ภูติบดีที่ไร้ข้อจำกัดผูกมัด
ผู้เฒ่านำทางความตายรู้ว่าภูติบดีนั้นเป็นเทพเจ้าก่อนฟ้าและดิน ถือกำเนิดจากธรรมชาติ การกระทำของเขามากมายถูกจำกัดเอาไว้ด้วยกฎแห่งแดนใต้พิภพ หลักกฎที่ไม่อาจล่วงละเมิดได้ แม้แต่การเติบโตของเขาก็ต้องผนวกรวมเข้าไปในระบบแห่งแดนใต้พิภพ และเขาไม่อาจสลัดหลุดออกไปจากเต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งแดนใต้พิภพ
เขานั้นเป็นฉายาลักษณ์แห่งเต๋าแดนใต้พิภพ และแม้ว่าเขาจะมีสำนึกรู้และความคิดเป็นของตนเอง แต่พฤติการณ์ของเขาไม่อาจจะสลัดหลุดไปจากกฎเด็ดขาดของเต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งแดนใต้พิภพไปได้
“แต่ทว่า เจ้าตัวจ้อยที่ถือกำเนิดในแดนใต้พิภพนั้นแตกต่างออกไป เขาเป็นสิ่งมีชีวิตแรกในแดนใต้พิภพที่ถือกำเนิดออกมาจากครรภ์ เขานั้นแตกต่างไปจากภูติบดี และยังแตกต่างไปจากผีเขียว สัตว์ประหลาด และมารเทวะใต้พิภพ อันโอปปาติกะขึ้นมาเองในแดนใต้พิภพ”
เสียงของภูติบดีดังมาจากโถงศักดิ์สิทธิ์ และผู้เฒ่านำทางความตายก็หันกลับไปมอง วิญญูชนสวรรค์อวี้นั่งอยู่ที่ทางเข้าโถงวังและกำลังแทะไก่ของเขาครึ่งที่เหลืออยู่
“เขานั้นเหมือนกับข้า ได้รับการอวยพรจากหลักกฎของเต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งแดนใต้พิภพเมื่อเขาถือกำเนิดขึ้นมา ในเวลานั้น ข้าถึงกับคิดว่าข้ากำลังจะมีน้องชาย”
“แต่หลังจากนั้นข้าถึงรู้ว่าไม่ใช่”
ดวงตาที่สามของภูติบดีฉายแสงเจิดจ้า และปิดผนึกถ้อยคำของพวกเขาเอาไว้ในดวงตาเพื่อไม่ให้มันรั่วไหลออกไปภายนอก
“การเติบโตของเจ้าตัวจ้อยนี้น่าแตกตื่นยิ่งนัก และเพราะว่าเขาเป็นสิ่งมีชีวิตหลังฟ้าดิน เขาจึงไม่อยู่ภายใต้การควบคุมบังคับของเต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งแดนใต้พิภพ เขาอยากจะกินอะไรก็กิน อยากจะกระทืบใครก็กระทืบได้ตามใจชอบ”
แม้ว่าฉินเฟิงชิงจะก่อกรรมทำเข็ญอย่างไม่หยุดยั้ง แต่ภูติบดีก็ดูเหมือนจะรื่นเริงใจกับเรื่องนี้อยู่ด้วยเหตุผลบางอย่าง
ฉินเฟิงชิงเหมือนกับภูติบดีน้อย หากว่าเขาโตขึ้นมา เขาก็จะเป็นภูติบดีใหญ่ที่ก่อเรื่องร้ายอย่างมหาศาล ดังนั้นภูติบดีจึงไม่มีทางเลือกนอกจากปิดผนึกและตรึงสะกดเขาเอาไว้ เนรเทศเขาออกไปยังโลกภายนอก
“ที่น่าประหลาดยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ฉินเฟิงชิงผู้ถูกเนรเทศออกไปยังโลกภายนอก ได้แปรเปลี่ยนไปเป็นฉินมู่ เดิมทีฉินเฟิงชิงก็มิได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งแดนใต้พิภพอยู่แล้ว และเมื่อมาถึงฉินมู่ เขาก็ทลายฝ่าพันธนาการของหลักกฎเต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งแดนใต้พิภพโดยสิ้นเชิง ฝึกปรือมรรคา วิชา และทักษะเทวะที่อยู่นอกแดนใต้พิภพ!”
วิญญูชนสวรรค์อวี้ที่กำลังกินไก่อยู่ มองออกไปนอกโถง และเห็นเทพเจ้าที่มีเขาวัวกับศีรษะพยัคฆ์กำลังเผยสีหน้าพิลึกประหลาด เห็นได้ชัดว่าเขากำลังพิศวงสงสัยว่าฉินมู่สามารถทลายฝ่าพันธนาการจากหลักกฎของเต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งแดนใต้พิภพได้อย่างไร
“เวทปิดผนึกของเขาได้เปลี่ยนเขาให้กลายเป็นคนธรรมดาที่ไม่อาจฝึกวรยุทธได้ แต่กระนั้นสำนึกรู้ที่สองของเขาก็ถือกำเนิดขึ้นมาจากร่างกายนั้น เขาลุยฝ่าประสบการณ์อันท้าทาย สามารถทะลุผ่านผนึกของข้าได้อย่างไรก็ไม่ทราบ และฝึกปรือจนมีความสำเร็จไม่เล็กน้อยด้วยกายเนื้อที่เป็นไปไม่ได้ในการฝึกวรยุทธ”
ภูติบดีกล่าวด้วยสีหน้าแปลกประหลาด “สำนึกรู้แรกคือฉินเฟิงชิงที่เกิดขึ้นมาจากสันดานมารแห่งแดนใต้พิภพ เขานั้นเหมือนกับเทพบรรพกาล ครึ่งเทพ และยังเหมือนกับสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาหลังฟ้าดินก่อตัว สำนึกรู้ที่สองคือฉินมู่ สิ่งมีชีวิตหลังฟ้าดินตั้งแต่ต้นจนจบ กระนั้นเขาก็ทำให้ข้าประหลาดใจได้มากที่สุด”
ภายใต้การก่อเรื่องวุ่นวายมากมายของฉินมู่ ฉินเฟิงชิงก็เกือบจะหลุดออกมาจากเวทปิดผนึกของภูติบดีตั้งหลายครั้งหลายหน ทำให้ในที่สุดภูติบดีต้องออกโรงมาควบคุมสถานการณ์ถึงสองสามครั้ง
และเพราะว่าเขาเข้าใจดี ก็เลยทำให้ภูติบดีคือบุคคลอันคาดหวังมากที่สุดในตัวฉินมู่ ฉินเฟิงชิง
เขาอยากที่จะหาวิธีในการทลายฝ่าข้อจำกัดพันธนาการของตัวเขาเองจากฉินมู่
ที่เขาบอกว่าฉินมู่คือภูติบดีอันไร้ข้อจำกัดผูกมัดนั้นไม่ใช่การพูดเกินเลย
ในสายตาของภูติบดี ฉินเฟิงชิงและฉินมู่คือบุคคลคนเดียวกัน พวกเขาไม่ใช่พี่ชายน้องชาย แม้ว่าสำหรับพวกเขาแล้ว พวกเขาจะมองว่าเป็นพี่น้องกันก็ตาม
น้องชายนั้นมองว่าพี่ชายตนเองเต็มไปด้วยความชั่วร้าย และพี่ชายก็มองว่าน้องชายเต็มไปด้วยลูกไม้แสบๆ
“เพื่อทลายฝ่าข้อจำกัดของข้า ข้าได้ทดลองหลายวิถีทาง แต่พวกมันล้วนแต่ล้มเหลว นี่คือโอกาสของข้า”
สายตาของภูติบดีลึกล้ำ และเมื่อวิญญูชนสวรรค์อวี้มองไป เขาก็รู้สึกว่าดวงตาทั้งสามของอีกฝ่ายนั้นเหมือนกับเหวไร้บึ้งสามหลุมอันลึกสุดจะหยั่ง และมีคลื่นกระเพื่อมปรากฏเป็นครั้งคราว
ณ ด่านกุญแจหยก
แม่ทัพมารเทวะตนนั้นนำทางฉินมู่สามเศียรหกกรเข้าไปในด่าน ขณะที่เม็ดเหงื่อเย็นเยียบตกลงมาจากหน้าผากของเขาอย่างไม่ขาดสาย นั่นก็เพราะว่าเขารู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวจากฉินเฟิงชิง ผู้ซึ่งเอาแต่จ้องมองหัวและคอของเขา
ภาพจิตนาการปรากฏในหัวเขาไม่หยุดหย่อน และมันคือภาพของทารกยักษ์ที่จับหัวเขาไปแทะ
“ข้าจะเรียกพี่ทางเต๋าว่าอย่างไรหรือ” หนึ่งในศีรษะของฉินมู่มองดูรอบๆ และอีกหัวหนึ่งก็สนทนากับเขาอย่างแช่มชื่น
“ผู้พิทักษ์วิญญาณซ้ายแห่งด่านกุญแจหยกแดนใต้พิภพ โม่ฉีหมี”
ดวงตาของแม่ทัพมารเทวะบิดกระตุก และเขาก็คิดอยู่ในใจ ในอดีต โอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพไม่มีความเคยชินแบบนี้ เขาเพียงแต่จับมากินโดยไม่ถามไถ่ ตอนนี้เขากลายเป็นสุภาพขึ้นมา เขาถึงกับถามชื่อแซ่ก่อนจะจับกิน…
“ตรงนั้นคืออะไร” ฉินมู่ชี้ไปยังแท่นจารึกหินสีดำและถามด้วยความสุภาพ
ผู้พิทักษ์วิญญาณซ้ายโม่ฉีหมีมองไปยังแท่นจารึกหินดำและกล่าว “นี่คืออนุสาวรีย์สะกดวิญญาณ และเรียกขานกันอีกว่าอนุสาวรีย์กุศลกรรมไฟนรก พวกมันถูกสร้างขึ้นมาจากฟันที่ร่วงหล่นของภูติบดี และพวกมันถูกใช้เพื่อตรึงสะกดความชั่วร้ายที่นี่ ผู้คนที่มีกุศลกรรมอันยิ่งใหญ่จะไม่สามารถถูกตรึงสะกด แต่พวกที่มีบาปหนาจะต้องทนทรมานจากไฟนรกที่นี่ พวกเขาไม่อาจปลดปล่อยพลังวัตรออกมาด้วยเช่นกัน และความเจ็บปวดก็จะทวีคูณไปหลายเท่า”
ฉินมู่มองไปยังที่ไกลๆ และเห็นว่ามีอนุสาวรีย์กุศลกรรมไฟนรกอยู่ที่นี่อย่างมากมายราวกับป่า มีตั้งอยู่ทุกๆ ระยะร้อยห้าสิบวา มากมายยิ่งนัก
“ภูติบดีมีฟันเยอะแยะขนาดนี้เชียว?”
เขาอึ้งไปและกระซิบกระซาบ “หรือฟันของภูติบดีจะหักเพราะใครบางคน”
ฉินเฟิงชิงพูดอย่างตื่นเต้น “ฟันของภูติบดีเป็นสีดำ แต่ของข้าเป็นสีขาว ดูสิๆ”
เขาอ้าปากและเผยให้เห็นช่องปากอันเต็มไปด้วยเขี้ยวคมกริบราวมีดโกนที่สะท้อนแสงเย็นเยียบ สายตาของเขาเป็นประกายและร้องบอก “โม่ฉีหมี เข้ามาหาข้าสิ และดูพวกมันใกล้ๆ”
ผู้พิทักษ์วิญญาณซ้ายโม่ฉีหมีเดินสะดุด และเขาก็พาฉินมู่ตรงไปยังป่าแห่งอนุสาวรีย์กุศลกรรมไฟนรก จำนวนของแท่นจารึกหินที่นี่มากมายเกินจินตนาการของฉินมู่ และแม้ว่าจะเดินอยู่นาน ก็ยังเดินไม่สิ้นสุด
แท่นจารึกหินพวกนี้มีจำนวนหลายหมื่นแท่น ภูติบดีจะต้องใช้ฟันมากมายแค่ไหนถึงจะหลอมสร้างแท่นจารึกหินได้เยอะแยะขนาดนี้
ผู้พิทักษ์ซ้ายเหลือบมองฉินมู่และตกตะลึง เดิมทีเขาคิดว่าเมื่อตัวตนอันชั่วร้ายไร้ปานเปรียบผู้นี้ย่างเท้าเข้ามาในป่าอนุสาวรีย์ เขาก็จะถูกอนุสาวรีย์กุศลกรรมไฟนรกสะกดข่มเอาไว้ และถูกแผดเผาด้วยไฟนรกจนปวดแสบปวดร้อน
กระนั้นฉินมู่ก็เดินเข้าไปในป่าโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสักนิด ยิ่งไปกว่านั้น ทารกหัวโตก็ยังคงดูดกลืนไฟนรกเข้าไปอย่างลิงโลด และไฟนรกก็ไหลบ่าเข้ามาราวกับเส้นบะหมี่หายเข้าไปในปากของเขา เขาฮุบงับด้วยความสมใจ
เจ้านี่จะไม่มีจุดอ่อนเลยสักนิดหรือ ความกลัวคืบคลานเข้ามาในหัวใจของเขา
ทันใดนั้น ก็มีใครบางคนเดินไปด้วยความยากลำบากอยู่ในป่าอนุสาวรีย์ตรงหน้า และมันก็คือดวงวิญญาณที่ถูกห้อมล้อมไว้ด้วยไฟนรก ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวในเพลิงไฟ และปาก เบ้าตา และหูของเขา ก็ล้วนแต่เป็นรูดำโหวง เขาดูเหมือนจะกำลังกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
“นี่คือราชาสวรรค์อวี่อ้าน”
ผู้พิทักษ์วิญญาณซ้ายกล่าว “ราชาสวรรค์อวี่อ้านเป็นเทพเจ้าจากเมื่อหนึ่งล้านปีก่อน เขาเป็นแม่ทัพหน่วยองครักษ์ขนนกไพรแห่งสภาสวรรค์หลงฮั่น เขาเป็นเทพเจ้าที่ดูแลด้านการเหาะเหินเดินอากาศ และเดิมทีเขาเป็นนกยูงยักษ์ก่อนฟ้าดิน แต่เพราะว่าเขาชมชอบจะกลืนกินครึ่งเทพและสิ่งมีชีวิตอ่อนแอ เขาสามารถกลืนกินผู้คนเป็นล้านได้ด้วยคำเดียว และดังนั้นจึงก่อบาปอันหนักหน่วง นี่จึงเป็นเหตุให้เขาถูกตรึงสะกดเอาไว้ในด่านกุญแจหยกหลังจากที่ถึงแก่ความตาย และเป็นเหตุให้เขาต้องเดินท่องไปในป่าอนุสาวรีย์ทั้งทิวาและราตรี เขานั้นได้ทนทรมานจากไฟนรกมาเป็นเวลาหนึ่งล้านปี เขาเดินดุ่มในป่านี้มาโดยตลอด แต่ไม่ว่าเขาจะเดินไปกี่ปีต่อกี่ปี เขาก็ไม่อาจออกไปได้จนกว่าจะถึงวันที่บาปกรรมของเขาจะถูกชดใช้ไปจนสิ้น และสิ่งที่รอเขาอยู่ข้างหน้าก็คือถูกภูติบดีกลืนกินเข้าไป” หลังจากที่เขากล่าว เขาก็เหลือบมองไปทางฉินมู่
ฉินมู่กล่าวอย่างเคารพนับถือ “ภูติบดีนั้นเที่ยงธรรมในการให้รางวัลและลงโทษ เขานั้นไร้ความลำเอียง เรื่องนี้เขาจัดการไปอย่างไร้ที่ติ”
ผู้พิทักษ์วิญญาณซ้ายคิดในใจ เจ้าทำเรื่องชั่วช้ามากมายขนาดนี้ เจ้าไม่กลัวหรืออย่างไร
แน่นอน เขาไม่กล้าพูดออกไปตรงๆ
เขาเดินต่อไปข้างหน้า และเขาพบกับบุคคลอีกผู้หนึ่ง มันเป็นจิตวิญญาณดั้งเดิมของครึ่งเทพ เขานั้นกำลังแบกภูเขาและเดินไปในไฟนรก เขาถูกแผดเผาจนกระทั่งคร่ำครวญหวนไห้ด้วยความเจ็บปวด
“นี่คือสเยอู๋ฉี องค์ชายรัชทายาทแห่งสภาสวรรค์หลงฮั่น เขาเป็นยอดฝีมือที่มีสายเลือดของจักรพรรดิฟ้าและจักรพรรดินีฟ้า เมื่อเขาเติบโตขึ้นเต็มวัย กำลังฝีมือของเขาก็แข็งแกร่งเทียบเท่ากับยอดฝีมือบัลลังก์จักรพรรดิ ดังนั้นเขาจึงก่อกบฏและหมายแย่งชิงบัลลังก์ หลังจากที่เขาตายไป เขาถูกตรึงสะกดเอาไว้ที่นี่” ผู้พิทักษ์วิญญาณซ้ายกล่าว
“ครึ่งเทพ บัลลังก์จักรพรรดิ?”
ทารกหัวโตพลันน้ำลายไหลเยิ้มเหมือนน้ำตก และถูมือไปมาด้วยความตื่นเต้น ฉินมู่พลันรู้สึกว่าร่างกายของเขากลายเป็นหดสั้นลง และเขาเห็นตัวเองกำลังคลานเข้าไปหาสเยอู๋ฉีเพื่อหมายที่จะกินอีกฝ่าย
“พี่ชาย อย่าใจร้อนสิ! ไปพบท่านแม่สำคัญกว่า!”
ทารกยักษ์ถอนหายใจด้วยความเสียดาย จากนั้นฉินมู่จึงกลับมาควบคุมร่างกาย
พวกเขาเดินทางต่อไปข้างหน้า และผู้พิทักษ์วิญญาณซ้ายโม่ฉีหมีก็กล่าว “ยิ่งเทพเจ้าที่ถูกตรึงสะกดอยู่ลึกเข้าไปเท่าไร บาปกรรมของพวกเขาก็หนักหนามากเท่านั้น จากอดีตจนถึงปัจจุบัน อาชญากรตัวเอ้ทั้งหลายล้วนแต่ถูกตรึงสะกดเอาไว้ที่นี่ ไม่ว่าพวกเขาจะชั่วร้ายหรือแข็งแกร่งแค่ไหนตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อพวกเขาตายลงมาก็มีแต่จะต้องมาทนทรมานอยู่ที่นี่!” หลังจากพูดไปแล้ว เขาก็ปรายตามองฉินมู่อีกครั้ง
ฉินมู่ยังคงไม่สังเกตเห็นอะไร
“ท่านแม่ของข้าไม่ได้ทำเรื่องชั่วร้ายอะไร ทำไมนางถึงถูกตรึงสะกดเอาไว้ที่ส่วนลึกที่สุดของป่าอนุสาวรีย์”
ทารกหัวโตรู้สึกขุ่นข้อง และเขากล่าวด้วยความโมโห “เป็นความผิดของข้าทั้งนั้น ท่านแม่ไม่เกี่ยวด้วย ภูติบดีไม่เป็นธรรมเลยสักนิด หากว่าข้าจับเขาได้ ข้าจะเด็ดหัวกะขาของเขาออกมาแล้วก็กินเสีย!”
ผู้พิทักษ์วิญญาณซ้ายตัวสั่นเทิ้ม และเขาก็คิดอยู่ในใจ หมอนี่ทั้งโหดร้ายและไร้เหตุผล
พวกเขาเคลื่อนต่อไปข้างหน้า และเห็นจิตวิญญาณดั้งเดิมของยอดยุทธฝีมือแกร่งที่ถูกตรึงสะกดเอาไว้ที่นี่มากขึ้นทุกทีๆ ไม่ว่าพวกเขาจะโดดเด่นเหนือธรรมดามากสักเท่าไรตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็ยังต้องมาถูกแผดเผาทรมานด้วยไฟนรกเหมือนคนธรรมดาสามัญ
และทัณฑ์ทรมานนี้ดูราวกับไร้จุดสิ้นสุด พวกเขาไม่รู้ว่าจะถูกปลดปล่อยให้หลุดพ้นไปเมื่อไหร่
ท่านแม่ต้องทนทรมานเช่นนี้ด้วยหรือเปล่า ฉินมู่รู้สึกเศร้าใจขึ้นมาอย่างหนักหน่วง
หลังจากผ่านอนุสาวรีย์กุศลกรรมไฟนรกตั้งไม่รู้เท่าไร ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงใจกลางป่าอนุสาวรีย์
ที่นั่น อนุสาวรีย์ตั้งอยู่อย่างแน่นขนัด ถี่ยิบในระยะสี่ห้าก้าว แต่ทว่ามีจิตวิญญาณดั้งเดิมปรากฏให้เห็นไม่มากนัก
ฉินมู่รู้สึกพิศวง และเขาก็พลันเห็นแท่นจารึกหินดำที่ตั้งเรียงกันเป็นวงกลมขนาดใหญ่ วงกลมนี้มีรัศมีราวๆ ร้อยห้าสิบวา และมันก็ยังมีแท่นหินจารึกที่ตั้งเรียงกันเป็นวงซ้อนวงแล้ววงเล่าข้างในนั้น
เมื่อมองไปที่ใจกลางวงกลม มีเทพเจ้าตนหนึ่งอันมีเขาของวัวและศีรษะของเสือถูกล่ามพันธนาการเอาไว้ด้วยโซ่ดำทมิฬ ไฟนรกเผาผลาญรอบๆ กายของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน
ฉินมู่สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง และเขามองไปยังผู้พิทักษ์วิญญาณซ้าย แต่ทว่าโม่ฉีหมีมีทีท่าเหมือนกับมองไม่เห็นเทพเจ้าที่ถูกตรึงสะกด และเพียงแค่เดินอ้อมไป
ฉินมู่ยื่นมือขึ้นไปจับตัวเขายกขึ้นมาตรงหน้าและถามด้วยสีหน้าแช่มชื่น “ใต้เท้าผู้พิทักษ์ซ้าย เกิดอะไรขึ้นกับภูติบดีในป่าอนุสาวรีย์ ทำไมถึงมีภูติบดีถูกตรึงสะกดเอาไว้ที่นี่”
“อย่ามุทะลุ!”
ผู้พิทักษ์ซ้ายร้องออกมา “ข้ายอมตายเสียดีกว่าที่จะปริปากสักคำ!”
ฉินมู่โยนเขาไปให้ทารกหัวโต และฉินเฟิงชิงกอดเขาเอาไว้แน่น “น้องชายดีกับข้าจริงๆ ข้ากำลังจะกินล่ะนะ ได้เวลาหม่ำ!”
“ข้าจะพูดแล้ว!”
ฉินมู่รีบคว้าตัวเขากลับมา และฉินเฟิงชิงก็เดือดดาล เขาเงื้อกำปั้นสองข้างขึ้นมาทุบตีหัวของฉินมู่อย่างดุร้าย “น้องชายตัวร้าย! ข้าจะทุบเจ้าให้ตาย!”
“นั่นคือร่างกลับชาติของภูติบดี”
ผู้พิทักษ์วิญญาณซ้ายยังคงไม่ฟื้นจากความหวาดผวา และรีบแตะหัวตนเองไปๆ มาๆ เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อพบว่าหัวของเขายังคงติดกับบ่าดี “ระหว่างช่วงต้นๆ ของยุคสมัยหลงฮั่น ภูติบดีได้กลับชาติลงไปเกิดหนึ่งครั้ง และร่างนี้ก็คือเขาที่กลับชาติไปเกิด”
ใบหน้าของฉินมู่ฟกช้ำไปหมด และเขาใช้ทักษะเทวะเสกสรรเพื่อลบล้างรอยช้ำพวกนั้นด้วยการเพิ่มพูนการไหลเวียนโลหิต เขาถามด้วยความสงสัย “งั้นทำไมภูติบดีถึงตรึงสะกดร่างกลับชาติของเขาเอาไว้ที่นี่”
ผู้พิทักษ์วิญญาณซ้ายกล่าว “ข้าเกิดขึ้นมาในช่วงยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง ข้าจะไปรู้เรื่องราวดึกดำบรรพ์อย่างนั้นได้อย่างไร”
ฉินมู่หิ้วตัวเขาขึ้นมาอีกครั้ง และผู้พิทักษ์ซ้ายก็รีบบอก “ข้าจะพูดแล้ว! ข้าจะพูดหมดทุกอย่าง ปล่อยข้าได้ไหม”
ฉินมู่วางเขาลงไปคืน และผู้พิทักษ์วิญญาณซ้ายก็ลังเลไปครู่หนึ่ง เขาเหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะกล่าวด้วยเสียงแผ่ว “คือข้าได้ยินมาว่า…ข้าได้ยินข่าวลือ ดังนั้นมันอาจจะไม่จริงก็ได้! อย่าเอาไปพูดต่อและอย่าบอกใครว่าเป็นข้าที่บอกเจ้าเรื่องนี้!”
ฉินมู่ผงกหัวหงึกๆ ราวไก่จิก
“ข้าได้ยินมาว่าตอนนั้นภูติบดีกลับชาติลงไปเกิดเป็นมนุษย์ก็เพราะว่าเขาต้องการจะค้นหาวิธีการที่จะก้าวข้ามตนเองไปอีกขั้น และทำให้สายเลือดของเขาสืบทอดต่อไปได้ หลังจากที่เขากลับชาติลงไปเกิด หน้าตาของเขายังเป็นเหมือนเดิม แต่เขามีร่างกายอันประกอบจากเลือดและเนื้อ จากนั้นเขาก็พบว่าเขามีเจ็ดอารมณ์และหกความปรารถนา แต่เพราะว่าเขาอัปลักษณ์…”
ผู้พิทักษ์ซ้ายลังเลอยู่ครู่หนึ่งและถามอย่างน่าเวทนา “เจ้าจะไม่เอาไปแพร่งพรายต่อแน่นะ?”
“ไม่ต้องห่วง!”
ฉินมู่ตบหน้าอกตนเองผางและกล่าว “หากว่าข้าเอาไปเล่าต่อขอให้ข้าถูกฟ้าและดินทำลายล้าง! รีบบอกข้าเร็วเข้า!”
ฉินเฟิงชิงเองก็สงสัยใคร่รู้ และเร่งรัดเขา “แล้วเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เขาหน้าตาอัปลักษณ์”
“เพราะว่าเขาอัปลักษณ์ จึงไม่เป็นที่ต้อนรับจากผู้คน”
ผู้พิทักษ์ซ้ายกลืนน้ำลายและรีดเร้นความกล้าหาญออกมา “ทุกๆ คนเริ่มจะโห่ร้องขับไล่เขา และมองเขาเป็นสัตว์ประหลาดมารร้าย และยังมีตัวตนบรรพกาลหลายตนที่รู้ว่าเขากลับชาติลงมาเกิด และรู้ว่านี่คือจังหวะอันดีที่จะกำจัดเขา ดังนั้นพวกเขาจึงลงมือใส่เขา แต่เพราะว่าศักดิ์ฐานะของตนเอง ภูติบดีไม่ตอบโต้กลับไป แต่หลังจากนั้นก็มาถึงวันที่ภรรยาและบุตรสาวของเขาถูกสังหาร สันดานมารของภูติบดีก็บ้าคลั่งหลุดจากการควบคุม เขานั้นไม่ถูกหลักกฎแห่งแดนใต้พิภพจำกัดเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงแก้แค้น...”
เขาเผยสีหน้าสยดสยอง และเสียงของเขาก็แหบพร่า “ข้าได้ยินว่ามีเทพบรรพกาลมากมายที่ตกตายลงไป และครึ่งเทพที่ถูกปลิดชีวิตก็มีจำนวนนับไม่ถ้วน หลังจากภูติบดีกลับมา เขาก็ได้ตรึงสะกดร่างกลับชาติของเขาเอาไว้ และปล่อยให้ร่างกลับชาติของเขาทนทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่”