เสียนเฟยหนีมาจนถึงทางออก แต่แล้วประตูก็ปิดใส่หน้านาง
“เปิดประตู เปิดประตูให้ข้าที!” เสียนเฟยอาการคล้ายคนเสียสติเข้าไปทุกที มือทุบประตูอย่างบ้าคลั่ง
ฝ่ามือเย็นเฉียบคู่หนึ่งคว้าหมับเข้าที่คอของนางจากด้านหลัง
“บอกมา เจ้าทำร้ายพี่สิบสามทำไม”
“ปล่อยข้า ปล่อยข้า…” เสียนเฟยคลุ้มคลั่ง ใจนางอยากแกะมือนั้นออก แต่แค่คิดว่านี่เป็นมือของคนตาย นางก็ไม่กล้าแตะ จึงทำได้เพียงส่งเสียงกรีดร้อง บัดนี้นางไม่สนสิ่งใดอีกแล้ว
“หากเจ้าบอกเหตุผลที่เจ้าทำร้ายพี่สิบสาม ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป มิฉะนั้นข้าคงตายตาไม่หลับ!” เสียงเศร้าหม่นกระซิบข้างหูเสียนเฟย
ในชั่วอึดใจนั้น เสียนเฟยเกือบหลุดคำว่า ‘ไทเฮา’ แต่สติเฮือกสุดท้ายฉุดรั้งนางไว้
ร่างขององค์หญิงสิบสี่ที่เฉียดใกล้ร่างของนางแทบทำให้นางพังทลาย นางอยากหลุดพ้นจากความสยดสยองนี้ให้เร็วที่สุดจึงเอ่ยเสียงแหลมออกไปว่า “เพราะข้าเกลียดฮองเฮา!”
ในห้องความเงียบโรยตัวชั่วอึดใจ ก่อนที่ภาพตรงหน้าเสียนเฟยจะดับวูบ
เวลาล่วงเลยไปนานเท่าใดไม่อาจทราบ เสียนเฟยฟื้นขึ้นมาพบฮ่องเต้และฮองเฮา
เสียนเฟยสับสนหนัก “ฝ่าบาท นี่หม่อมฉันอยู่ที่ไหนเพคะ”
ใบหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้เย็นเยียบประหนึ่งแผ่นน้ำแข็ง เขาเปล่งเสียงเย็นชา “อยู่ที่ไหนไม่สำคัญ ที่สำคัญคือเจ้าจำเรื่องที่เกิดขึ้นได้หรือไม่”
“หม่อมฉัน…” เสียนเฟยกลอกตาไปมาพยายามเค้นหาความทรงจำ
ใบหน้าขาวซีด มือเย็นเยือกที่วางอยู่ที่คอ และเสียงเศร้าหม่นที่กระซิบข้างหู…
นางมิได้อยู่ที่ตำหนักของตัวเองหรอกรึ นางได้ยินเสียงเคาะประตูกลางดึก องค์หญิงสิบสี่มาหานาง และถามหาเหตุผลที่นางทำร้ายองค์หญิงฝูชิง…แล้วตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น
หรือว่าเมื่อครู่เป็นเพียงความฝัน
“จำไม่ได้งั้นรึ” จิ่งหมิงฮ่องเต้เขม้นมองไปที่เสียนเฟย เมื่อเห็นว่านางยังคงอึกอักไม่โต้ตอบ เขาแทบจะจับหญิงอำมหิตนางนี้ไปทุบตีให้ตาย
เขาเกลียดการแกล้งทำเป็นความจำเสื่อมที่สุด!
“จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ข้าจะเตือนความจำให้เจ้าเอง เพราะเจ้าทำผิด กลางดึกเจ้าถึงได้ละเมอว่าเจ้าจะทำร้ายฝูชิง…ทีนี้จำได้รึยังล่ะ”
เสียนเฟยหน้าซีด รีบลนลานปฏิเสธ “หม่อมฉันมิได้ทำร้ายองค์หญิงฝูชิง ฝ่าบาททรงเข้าพระทัยผิดแล้วเพคะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้คร้านจะฟังเสียนเฟยแก้ตัว เขากล่าวเสียงเย็น “นางในตำหนักเสียนเฟยอยู่ที่ไหน”
ไม่นานเกินรอ นางในก็รี่มาคุกเข่าต่อหน้าจิ่งหมิงฮ่องเต้ เสียนเฟยพิศมอง นางคือนางกำนัลที่นอนเฝ้านางเมื่อคืนนี้
นางจำได้ว่าเมื่อคืนตอนที่ได้ยินเสียงเคาะประตู นางให้นางกำนัลเดินไปเปิดดู แต่กลายเป็นว่านางวิ่งหนีหายไปในความมืด
จิ่งหมิงฮ่องเต้ชายตามองนางในเบื้องหน้าด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “เล่าสิ่งที่เจ้าเห็นให้เสียนเฟยฟัง”
นางในหมอบอยู่ที่พื้นพร้อมเอ่ยเสียงสั่น “เมื่อคืนทำอย่างไรเหนียงเหนียงก็ทรงนอนไม่หลับเพคะ พอกลางดึกขณะที่ทรงกำลังกึ่งหลับกึ่งตื่น จู่ๆ พระองค์ก็ทรงละเมอเสียงดังเพคะ…”
“เจ้าพูดอะไร”
นางในเงยหน้ามองเสียนเฟยฉับไว สีหน้าของนางตอนนี้ขาวซีดไม่แพ้กัน “เหนียงเหนียงทรงตะโกนว่าองค์หญิงสิบสี่อย่ามายุ่งกับข้า คนที่เหนียงเหนียงตั้งใจทำร้ายมิใช่องค์หญิงสิบสี่ แต่เป็นองค์หญิงฝูชิงเพคะ…”
“นังบ่าวชั่ว เจ้าโกหก!” เสียนเฟยแผดเสียง กายเย็นเยียบสั่นสะท้าน
นางจำได้ว่านางพูดอะไรออกไป เหตุการณ์เมื่อคืนไม่ใช่ความฝัน แต่องค์หญิงสิบสี่มาคิดบัญชีกับนางจริงๆ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ปราดสายตาเย็นเยือกไปทางเสียนเฟยพลางเอ่ยดุดัน “เล่าต่อ”
“เหนียงเหนียงยังตรัสอีกว่า…ที่พระองค์ทำร้ายองค์หญิงฝูชิงเป็นเพราะพระองค์ทรงชังฮองเฮาเพคะ…” ศีรษะและร่างของนางในค้อมต่ำลงเรื่อยๆ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตา
สีหน้าของเสียนเฟยเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง “ฝ่าบาท พระองค์อย่าไปเชื่อคำโป้ปดของบ่าวรับใช้ชั่วช้าคนนี้เลยนะเพ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตัดบทเย็นชา “พอกันที เจ้าคิดว่าข้าโง่งั้นรึ ตอนนี้ข้าต้องการฟังแค่เหตุผลที่เจ้าเกลียดฮองเฮา”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันมิได้…” เสียนเฟยแข็งขืนสุดฤทธิ์
จิ่งหมิงฮ่องเต้จ้องตรงไปที่นาง แววตาขับประกายเยียบเย็นอย่างถึงที่สุด “หรือว่า เจ้าอยากให้ข้าเรียกเจ้าสี่เข้ามาถาม”
สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือ การยืนยันว่าระหว่างเสียนเฟยและหนิงเฟย ใครคือคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะมีหลักฐานหรือไม่ หรือต่อให้หาพบตัวแล้ว คนผู้นั้นจะยอมรับหรือไม่ เรื่องเหล่านั้นแทบจะไม่สำคัญ
ความพยายามเอาตัวรอดของเสียนเฟยรังแต่จะทำให้ความโกรธของเขาปะทุหนักขึ้นเรื่อยๆ
การยัดเยียดเรื่องที่สิบสี่มาเคาะประตูว่าเป็นเพียงความฝันของเสียนเฟยเพื่อจะปิดบังข่าวลือเรื่องผีไร้สาระ ยามเผยความจริงกับภายนอกจะฟังดูสมเหตุสมผล
อีกอย่าง การที่บอกว่าเป็นความฝันก็ดีกว่าการที่บอกว่ามีผีมาเคาะประตู
เขาเป็นถึงมังกรผู้เป็นโอรสสวรรค์ หากมีเรื่องผีสางลือไปทั่วทั้งที่มีพลังของมังกรคอยคุ้มครองวังหลวง แล้วเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
วาจาเลือดเย็นของจิ่งหมิงฮ่องเต้จี้ตรงเข้าที่จุดอ่อนของเสียนเฟย นางหยุดแก้ตัว
สีหน้าของเสียนเฟยซีดคล้ำในทันทีก่อนที่ร่างสั่นเทิ้มจะทรุดลงพื้น
แต่จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่รู้สึกสงสารอีกแล้ว เขาเอ่ยเสียงเย็น “พูดมา ข้าไม่มีเวลามาฟังเจ้าพูดเยิ่นเย้อ”
เสียนเฟยหมอบลง แม้นี่เป็นกลางดึกในฤดูร้อน แต่ทว่าไอเย็นเยือกจากแผ่นหินอ่อนกลับแทงทะลุเข้าไปถึงไขกระดูกของนาง
น้ำหยดใสไหลซึมจากหางตาจนถึงมุมปาก รสคาวและหวานปนเปอยู่ในปาก
เสียนเฟยขบปลายลิ้นก่อนจะสำลักถ้อยคำออกมา “วิญญาณชั่วร้ายเข้าครอบงำจิตใจของหม่อมฉันชั่วขณะเพคะ หม่อมฉันเกลียดที่ฮองเฮาขโมยเจ้าเจ็ดไป…”
ฮองเฮาที่เงียบมาโดยตลอดหัวเราะเยาะ “เจ้าเกลียดที่ข้าขโมยจิ่นเอ๋อร์อย่างนั้นรึ”
คำว่า ‘จิ่นเอ๋อร์’ ทำให้เสียนเฟยผงะไปชั่วครู่ก่อนจะสำนึกได้ว่าหมายถึงอวี้จิ่น
หลังจากที่นางได้สติ นางรู้สึกว่าโลหิตร้อนพุ่งขึ้นมาจุกอยู่ที่คอของนาง
ฮองเฮาช่างไร้ยางอายเสียจริง เรียกเจ้าเจ็ดว่า ‘จิ่นเอ๋อร์’ ต่อหน้านาง คงตั้งใจจะอวดนางงั้นสิ
ฮองเฮาดึงมุมปาก นางสบตากับเสียนเฟยอย่างไม่กริ่งเกรง
นางจะเหยียบคนล้มให้จมดิน คนที่มาทำร้ายบุตรสาวของนาง คิดหรือว่านางจะเมตตา นางมิได้เพียงจะเหยียบคนล้มให้จมดินเท่านั้น นางจะหาตัวการที่เป็นนายของคนผู้นั้นออกมาให้ได้
ฮองเฮาไม่เชื่อว่าเสียนเฟยจะทำร้ายองค์หญิงฝูชิงเพียงเพราะเหตุผลนี้ หากเสียนเฟยสนใจเยี่ยนอ๋องจริง นางคงไม่ละเลยเยี่ยนอ๋องมาจนถึงบัดนี้
นางเองก็เป็นแม่คน นางกังวลใจแม้กระทั่งบุตรสาวจะนอนถีบผ้าห่มหรือไม่ แต่เสียนเฟยกลับมิได้มีคุณลักษณะของมารดาที่หวงแหนบุตรเลยแม้แต่น้อย
“จิ่นเอ๋อร์คือโอรสที่เจ้าไม่ต้องการ ฝ่าบาททรงเก็บเขาขึ้นมา และมอบเขาไว้ในความดูแลของข้า ฉะนั้นเหตุผลนี้ ข้าฟังอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ที่อยู่ข้างๆ ดึงมุมปาก
เขาเก็บขึ้นมางั้นรึ เจ้าเจ็ดก็เป็นลูกเขานี่
แววตาของเสียนเฟยลุกลี้ลุกลน นางตวาด “ต่อให้ข้าไม่ต้องการ หรือต่อให้ข้าโยนทิ้ง ข้าก็จะไม่ยกให้ผู้ใดทั้งนั้น เมื่อเจ้าเอาลูกข้าไป ข้าก็เลยเอาลูกสาวของเจ้ามาแทน…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้โกรธจัด “พอกันที เจ้านี่มันเกินจะเยียวยาแล้ว ข้าหลวง…”
ฮองเฮาเอ่ยห้าม “ฝ่าบาท หม่อมฉันคิดว่าเสียนเฟยยังมีเรื่องปิดบังอยู่เพคะ ไม่แน่นางอาจถูกใครยุก็เป็นได้เพคะ”
เสียนเฟยปวดหัวหนึบ
เรื่องทั้งหมดถูกเปิดเผยแล้ว สิ่งที่นางทำได้คือไม่ลากไทเฮาเข้ามาเอี่ยว มิฉะนั้นนางและจังเอ๋อร์คงถึงคราวอวสานแล้วจริงๆ
ตอนนี้นางทำได้เพียงเดิมพันด้วยเจตจำนงอันแน่วแน่ที่ไทเฮามีต่อฮองเฮา
ฝ่าบาทกตัญญูต่อไทเฮายิ่งกว่าสิ่งใด ตราบใดที่ไทเฮาสนับสนุนจังเอ๋อร์ จังเอ๋อร์ก็มีโอกาสได้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง มิใช่เฝ้าทนทุกข์ทรมานไม่กล้าโผล่หน้าออกมาเพราะเป็นที่ชิงชังของฝ่าบาทเช่นนี้
ต่อให้ตอนนี้นางเหมือนจะแพ้แล้ว แต่หากจังเอ๋อร์ได้รับแรงสนับสนุนจากไทเฮา ก็ถือว่านางยังไม่พ่ายแพ้ซะทีเดียว
และสุดท้ายไทเฮาจะรักษาคำพูดหรือไม่นั้น นางก็มีแผ่นรับมือไว้แล้ว
เสียนเฟยเงยหน้าเพ่งดูฮองเฮาแล้วหัวเราะเยาะ “ฮองเฮาตรัสได้น่าขันทีเดียวเพคะ ถึงแม้สถานะของหม่อมฉันจะมิได้สูงส่งเท่าฮองเฮา เป็นเพียงหนึ่งในสี่นางสนมทั้งหมด แล้วใครเล่าจะมายั่วยุให้หม่อมฉันทำได้ ฮองเฮา ฝ่าบาท หรือว่าไทเฮา?”
“หุบปาก!” จิ่งหมิงฮ่องเต้หน้าเครียดเขม็ง “หากเจ้ายังพูดจาไร้สาระ อย่าหาว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน”