หลังจากที่อาการตกใจและดีใจในตอนแรกสุดของมารดาลู่พั่นทุเลาลงและหายสำลัก นางได้นับในใจ ลู่พั่นก็อายุสิบแปดปีแล้ว
จากนั้นก็รู้สึกตลกตัวเอง เมื่อครู่มีความคิดเช่นนั้นได้อย่างไร ไม่ควรเลยจริงๆ อีกทั้งเล่นเอาหัวใจเต้นแรง
ทว่านางก็ยังคงรู้สึกสนใจที่บุตรชายของนางอุ้มเด็กเข้าบ้าน
ต้องทราบก่อนว่าเวลาหลานๆ เห็นลู่พั่นต่างวิ่งหนีกันอุตลุดราวกับหนูเจอแมว
ครั้นแล้วมารดาของลู่พั่น ฮูหยินจวนกั๋วกง จึงหันไปสั่งสาวใช้ใหญ่ที่อยู่ข้างกายให้ไปสืบดูประวัติของเด็กคนนั้นอย่างละเอียด ก่อนกลับให้เรียกมาที่เรือนนี้ นางต้องการดูหน้าสักหน่อย
แต่กลับนึกไม่ถึงว่า ยังไม่ทันอะไร สาวใช้ใหญ่ก็หันมายิ้มพลางบอก ได้ยินว่าเหล่าฮูหยินไปที่หอซงเทาแล้ว อีกทั้งยังสั่งไม่ให้คนไปแจ้งคุณชาย
“เอ๊ะ?” มารดาของลู่พั่นคิดเล็กน้อย ยิ้มพลางส่ายหน้า “ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ไปดูด้วย”
“องค์หญิง ช้าหน่อยเพคะ ช้าหน่อย” มีเพียงเสียงฉินหมอมอที่ยังคงเรียกองค์หญิงเหล่าฮูหยิน นางปรนนิบัติรับใช้องค์หญิงมาตลอดชีวิต
เหล่าฮูหยินลงจากเกี้ยว ผ่านภูเขาจำลอง ชี้ไปยังศาลาหลังเล็ก “ไม่ต้องเข้าไปแล้ว อย่าไปรบกวนพวกเขา นั่งดูอยู่ตรงนี้แล้วกัน”
นางหรี่ตาเพ่งมองเด็กชุดน้ำเงินที่อยู่ตรงข้ามก่อน จากนั้นก็ละสายตาไปที่หลานชายของตัวเอง แววตาเปี่ยมล้นไปด้วยความรักความเมตตา ราวกับไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่พอ สังเกตสีหน้าหลานชายอย่างละเอียด
เวลานี้ ภายในหอซงเทาที่อยู่ตรงข้ามศาลาหลังเล็ก
เฉียนหมี่โซ่วกำลังยืนอยู่ตรงหน้าลู่พั่น แสดงสิ่งที่เรียนรู้มาในช่วงนี้ให้ดู
“เส้นด้ายในมือมารดา เย็บเสื้อผ้าให้บุตรชาย
เย็บแน่นหนาก่อนจากไกล กลัวลูกไซร้มีเหตุประวิงเวลา
ใครหนาได้เอ่ยว่าบุตรธิดา มิอาจแทนคุณมารดาได้หมดสิ้น”
“ใครสอนเจ้า”
เฉียนหมี่โซ่วยิ้มตาหยี “พี่สาว”
เนื่องจากสังเกตเห็นความพึงพอใจบนใบหน้าพี่แม่ทัพเล็ก เด็กน้อยจึงยิ่งกระตือรือร้นมากกว่าเดิม
“เดือนยี่ พฤกษาขจี วิหคเริงร่า หลิวนั้นหนาพลิ้วไหวอยู่ริมฝั่ง
เด็กน้อยเลิกเรียนรีบกลับบ้าน พากันปล่อยว่าวสู่ท้องฟ้า”
“พากันปล่อยว่าวสู่ท้องฟ้า ว่าวรึ หึ ใครเป็นคนแต่งกลอนนี้” ลู่พั่นวางถ้วยชา สบตากับเด็กน้อยอย่างจริงจัง
ใครแต่งเหรอ ไม่รู้สิ “เอาเป็นว่าพี่สาวสอนมา”
ถ้าซ่งฝูหลิงอยู่ด้วยเวลานี้คงสะดุ้งตกใจตอนที่ลู่พั่นถามแบบนี้ ไม่มีคนเตือนไม่ทันได้ระวัง ตายแล้ว เผลอสอนกลอนของยุคหลังไปเสียได้ จำได้แค่ว่าเป็นกลอนที่เรียนมาสมัยประถม
ไม่สิ ราชวงศ์ชิงก็ไม่ใช่ยุคหลังมากเท่าไร ซ่งฝูหลิงยังได้หลุดสอนอีก
“สายลมแคว้นเหนือ น้ำแข็งจับตัวพันลี้ หิมะโปรยปรายหมื่นลี้”
ลู่พั่นรอแล้วรอเล่า อยากรอท่อนถัดไป แต่กลับไม่มีเสียงต่อจากนั้น “ทำไมไม่ท่องแล้วล่ะ”
สองมือของเฉียนหมี่โซ่วผายออก “แต่มันไม่มีแล้วนี่นา พี่สาวท่องไว้แค่นี้ นางท่องตอนเปิดประตูออกไปบิดขี้เกียจช่วงที่มาถึงที่นี่แล้วหิมะตกหนัก ข้าไปได้ยินเข้าก็เลยจำมา”
ขีดเส้นใต้ เน้นคำว่า ‘บิดขี้เกียจ’ อืม ลู่พั่นรับชาร้อนที่ซุ่นจื่อยื่นให้มาจิบหนึ่งอึก
จากนั้นหมี่โซ่วก็ท่องกลอนอีก ท่อนแรกก็ทำเขาหน้านิ่วด้วยความรู้สึกเหนือความคาดหมาย
นึกไม่ถึงว่าซ่งฝูหลิงก็สอนกลอนบทนี้ด้วย
ได้ยินเสียงเด็กน้อยท่องเสียงดังฟังชัด
“ท่ามกลางทะเลทรายอันเวิ้งว้าง ดวงจันทรานอกเมืองช่างโศกเศร้า…
…เสียงขลุ่ยลอยมาจากที่ใด ค่ำคืนนี้ทหารกล้ามองไปทางบ้านเกิด”
ลู่พั่นถามเฉียนหมี่โซ่ว “เจ้ารู้ความหมายของกลอนบทนี้หรือไม่”
เฉียนหมี่โซ่วตอบ
“ข้าเข้าใจท่อนที่ว่า ‘ค่ำคืนนี้ทหารกล้ามองไปทางบ้านเกิด’…
…พี่สาวบอกว่า ค่ำคืน หมายถึงการค้างแรม หรือจะตีความเป็นคนที่คิดถึงทั้งคืนก็ได้ ถึงเรียกว่าค่ำคืน…
…อีกทั้งไม่พูดตรงๆ ว่าพวกเขาคิดถึงบ้าน แต่บอกว่าพวกเขาต่างมองไปยังทิศทางของบ้านเกิด…
…เวลากลางคืนมืดสนิท มองไม่เห็นแสงจันทร์หรือสิ่งอื่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะมองเห็นบ้านได้อย่างชัดเจน ทำได้เพียงให้เสียงขลุ่ยช่วยนำพาความรู้สึกคิดถึงบ้าน…
…พี่ชาย พี่สาวของข้าพูดถูกหรือไม่ ดีหรือเปล่า”
ลู่พั่นมองเฉียนหมี่โซ่วอย่างเงียบๆ ภาพในหัวเป็นตอนที่เขาติดตามบิดาไปรบครั้งแรก
ตอนนั้นเขาอายุสิบสี่ปี และก็ได้พบเจอทหารหลายคนที่อายุไล่เลี่ยกับเขา
มีทหารหลายคนที่ร้องไห้หลังทำสงครามอันเลวร้าย
ยิ่งช่วงกลางวันสงครามโหดร้ายมากเท่าไร ตกกลางคืนคนที่คิดถึงบ้านก็มีมากเท่านั้น
ตอนนั้นเขาก็มองไปทางบ้านตัวเองตอนกลางคืนเหมือนกัน
ครั้งแรกที่ออกรบเห็นการนองเลือด ครั้งแรกที่ฆ่าคน สิ่งที่นึกถึงคือกลอนบทนี้ ‘ค่ำคืนนี้ทหารกล้ามองไปทางบ้านเกิด’
“พี่แม่ทัพเล็ก ข้าทนต่อไปไม่ไหวแล้ว”
ทันใดนั้นได้ดึงสติของลู่พั่นกลับมา และก็พลอยทำซุ่นจื่อตกใจไปด้วย คิดว่าอยู่ๆ เด็กคนนี้ก็อั้นฉี่ไม่ไหวแล้ว ไอ๊หยา
แต่นึกไม่ถึงว่า เด็กคนนี้กลับร้องเพลง อีกทั้งยังร้องพร้อมประกอบท่าทาง ร้องไปเต้นไป ร้องด้วยสำเนียงเพี้ยนๆ เต้นก็ท่าทางประหลาด
“ข้ามีความฝันอยู่อย่างหนึ่ง อยากเรียนวิทยายุทธ์กับพี่แม่ทัพ เป็นเหมือนวีรบุรุษที่เก่งกาจในตำนาน กล้าหาญชาญชัย เดินบนกำแพงเหาะบนหลังคา
พี่ชาย เหตุใดท่านถึงได้ว่องไว ตวัดอาวุธคล่องแคล่ว กระบองกวาดเรียบ
ท่านกลับสะบัดแขนเสื้อพูดกับข้า”
เฉียนหมี่โซ่วหยุดร้อง “พี่ชาย ตาท่านแล้ว ท่านต้องพูดว่า รีบไปฝึกได้แล้ว”
ซุ่นจื่ออยากห้าม นี่มันอะไรกัน
ลู่พั่น “รีบไปฝึกได้แล้ว” พูดจบใบหูก็แดงเล็กน้อย
ซุ่นจื่อ “แค่กๆๆ”
“รับทราบ!”
เฉียนหมี่โซ่วเงยหน้ายิ้มแฉ่ง เต้นท่าที่ตอนนั้นซ่งฝูหลิงแกล้งเด็ก นางสอนเต้นท่าแบบบ้านๆ ในบ้านตัวเอง โยกย้ายร่างกายพลางร้อง
“ฝึกวิทยายุทธ์ต้องอยู่ท่ามกลางแดดเปรี้ยง ตกเย็นยังต้องอาศัยแสงจันทร์ ขาดฝึกวันเดียวที่ผ่านมาสูญเปล่า
ก่อนอื่นต้องฝึกคุณธรรม เรียนมารยาทก่อนเรียนศิลปะ ข้าเองก็จดจำขึ้นใจ
จอมยุทธ์ฝึกฝนสิบปี เพื่ออยู่ในสนามต่อสู้ไม่กี่นาที ความลำบากความเหงาใครเล่าจะเข้าใจ
หวดหมัดทะลวงไปในสายลม ร่างกายเคลื่อนเข้าออกดุจมังกรผงาด สืบทอดความฝันผู้กล้ารุ่นต่อไป
ศีลธรรมเปรียบดั่งขุนเขา ชื่อเสียงนั้นเล่าเปรียบดั่งใบหญ้า”
จบ
เฉียนหมี่โซ่วเต้นจนใบหน้าแดงก่ำ ร่างในชุดน้ำเงินเอียงหน้ามองลู่พั่น
ลู่พั่นขมวดคิ้วใส่เฉียนหมี่โซ่ว ยกมุมปากขึ้นอย่างอดไม่ได้ “พี่สาวเจ้าก็สอนเรื่องพวกนี้รึ”
ยังไม่ต้องวิเคราะห์ว่าใครเขียนเนื้อพวกนี้
สอนท่องกลอน สอนร้องเพลง สอนเคลื่อนไหวร่างกายเป็นท่วงท่า สาวน้อยที่ชื่อซ่งฝูหลิงนั่นคงงานยุ่งไม่เบา
ที่แท้ใบหน้าดวงอาทิตย์ที่ผูกติดบนเข่งขี้เหร่ใส่ขนมพวกนั้น ก็เป็นผลงานของพวกเด็กๆ ที่แท้พี่สาวของพวกเขาก็ตระหนักได้เหมือนกันว่าเข่งนั่นหน้าตาขี้เหร่เหลือเกิน ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำให้สวย วุ่นอยู่ตั้งแต่เช้าจรดเย็น
อีกทั้งครั้งนี้ลู่พั่นก็ได้รู้อะไรมากขึ้นจากการพูดคุยกับเฉียนหมี่โซ่ว
เด็กตรงหน้าคนนี้ยังรู้จักวิธีคำนวณ บอกว่าพี่สาวของเขาก็สอนมาโดยใช้เหรียญทองแดง
“ใช่ขอรับพี่ชาย ไม่เพียงแต่พี่สาวจะสอนข้า ยังสอนพี่ๆ น้องๆ หลายคนอีกด้วย เพียงแต่ความจำของพวกเขาไม่ดีเท่าข้า”
อืม ลู่พั่นคิดในใจ เจ้าเก่งจริงๆ
ถึงเวลากินของว่างแล้ว
วันนี้สาวใช้ใหญ่มู่จิ่นก็ไม่รู้ว่าคุณชายยังจะกินของว่างหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้คุณชายกินขนมเค้กไปไม่น้อย ตอนนางเข้าไปเก็บขนมเค้ก คุณชายกินดอกไม้นั่นจนหมด ตักจนเละเทะ
ทว่าก็ไม่กล้าทำผิดกฎ เรียกสาวใช้หลายคนมายกของว่างที่ลู่พั่นชอบกินไปตามปกติ
มู่จิ่นจะล้างมือให้เฉียนหมี่โซ่ว
เฉียนหมี่โซ่วหลบบอกไม่ต้อง พูดขอบคุณ พี่สาวเคยบอกเขาว่าเรื่องของตัวเองต้องทำด้วยตัวเอง
มู่จิ่นเหลือบมองลู่พั่น
ลู่พั่นกลับเอาแต่จ้องเฉียนหมี่โซ่วล้างมือ พบว่าเขาล้างได้สะอาดจริงๆ
“พี่ชาย นี่ขนมอะไรหรือ” เฉียนหมี่โซ่วชูขนมที่ตัวเองกัดเป็นรอยฟัน
“ขนมฝูหลิง” พูดจบลู่พั่นก็หยิบขึ้นมากัดหนึ่งคำ