ตอนที่ 625 ที่นั่น ที่ดอกท้อเบ่งบาน
เมื่อได้อ่านค่าสเตตัส ‘ดรรชนีเอกสุริยัน’ รวมทั้ง ‘กระบี่จงชง’ ที่เพิ่มเลเวลแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ตื่นเต้นดีใจจนแทบกระโดดขึ้นมา
‘ดรรชนีเอกสุริยัน’ ยังไม่เท่าไร เพราะเดิมทีก็ไม่ได้มีพลังทำลายล้างสูงอยู่แล้ว พลังทำลายล้างของมันกล่าวได้ว่าเป็นอันดับโหล่ท่ามกลางทักษะยุทธ์เลเวลเดียวกัน ส่วนเอฟเฟ็กต์จี้สกัดจุด ดูจากตัวหนังสืออย่างเดียวยากจะมองออกว่ามีอะไรพิเศษ ต้องลองใช้ในการต่อสู้จริงก่อนถึงจะสัมผัสได้
แต่ความสามารถในการช่วยชีวิตคนของค่าสเตตัสหวนพลิกชะตาฟ้า ดูเป็นทักษะที่ค่อนข้างโรคจิต
เอฟเฟ็กต์พิเศษ ‘หวนพลิกชะตาฟ้า’ ของ ‘ดรรชนีเอกสุริยัน’ ประกอบกับความสามารถในการฟื้นฟูพลังของ ‘คัมภีร์เทพสาดส่อง’ ต่อไปนี้หากต้องการช่วยคนก็สะดวกสุดๆ ไปเลย!
อย่างเช่นอาการบาดเจ็บของอวี๋ไต้เหยียน…
แต่เรื่องนี้ข้าไม่รีบหรอก!
ตอนนี้สำนักอู่ตังต้องมีเป้าหมายในความพยายามร่วมกันเพื่อเสริมสร้างความสามัคคี หากรักษาให้อวี๋ไต้เหยียนหายดีเร็วเกินไปก็อาจจะไม่ใช่เรื่องดีนัก
หากเทียบกับ ‘ดรรชนีเอกสุริยัน’ แล้ว ‘กระบี่จงชง’ กลับสร้างความตื่นเต้นประหลาดใจให้เยี่ยเว่ยหมิงได้มากกว่า!
ต้องทราบไว้ว่าตอนนี้ ‘กระบี่จงชง’ ของเยี่ยเว่ยหมิงเพิ่งถึงเลเวลแปดเท่านั้น ยังห่างจากเลเวลสิบที่เป็นระดับสมบูรณ์อีกไกลมาก
แต่อาศัยแค่ ‘กระบี่จงชง’ เลเวลแปด ก็กลายเป็นวิธีการโจมตีปกติที่มีพลังทำลายล้างเยอะที่สุดในรายการสกิลของเยี่ยเว่ยหมิงแล้ว การโจมตีของมันหากเทียบกับ ‘สิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร’ ก็ไม่ด้อยกว่าแน่นอน!
อะไรกัน แล้ว ‘มารสวรรค์ทลาย’ ล่ะ?
นั่นไม่ใช่วิธีการรบปกติ ดังนั้นจึงไม่นับรวม
อย่างไรเสีย ‘สิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร’ หากเลือกมากระบวนท่าเดียวก็นับเป็นเพียงวิทยายุทธ์ระดับสูงเท่านั้น แต่กระบวนท่าเดียวของ ‘ดรรชนีกระบี่หกชีพจร’ นับเป็นสุดยอดวิชาได้แล้ว!
แม้จะบอกว่าเพราะใช้ค่าวีรบุรุษมาเพิ่มพลังโจมตีได้ ประสิทธิภาพของ ‘สิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร’ จึงไม่มีขีดจำกัด แต่ถ้าอยากอาศัยค่าวีรบุรุษดันพลังโจมตีของ ‘สิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร’ ให้เท่ากับของ ‘ดรรชนีกระบี่หกชีพจร’ นั่นก็คือภารกิจยากที่ทั้งหนักหนาทั้งห่างไกล
ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำสำเร็จก่อนยานอวกาศลงจอดหรือไม่
หลังจากจัดการกับไอเทมที่ได้รับมาก่อนหน้านี้หมดแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงจึงได้เก็บสำรวมความรู้สึก แล้วเริ่มสัมผัสลมทะเลที่โชยมา ชมทิวทัศน์นกทะเลและปลาที่กระโดดอยู่บนคลื่น
“ว้าว!” เหมือนสังเกตเห็นแล้วว่าเยี่ยเว่ยหมิงย้ายความสนใจจากตำรากลับมาสู่ความจริง สะพานสวรรค์น้อยอดถามไม่ได้ว่า “พี่ใหญ่เยี่ย ท่านดูนกที่กำลังบินพวกนั้นสิว่ามีความสุขขนาดไหน แต่พวกมันเหมือนกลัวคนนะ พอเจอพวกเราก็บินหลบ ไม่อย่างนั้น ข้าก็หวังว่าจะได้เชยชมท่วงท่าการบินของมันในระดับสายตาเดียวกัน”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วหลุดขำ “นกทะเลพวกนั้นไม่ใช่แค่กลัวคน ที่สำคัญคือพวกมันกลัวเจ้าแดง”
เขาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วให้ความรู้ต่อ “ต้องรู้ไว้ว่ากาโลหิตเป็นสัตว์ปีกกินเนื้อที่ชอบโจมตีมาก ตอนทำพิธีศพบนฟ้าให้เถียนปัวกวงก็ใช้เวลาไม่ถึงสามนาที พวกนกทะเลไม่พอยัดซอกฟันมันหรอก จะไม่กลัวได้อย่างไร”
สะพานสวรรค์น้อยได้ยินแล้วกะพริบตาปริบๆ แล้วถามต่อ “พี่ใหญ่เยี่ย เจ้าไม่รู้สึกว่ามันแปลกหรือ”
“แปลกะไร” เยี่ยเว่ยหมิงงง ไอรีนโนเวล
สะพานสวรรค์น้อยกล่าว “ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าเคยบอกว่าเจ้าแดงคือ BOSS สัตว์ป่าที่เจ้าจับมาจากเสินหนงจย้า ตอนอยู่ข้างนอกไม่เห็นสัตว์ชนิดเดียวกับมันเลย…
…หรือพูดได้อีกอย่างว่า ไปไม่ได้เลยที่นกทะเลที่ใช้ชีวิตอยู่บนทะเลตะวันออกพวกนี้จะเคยเจอเจ้าแดงมาก่อน ถึงขั้นไม่เคยเจอกาโลหิตสักตัวเลยด้วยซ้ำ…
…แต่นกทะเลพวกนี้หลังจากได้เห็นเจ้าแดงแล้วยังกลัวจนหลบแทบไม่ทัน อย่าบอกนะว่าแค่เพราะเจ้าแดงตัวใหญ่กว่า…
…เช่นนั้นในชีวิตจริง พวกเครื่องบิน ชิงช้าสวรรค์อะไรนั่นใหญ่กว่าอีก แต่ไม่เห็นนกพวกนั้นจะกลัวเลย”
เยี่ยเว่ยหมิงยิ้มบางๆ ก่อนอธิบาย “นั่นคือสัญชาตญาณของสัตว์ที่มีต่ออันตราย ก็เหมือนเวลาสัตว์ตัวเล็กๆ เจอสัตว์ดุร้ายอย่างพวกสิงโต ต่อให้ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ทันทีที่ได้เห็น สัญชาตญาณของมันก็…”
เยี่ยเว่ยหมิงพูดได้ครึ่งเดียวก็ชะงักกลางคัน จากนั้นก็จมอยู่ในความคิดตัวเอง
สะพานสวรรค์น้อยเห็นสีหน้าเขาแปลกไป เรียกหลายครั้งแต่เขาก็ไม่ตอบ ก็ตระหนักได้ทันทีว่าเขาน่าจะนึกอะไรหรอก จึงไม่รบกวนอีกแล้ว ได้แต่ใช้สองมือเท้าสองแก้ม ชมทิวทัศน์ทะเลรอบๆ ต่อไป
เพียงแต่เมื่อเห็นท่าทางหมดอารมณ์สุนทรีย์ของเยี่ยเว่ยหมิง นางจึงไม่มีอารมณ์เชยชมเท่าไรแล้ว
เงียบงันตลอดทาง เรื่องบางเรื่องที่ก่อนหน้านี้เยี่ยเว่ยหมิงไม่เข้าใจ กระทั่งถึงเกาะดอกท้อก็ยังไม่เข้าใจ
กระทั่งความคิดของเขาถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเพลงที่ไม่รื่นหูเป็นอย่างมาก เขาถึงได้เลิกคิดเรื่องพวกนั้น
เขานำกระดาษและพู่กันออกมา เขียนว่า ‘สัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอดและการรับรู้อันตรายของสัตว์ แล้วที่อยู่บนตัวมนุษย์หายไปไหนแล้ว’ จากนั้นก็เก็บไว้ แล้วก้มมองข้างล่าง
กลับเห็นเกาะกลางทะเลอันงดงามแห่งหนึ่ง บนเกาะเต็มไปด้วยดอกท้อสีชมพู ป่าท้อล้อมเกาะแห่งนี้ไว้โดยอิงตามตำแหน่งของภาพปากว้าห้าธาตุ ราวกับเป็นมงกุฎดอกไม้สีชมพู
เมื่อเจ้าแดงบินมาถึงบนฟ้าเหนือเกาะดอกท้อ เยี่ยเว่ยหมิงก็เชื่อมจิตกับเจ้าแดงทันที เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ช่วยไม่ได้ที่ทำได้เพียงควบคุมมันไปด้านนอกค่ายกลดอกท้อ เป็นจุดที่มีเสียงเพลงทำนองเพี้ยนดังมา
“ที่นั่น ที่ดอกท้อเบ่งบาน…”
เสียงที่เหมือนฆ้องหักยังดังต่อไป กระทั่งร่างของเจ้าแดงอยู่ห่างจากพื้นประมาณสามจั้ง เจ้าคนที่กำลังแหกปากถึงได้รู้สึกตัว พอเงยหน้าเห็นนกดุร้ายตัวใหญ่บินลงมาก็ตกใจจนร้องเสียงหลง กระโดดถอยออกมาหนึ่งจั้งกว่า พร้อมทั้งฟาดฝ่ามืออกมากลางอากาศ ฝ่ามือรูปมังกรลอยวูบมาทางเจ้าแดง
กรรร!
ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะใช้ ‘สิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร’?
เยี่ยเว่ยหมิงเห็นเหตุการณ์แล้วขมวดคิ้วทันที แล้วใช้มือขวาโบกเบาๆ พร้อมเสียงมังกรคำราม แต่กลับสร้างกำแพงกำลังภายในไร้รูปร่างขึ้นมาตรงหน้าพลังฝ่ามือของอีกฝ่าย
มังกรผยองได้สำนึก VS มังกรผงาดกลางทุ่ง
บึ้ม!
พอพลังฝ่ามือรูปมังกรถล่มบนกำแพงกำลังภายในก็สลายหายไปราวกับหมอกควันทันที ส่วนกำแพงกำลังภายในก็เพียงสั่นไหวเบาๆ เท่านั้น แล้วก็กลับมาแข็งแรงดังเดิม
“สิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร?” เมื่อคนข้างล่างเห็นวิธีการโจมตีของเยี่ยเว่ยหมิง ก็เห็นได้ชัดว่าตกใจมากกว่า
ทั้งคู่ใช้ ‘สิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร’ เหมือนกัน แต่ศักยภาพที่เยี่ยเว่ยหมิงแสดงออกมากลับกดทับศีรษะของเขา จะไม่ให้เขาตกใจได้อย่างไร
ขณะที่กำลังตกใจกลัว คนคนนั้นก็กระโดดถอยหลังอีก ดึงระยะห่างออกจากกันสิบเมตร ถึงได้ทรงตัวได้อีกครั้ง แล้วตั้งท่าเตรียมรับมือย่างจริงจัง
หลังจากคุมเจ้าแดงให้ร่อนลงบนหาดทรายอย่างไม่รีบร้อน เยี่ยเว่ยหมิงก็เก็บเจ้าแดงและเก้าอี้บิน เสร็จแล้วเขากับสะพานสวรรค์น้อยถึงได้ไปดูผู้ที่ลอบโจมตีด้วยกัน
กลับเห็นว่าคนคนนี้ตาโตคิ้วเรียว รูปร่างหน้าตาไม่น่ารังเกียจ แม้เสื้อผ้าบนตัวจะเก่าไปบ้าง แต่กลับดูไม่สกปรก ไม่มอมแมมหรือชำรุด ถ้าจะบอกว่าเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง กลับดูเหมือนชุดขอทานแบบพิมพ์นิยมที่เห็นบ่อยตามเมืองใหญ่ๆ มากกว่า
หลังจากมองประเมินอีกฝ่ายปราดหนึ่ง เยี่ยเว่ยหมิงก็ขมวดคิ้วถาม “เจ้าเป็นใคร”
คนนั้นตอบอย่างภูมิใจ “เทียนหวังขอร้องเสือเจ้าถิ่น[1]!”
เยี่ยเว่ยหมิงเงียบไปสองวินาที ก่อนเอ่ยถาม “มหาปราชญ์สยบปีศาจภายนอก?”
[1] เทียนหวังขอร้องเสือเจ้าถิ่น พ้องเสียงกับประโยคเดิม เสือเจ้าถิ่นสยบต่อเทียนหวัง เจดีย์สยบปีศาจน้ำ (天王盖地虎 宝塔镇河妖)
หมายถึงไม่ว่าจะเก่งแค่ไหนก็มีคนที่ฐานะสูงกว่ามากดขี่เสมอ เหมือนเสือเจ้าถิ่นแม้จะใหญ่แค่ไหนก็สู้เทียนหวังที่เป็นท้าวจตุโลกบาลไม่ได้