ฉินมู่มองไปที่ร่างกลับชาติของภูติบดี เขาคงจะต้องเป็นมารเทวะที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานในยุคสมัยหลงฮั่นเป็นแน่ แต่บาปกรรมที่เขาก่อนั้นทำให้เขาต้องรับทุกข์ทรมานภายใต้ไฟนรก
ภูติบดีไร้ความเห็นแก่ตน และแม้ว่าเขาจะเป็นผู้ที่กระทำความผิด เขาก็ไม่ปล่อยให้ตนเองรอดจากบ่วงทัณฑ์
แต่ถึงอย่างไร นี่มองเห็นได้ว่ามีเทพบรรพกาลและครึ่งเทพมากมายแค่ไหนที่ตกตายในน้ำมือของภูติบดี และไฟนรกอันแผดเผามานานหนึ่งล้านปี ทั้งยังคงเผาผลาญต่อไปอย่างดุดัน ภูติบดีได้ใช้อนุสาวรีย์กุศลกรรมไฟนรกหลายร้อยอันเพื่อสะกดข่มตัวเขาเองเอาไว้ ด้วยหมายชำระล้างบาปผิดของตน
“ร่างกลับชาติของภูติบดีคงจะโกรธเกรี้ยวอย่างสุดขีด โกรธเกรี้ยวถึงขนาดที่ว่าทลายฝ่าพันธนาการไปได้ เมื่อครั้งนั้นเขาคงจะถูกสันดานมารควบคุมไปโดยสิ้นเชิง”
ฉินมู่นึกถึงพี่ชายของตนเองและเทียบเคียงพวกเขา ภูติบดีที่ถูกจิตสังหารเข้าควบคุมนั้นแตกต่างไปจากฉินเฟิงชิง
ฉินเฟิงชิงเหมือนกับเด็กที่โหดร้ายแต่ก็ไร้เดียงสา แม้ว่าผู้คนมากมายบอกฉินมู่ว่าฉินเฟิงชิงถูกสันดานมารของเขาควบคุมและรู้จักแต่จะเข่นฆ่า แต่ฉินมู่ก็ยังคงรู้สึกว่าพี่ชายของเขามิได้ถูกสันดานมารควบคุม กลับเป็นผู้ควบคุมสันดานมาร
เมื่อเทียบพฤติการณ์ที่ร่างกลับชาติของภูติบดีกระทำกับที่ฉินเฟิงชิงกระทำ เขายิ่งสามารถยืนยันข้อนี้ได้มากกว่าเดิม
“ตรงไปข้างหน้าอีกหน่อย ก็จะเป็นสถานที่ลงโทษฉินเฟิงชิง”
ผู้พิทักษ์วิญญาณซ้ายลังเลและกล่าว “ข้าจะส่งพวกเจ้าไปที่นั่น ส่วนข้าจะไม่เข้าไป”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “อีกแค่นิดเดียวเอง เมื่อพวกเราไปที่นั่น ข้าก็จะไม่บังคับให้พี่ทางเต๋าอยู่ต่อหรอก”
ผู้พิทักษ์วิญญาณซ้ายได้แต่ปลุกปลอบกำลังขวัญ และก้าวต่อไปข้างหน้า มีอนุสาวรีย์กุศลกรรมไฟนรกอยู่มากมายตรงหน้า และหลังจากที่เดินไปได้สี่ห้าลี้ บริเวณโดยรอบก็เปิดออกเป็นพื้นที่โล่งกว้าง มีขุนเขาเขียวขจี และแม่น้ำสายเล็กๆ ที่ไหลลงมาจากยอดเขา ลดเลี้ยวผ่านทุ่งนาและไหลลงไปยังทะเลสาบ
แม่ไก่มังกรจำนวนมากกำลังวิ่งอยู่ในทุ่ง และพวกมันกำลังไล่จิกคางคกสามขาพลางร้องก๊อกๆ ไม่หยุดยั้ง แม่ไก่มังกรเหล่านี้ยืนอยู่ข้างๆ ตลิ่งน้ำ และร้องก๊อกด้วยความโกรธเกรี้ยวใส่คางคกอันกระโดดลงไปในทะเลสาบ
ฉินมู่ตกตะลึง แดนใต้พิภพอันแห้งแล้งนี้น่าจะไม่มีความชุ่มชื่นเขียวชอุ่ม มีแต่สัตว์ประหลาด ลาวา และภูเขาไฟอยู่ทั่วทุกหนแห่ง
แต่กระนั้น ณ ที่นี้ ในด่านกุญแจหยก พื้นที่ต้องห้ามอันหมายมาดว่าจะใช้สะกดข่มคนชั่วช้า มันถึงกับมีเนินเขาเขียวและน้ำใส นี่มันแปลกประหลาดเกินไปแล้ว!
เมื่อเขามองลงไปจากภูเขา เขาก็เห็นบ้านเรือนมากมายข้างล่าง และที่นั่นมีสตรีหลายคนกำลังทอผ้าอยู่ที่หน้าประตู ขณะที่เด็กสาวชาวสวนกำลังเก็บใบหม่อนมาป้อนให้แก่หนอนไหม
ทั้งยังมีชาวนาจำนวนหนึ่งที่กำลังเก็บเกี่ยวพืชผัก
สถานที่แห่งนี้ดูไม่เหมือนแดนใต้พิภพ มันดูไม่เหมือนพื้นที่ต้องห้ามที่ใช้คุมขังอาชญากรร้ายแรง แต่ในทางกลับกัน มันเหมือนกับหมู่บ้านเล็กๆ ที่สงบสุขในแดนโบราณวินาศ
“พวกเขาไม่มีไฟนรกอยู่ในร่างกาย และต่อให้พวกเขามี มันก็หายไปหมดแล้ว”
ผู้พิทักษ์วิญญาณซ้ายกระซิบ “เมื่อครั้งกระโน้น เมื่อพวกเขาบุกรุกเข้ามาในแดนใต้พิภพ ไม่ต่างอะไรกับการส่งพวกตนเองเข้าไปในกับดัก มีสี่มหาผู้บัญชาการแคว้นที่สภาสวรรค์ส่งมาประจำการอยู่ในแดนใต้พิภพ ทั้งยังมีอิทธิพลอำนาจอื่นๆ อันคอยซุ่มลอบโจมตี หลังจากที่พวกเขาล่วงล้ำเข้ามา พวกเขาก็ต้องหนีหัวซุกหัวซุน หลังจากนั้นภายในไม่กี่วัน เจ้าก็ถือกำเนิด และเจ้าก็มาเผชิญกับผู้ไล่ล่าจากสภาสวรรค์ เจ้านั้นน่าจะมีความทรงจำอยู่บ้างเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น ใช่ไหม”
ฉินมู่ส่ายหัวและกล่าวอย่างไม่แน่ใจ “พี่ชายข้าน่าจะจำได้ ตอนนั้นข้ายังไม่เกิด”
“พวกมันที่ไล่ทุบตีท่านแม่ เจอข้าจับกินไปหมดแล้ว!” ฉินเฟิงชิงพูดอย่างดุร้าย
“เมื่อครั้งนั้น เจ้าอำมหิตจนเกินไป และเจ้าก็ได้ทำลายกองทัพของสี่มหาผู้บัญชาการแคว้นที่สภาสวรรค์ส่งมาประจำการในแดนใต้พิภพ พวกเขาทั้งสี่ได้รับบาดเจ็บสาหัส และจนถึงบัดนี้ พวกเขาก็ยังไม่ฟื้นฟูพลังชีวิตกลับมาดีดังเดิม”
ผู้พิทักษ์วิญญาณซ้ายกล่าว “สี่มหาผู้บัญชาการแคว้นเหล่านั้นก็ไม่ใช่ตัวดีอะไร พวกเขามีเครือข่ายมิตรสหายอย่างกว้างขวางในแดนใต้พิภพ และพวกเขาก็ได้เชื้อเชิญผู้มีอิทธิพลมากมายในแดนใต้พิภพมา ผู้มีอิทธิพลเหล่านั้นหากไม่ถูกกระทืบ จับกิน ก็ถูกสังหาร และเรื่องนี้ก็ดึงดูดความสนใจของตัวตนบรรพกาลมากมาย จากนั้น เรื่องแบบเดิมก็เกิดขึ้นอีกหน ในเวลานั้น แดนใต้พิภพอึกทึกครึกโครมจนเกินไป ตัวตนมากมายที่มิได้อยู่ในแดนใต้พิภพก็ลอบเร้นเข้ามาชมดูความโกลาหล เพราะว่าเหตุการณ์นี้ได้ระเบิดเปิดเปิงจนเกินเหตุ ภูติบดีจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องปิดผนึกเจ้าเอาไว้ มารดาของเจ้าขอเข้ามารับโทษแทนและถูกปิดผนึกเอาไว้ที่นี่ ฉินเฟิงชิง ไปพบกับมารดาเจ้าสิ”
เขาชะงักไปครู่แล้วกล่าว “แต่อย่าคิดจะนำนางออกไปเป็นอันขาด เพื่อปกป้องตัวเจ้า ภูติบดีเปลืองความเพียรพยายามไปไม่ใช่น้อย ไม่อย่างนั้น เจ้าก็คงตายไปนานแล้ว เรื่องนี้ไม่ได้เรียบง่ายสามัญแค่ว่าให้มารดาของเจ้ารับโทษแทนเจ้าหรอก เมื่อครั้งนั้น พวกที่ลอบเร้นเข้ามาในแดนใต้พิภพมิได้มาเพียงเพื่อชมดูเรื่องสนุก อันที่จริงมีภัยอันตรายซุ่มอยู่รอบๆ”
ฉินมู่นิ่งเงียบ
เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน มีตัวตนอันทรงอำนาจมากมายที่เข้ามาชมดูเรื่องสนุกจริงๆ เท่าที่เขารู้ พุทธเจ้าพรหมและเทพสรรพชีวิตต่างก็ส่งร่างแยกเข้ามา
นอกจากพวกเขาแล้ว โอรสหยินสวรรค์ยังแฝงตัวแทรกซึมเข้ามาในแดนใต้พิภพ
นี่ยังเป็นเพียงแค่ที่เขารู้ และมันจะต้องมีคลื่นใต้น้ำอีกมากที่เขาไม่ล่วงรู้!
“ยิ่งไปกว่านั้น ภูติบดีก็ไม่เคยสร้างความลำบากให้แก่พวกเจ้าสองแม่ลูก ดังนั้นคราวนี้ก็อย่าสร้างความลำบากแก่ภูติบดี”
ผู้พิทักษ์วิญญาณซ้ายกล่าว “อย่าพยายามที่จะนำนางจากไป นางอยู่ที่นี่สบายดีมากแล้ว และหากว่านางออกไปก็มีแต่จะตกอยู่ในอันตราย อีกอย่าง ตอนที่เจ้าออกไปก็ระวังด้วย”
ฉินมู่โค้งคารวะและกล่าว “ขอบคุณมาก พี่ทางเต๋า!”
ฉินเฟิงชิงลังเลและกล่าว “คราวนี้ข้าจะไม่กินเจ้า แต่คราวหน้าถ้าเห็นข้าก็รีบวิ่งหนีให้เร็วๆ ก็แล้วกัน หากข้าจับเจ้าไม่ทัน ข้าก็จะไม่กิน จำเอาไว้ วิ่งให้เร็วๆ เข้าไว้!”
ผู้พิทักษ์วิญญาณซ้ายแย้มยิ้มและหันกายจากไป
ฉินมู่มองไปยังหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตีนเขา และอารมณ์ของเขาก็ไม่อาจสงบลงได้เป็นเวลาเนิ่นนาน แต่ในที่สุด เขาก็สงบหัวใจตนเองและย่างเท้าก้าวไปข้างหน้า
ร่างของเขากลายเป็นเล็กลงและเล็กลง เขาแปรเปลี่ยนจากยักษ์มหึมาเป็นขนาดร่างกายปกติ
ฝีเท้าของเขาเร่งความเร็วขึ้น และเขาก็พลันหยุดชะงัก ฉินเฟิงชิงไม่อยากจะก้าวไปข้างหน้าอีกต่อไป
ฉินมู่พิศวงและถามด้วยเสียงนุ่มนวล “พี่ชาย เจ้าอยากพบท่านแม่มากที่สุดไม่ใช่หรือ”
“นางไม่อยากพบหน้าข้า”
ฉินเฟิงชิงก้มหน้าลงและกล่าวอย่างขมขื่น “นางเป็นผู้คล้องจี้หยกลงกับข้าเพื่อปิดผนึก ข้ายังจำได้ถึงความกลัวในแววตาของนางเมื่อนางมองมายังข้า ข้าไม่อยากให้นางหวาดกลัว ข้าจะกลับเข้าไปในผนึก เจ้าไปพบกับนางด้วยตนเองเถอะ บอกนางว่าข้าถูกปิดผนึกเอาไว้เป็นอย่างดีและไม่สามารถออกมาได้ บอกนางว่าอย่ากลัวไปเลย…”
ฉินมู่มีอารมณ์อันยากจะบรรยายในหัวอก และหลังจากนั้น พลังอำนาจก็จางหายไป เขาสัมผัสได้ว่าตัวเขาอีกคนในร่างกายได้หายวับ
ฉินเฟิงชิงได้กลับไปยังแผ่นปฐพีรูปตัวฉิน
ฉินมู่เหม่อตะลึง ในแผ่นดินรูปตัวฉิน ทารกหัวโตก็กำลังนั่งเหม่ออยู่ที่พื้น
ผ่านไปครู่หนึ่ง ทารกนี้ก็คลานไปตามหาเทพสรรพชีวิตและจักรพรรดิแดงฉานเพื่อเอามาระบายโทสะ
ฉินมู่ตั้งสติตนเองและสลายสามเศียรหกกรของเขา เขาเดินตรงเข้าไปในหมู่บ้านเล็กๆ
เขาเข้าไปใกล้หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้มากขึ้นทุกที และพบว่าหมู่บ้านสงบสันติ ชาวนาในทุ่งยืดหลังลุกขึ้นมา และพวกเขาก็มองเขาที่กำลังเดินมาด้วยสายตาอันตะลึงลาน
ฉินมู่แย้มยิ้มและผงกหัวน้อยเป็นท่าทีแห่งความเป็นมิตร
ชาวนาเหล่านั้นได้รับผลกระทบจากรอยยิ้มของเขาไม่มากก็น้อย และพวกเขาก็ผงกศีรษะและยิ้มตอบกลับไป
“คล้ายจริงๆ…”
ชาวนาผู้หนึ่งพึมพำ “เขาดูคล้ายกับอ๋องเจิน เขาคือใคร”
ฉินมู่มาที่ทางเข้าหมู่บ้าน และหญิงชาวบ้านจำนวนหนึ่งที่กำลังเลี้ยงหนอนไหมก็มองเห็นเขา พวกนางหันหน้ามาเพ่งพิศดูเขา และดวงตาของพวกนางก็เป็นประกาย พวกนางคือเทพเจ้าที่ฝึกปรือจนถึงเขตขั้นปราสาทสวรรค์ และแม้ว่าพวกนางจะสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อดิบและหยาบ แต่ความงามก็ฉายชัดอย่างมิอาจซ่อนเร้น
ฉินมู่คลี่ยิ้มและกล่าว “พี่สาวทั้งหลาย ชื่อของข้าคือฉินเฟิงชิง ข้ามาจากหมู่บ้านไร้กังวล และไปลงเอยอยู่ในแดนโบราณวินาศ ปีนี้ข้าอายุยี่สิบสองปี และข้ามาที่นี่เพื่อตามหาแม่ของข้า”
หญิงชาวบ้านเหล่านั้นตกตะลึง และกระด้งไม้ไผ่สานก็ร่วงลงกับพื้น ทำให้ใบหม่อนกระจายเกลื่อนไปหมด
หญิงคนหนึ่งที่กำลังทอผ้าอยู่ในหมู่บ้านพลันร่างสั่นเทิ้ม นางหันกลับมาทันที
ฉินมู่เห็นใบหน้าของนาง มันเป็นใบหน้าเดียวกันกับที่เขาได้เห็นบนเรือของบิดาเขา ฉินหานเจิน นั่นคือใบหน้าของมารดาที่เขาถวิลหาทุกทิวาราตรี
บนเรือสมบัติ เขาได้เห็นเสียงสะท้อนแห่งประวัติศาสตร์ และนั่นคือบิดามารดาของเขาที่ได้ประสบเหตุการณ์เมื่อพวกเขาขับเรือจากหมู่บ้านไร้กังวลมายังแดนโบราณวินาศ
นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาพบเห็นบุพการีของตน และรู้ว่าเขายังมีครอบครัวอยู่ในโลกนี้
เขาไม่อาจลืมเลือนภาพนั้นได้
หญิงที่อยู่ตรงหน้ากระสวยทอผ้าลุกขึ้นยืน และนางก็มองไปที่เขาด้วยสีหน้าทำอะไรไม่ถูก แม้ว่านางจะสวมใส่เสื้อผ้าหยาบกร้าน แต่ท่วงทีของนางก็เลอโฉมและสง่างาม เพียงแต่ว่าจิตคิดของนางปั่นป่วนอยู่ในเวลานี้ และนางก็ไม่รู้ว่าจะเก็บมือไม้เอาไว้ที่ไหน
นางเดินโซเซเข้ามาและมองไปที่ชายหนุ่มตรงทางเข้าหมู่บ้าน นางเข้าไปชนกับกรอบสะดึงที่แขวนขึงผ้าบางอยู่ และเดินสะดุดหม้อน้ำ เกือบจะล้มลงไป
“เฟิงชิง? เจ้าคือเฟิงชิงหรือ” นางร้องถามมาแต่ไกล
“ท่านแม่”
ฉินมู่คุกเข่าลงและค้อมศีรษะลงกับพื้น “บุตรของท่านกลับมาแล้ว”
มืออันอบอุ่นทว่าสั่นเทาคู่หนึ่งพยุงเขาขึ้นมา และดวงตาอ่อนโยนคู่หนึ่งก็มองเขาด้วยความพลุ่งพล่าน นางถามด้วยเสียงอันสั่นระริก “เจ้าคือเฟิงชิงหรือ ข้าคิดถึงเจ้ามาตลอด…”
“ไม่ว่าเมื่อใดที่ข้าหลับฝัน ข้าก็จะโทษตัวเองอยู่เสมอเมื่อเห็นภาพที่ข้าสวมจี้หยกลงไปบนคอของเจ้า ข้ามักจะสะดุ้งตื่นมาด้วยฝันร้ายว่าเจ้าได้เสียชีวิตไปในโลกภายนอก ว่าเจ้าได้ตายไปในตะกร้า…”
“ข้าคิดถึงเจ้ามาตลอด และข้าก็ห่วงกังวลหาเจ้า ข้ากังวลว่าเจ้าจะประสบอันตรายที่โลกภายนอก...”
…
ฉินมู่เผยยิ้มอบอุ่นและจับมือนางไว้กระชับแน่น “ท่านแม่ ข้ากลับมาครบสามสิบสอง”
“เจ้ากลับมาแล้ว” นางสำลักน้ำตาและสะอื้น พลางจับมือเขาเอาไว้แน่น นางไม่อยากที่จะปล่อยไปด้วยกลัวว่านี่จะเป็นเพียงแค่ความฝัน นางกลัวว่าเขาจะเลือนหายไปเหมือนสุบินนิมิต
ชาวนาหลายคนเดินเข้ามา และมองมายังสองแม่ลูก หญิงชาวบ้านเหล่านี้ก็เดินเข้ามาด้วยและกล่าวด้วยเสียงเบา “พระชายาเจิน องค์ชายกลับมาก็ดีแล้ว ไม่ต้องเศร้าใจไปหรอก”
“นี่เป็นโอกาสอันควรแก่การรื่นเริง”
หญิงอีกคนหนึ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะไปจับกบมาจำนวนหนึ่ง และเชือดไก่สักหน่อย ให้พวกเราได้มีมื้ออาหารดีๆ ในวันนี้! เฮ้ ผู้ช่วยเสนาบดีซ้าย พวกเราไปจับกบกันเถอะ! จับปลาพวกนั้นในทะเลสาบด้วย!”
ผู้ช่วยเสนาบดีซ้ายรีบกล่าว “พวกเราก็สามารถเก็บเกี่ยวพืชผักที่ทางเข้าหมู่บ้าน รีบไปเตรียมมาสักหน่อย!”
“และยังมีผลไม้บนภูเขา ข้าจะไปเก็บมาสักหลายถาด!”
พวกเขาแยกย้ายไปง่วนกับการจัดเตรียมทันที และมารดาของฉินมู่ก็ยังคงมองไปที่เขา กลัวว่านางจะกำลังฝันไป ฉินมู่บอกเล่านางถึงประสบการณ์ที่เขาได้ผ่านพบในหมู่บ้านพิการชรา ถึงว่าเขาถูกแม่ไก่มังกรไล่จิกตีอย่างไร และถึงการที่เขาได้ฝึกฝนวิชาฝีมือที่ริมแม่น้ำหย่ง
เขาบอกเล่านางถึงช่วงเวลาอันสนุกสนานและเรื่องน่าอายขายหน้าของเขา โม้ขยายในบางจุด และพยายามทำให้นางหายเศร้า
หญิงผู้นั้นรับฟังอย่างเงียบเชียบ และทันใดนั้นนางก็ระเบิดหัวเราะออกมา แต่ทว่าน้ำตากลับไหลลงอาบแก้มของนาง
“ผิงเอ๋ออยู่ที่ไหน”
นางถาม “ผิงเอ๋อได้ส่งเจ้าไปยังโลกแห่งคนเป็น ทำไมนางไม่ได้มาด้วยกันกับเจ้าล่ะ”
สีหน้าของฉินมู่หมองลงไป แต่แล้วเขาก็คลี่ยิ้มกลับมาในพริบตา “ท่านแม่ ให้ข้าเล่าท่านถึงเรื่องน่าสนใจที่เกิดขึ้นกับข้าในสันตินิรันดร์ไหม”
“น้าของเจ้า ผิงเอ๋อ ได้เสียชีวิตไปแล้ว ใช่ไหม”
ฉินมู่นิ่งขรึม จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างขมขื่น “ท่านยายซีเก็บข้าได้ที่ริมแม่น้ำ และศพของท่านน้าผิงเอ๋อก็อยู่ใต้น้ำ ชูตะกร้าของข้าขึ้นมา จากนั้นนางก็ถูกกระแสน้ำพัดไป ในภายหลัง ข้าได้พบนางบนผิวแม่น้ำ และข้าบอกนางว่าข้าสุขสบายดี นางถึงจากไปอย่างสงบ…ท่านแม่ พี่ชายของข้าก็อยากที่จะพบท่านเป็นอย่างยิ่ง”