแตรเขาสัตว์ดังมาอย่างกึกก้อง ฉินมู่เดินออกไปจากด่านท่ามกลางเสียงรัวกลองและแตรศึก ข้างหลังเขา อนุสาวรีย์สีดำตั้งตระหง่านราวดงป่าอันปรากฏไฟนรกทั่วไปทุกหนแห่ง