การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ 290 คิจินทั้ง 2

ตอนที่ 290 คิจินทั้ง 2

ตอนที่ 290 คิจินทั้ง 2

 

 

พอโซระได้คำแนะนำจากลูนามาเรีย เขาก็ออกเดินทางไปยังเบลก้าทันที

 

ถึงเบลก้าจะเป็นส่วนหนึ่งของคานาเรีย แต่มันก็อยู่ไกลจากอิชกะไปทางตะวันตกซึ่งกินเวลาเป็นเดือนๆ และถึงจะสามารถเดินทางได้ด้วยคราวโซราส ทว่าเวลาที่ต้องใช้ก็ยังหลายวันอยู่ดี

 

 

ในขณะเดียวกัน ทางคาการิก็กลับไปยังคฤหาสน์ของโซระที่อยู่ในเมืองอิชกะหลังตรวจสอบป่าทีทิสเสร็จ เป้าหมายของเขาในตอนนี้คือการตรวจสอบมนุษย์และอาหารภายในเมือง

 

ส่วนคนที่นำทางเขาในคราวนี้ก็คือซูซูเมะ

 

 

สำหรับซูซูเมะ คาการิคือคิจินคนแรกที่เธอเคยเจอนอกเหนือจากพ่อแม่ของเธอ เนื่องจากเธอใช้ชีวิตอยู่ภายในป่ามานานจึงทำให้มนุษย์สัมพันธ์กับคนอื่นไม่ค่อยดีนัก แต่อย่างน้อยเธอก็แสดงออกมาว่าสนใจในตัวเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์

 

 

โชคดีว่าได้คนอย่างคาการิที่มีนิสัยร่าเริงพูดคุยง่าย เขาจึงเป็นฝ่ายเปิดประเด็นกับซูซูเมะก่อน การสนทนาของทั้งสองก็เลยลื่นไหลไปตามที่ควร

 

 

 

「อาหารของพวกมนุษย์นี่อร่อยชะมัน! ถึงที่ไซโตะจะอร่อยก็จริง แต่บอกตามตรงเทียบกับเมืองนี้ไม่ได้เลยสักนิด」

 

 

ในมือขวาของคาการิถือปลาย่างเสียบไม้ ส่วนมือซ้ายถือพายผลไม้อยู่ ทางซูซูเมะที่เห็นแบบนั้นก็ถามกลับ

 

 

 

 

「ขนาดนั้นเลยเหรอคะ? 」

 

 

「แน่นอนสิ ความอร่อยของร้านข้างทางที่นี่ มันเทียบเท่าของที่พวกราชวงศ์กินกันเลยนะ」

 

พอพูดจบเขาก็เปิดปากยัดพายเข้าไปทีเดียวเกินกว่าครึ่ง

 

 

แน่นอนว่าปลาย่างอีกมือหนึ่งของเขาก็ไม่ต่างกัน เขาเคี้ยวมันไปจนถึงกระดูกก่อนจะยิ้มออกมา

 

 

 

「ความเค็มของปลามันโดดขึ้นมาหลังทานของหวานเข้าไปจริงๆ ด้วย นี่แหละนะส่วนผสมที่ลงตัว」

 

 

เขาพูดออกมาด้วยดวงตาที่เปล่งประกายราวกับเด็กน้อย ซูซูเมะที่เห็นก็อดยิ้มไม่ไหว

 

 

ในมุมของเธอแล้ว คาการิมีอายุมากกว่าเธอ 2 ปีก็จริง แต่ท่าทางที่เขาแสดงออกมาไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยสามหน่อที่อยู่กับเธอ

 

ชวนให้นึกว่าเธอกำลังมีน้อยชายเพิ่มมาอีกหนึ่งคน

 

 

แล้วเธอก็เริ่มนึกถึงช่วงเวลาที่โซระพาเธอออกมาจากป่า ซูซูเมะในสมัยนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับคาการิในตอนนี้เลย ดวงตาของเธอเป็นประกายเมื่อได้เห็นเมืองและผู้คนมากมาย

 

 

 

เธอจึงได้บอกคาการิถึงสิ่งที่เธอคิด

 

 

 

「ตอนที่ฉันออกมาจากป่าครั้งแรก ฉันก็สภาพไม่ต่างอะไรกับคุณเลยนะคะ」

 

 

「ซูซูเมะเองก็อาศัยอยู่ในป่ามาตั้งแต่เกินนี่เนอะ พอมาเจอเมืองแบบนี้เข้าก็คงประหลาดใจอยู่แล้ว」

 

 

 

หลังจากสิ้นคำพูดนั้น คาการิก็เริ่มพูดเหมือนเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องราวของซูซูเมะ

 

 

 

「ข้าได้ยินมาจากโซระว่าคิจินที่ทวีปหลักถูกข่มเหงจากพวกมนุษย์มากเลยนี่ เจ้าคงใช้ชีวิตลำบากมากเลยสินะ? 」

 

 

 

「ไม่หรอกค่ะ เพราะมีคุณโซระ คุณชีล คุณลูนามาเรียคอยปกป้องฉันมาตลอด…」

 

 

ก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ ตั้งแต่เธอมายังเมืองอิชกะเธอก็แทบไม่ได้รับอันตรายใดๆ เลยจากการที่เธอเป็นคิจิน

 

 

จริงอยู่ว่าเธอยังสวมหมวกที่โซระซื้อมาให้ไว้สำหรับปกปิดเขาตัวเอง แต่เหตุผลที่เธอสวมก็เพราะชอบเฉยๆ ไม่ได้หมายความว่าเธอจะเดือดร้อนหากไม่สวมมันออกไปไหนมาไหน

 

คงต้องบอกว่าไม่แปลกอะไร เพราะเธอเองก็เป็นคนของแคลนดาบควันโลหิต แถมยังเป็นผู้ที่ค้นพบผลจิไรอาโอคุสซึ่งมีพลังในการชำระล้างพิษมาสู่คานาเรีย คานาเรียจึงติดหนี้เธออยู่มาก

 

 

การเข้าไปยุ่งกับเธอก็ไม่ต่างอะไรกับการทำตัวเป็นศัตรูกับดราก้อนสเลเยอร์และคานาเรีย ความปลอดภัยของซูซูเมะเลยสูงเอามากๆ

 

นอกจากนี้เธอยังเรียนรู้เวทมนตร์จากมิโรสลาฟ ศาสตร์การต่อสู้จากนักบวชซาร่า ออกไปรับเควสมากมายกับชีล แม้จะมีพวกไร้สมองมากวนใจเธอก็แกร่งพอจะรับมือกับพวกเขาได้ด้วยตัวเอง

 

 

 

 

「…ถึงอย่างงั้นฉันก็ยังห่างไกลจากคุณโซระหลายขุม」

 

 

ซูซูเมะพูดออกมาก่อนจะถอนหายใจ

 

 

 

เธอไม่ได้สงสัยเลยว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้นจริงๆ นับตั้งแต่โซระจากเธอไปยังเบลก้า

 

 

เธอไม่ใช่สิ่งที่จะต้องคอยรับแต่การปกป้องอีกแล้ว

 

แต่ถ้าถามว่าเธอมีประโยชน์อะไรกับโซระหรือไม่ก็คงต้องบอกว่าไม่มี

 

การเติบโตของโซระนั้นน่าทึ่งมาก ไม่ว่าซูซูเมะจะพยายามสักแค่ไหน ช่องว่างมันก็ไม่แคบลงเลย ไม่สิห่างยิ่งกว่าเดิมอีก

 

แน่นอนว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เธอหยุดความพยายาม แต่บางครั้งในใจมันย่อมเกิดความรู้สึกที่เหมือนกับตนกำลังหมายจะคว้าจันทราอยู่ ความรู้สึกนี้นอกจากเธอก็ยังมีชีลที่เป็นเหมือนกัน บางครั้งพวกเธอก็มักจะพูดคุยถึงเรื่องนี้ให้กันฟังภายในห้องพัก

 

พวกเธอไม่ได้บ่นให้กับโซระแต่บ่นให้กับความไร้พลังของตัวเอง

 

 

คาการิที่ฟังก็เอียงหัวสงสัย

 

 

 

 

「หลายขุมเหรอ? ข้าว่าไม่น่าจะใช่นะ」

 

 

 

「……เอ๋? 」

 

 

「จริงอยู่ว่าโซระเป็นคนที่สุดยอด แต่ตัวเจ้าเองก็ไม่แพ้กัน เจ้าน่ะได้พบกับอนิม่าตัวเองแล้วใช่ไหม หากเป็นเช่นนั้นก็เหลือแค่ต้องควบคุมมันให้เชี่ยวชาญก็พอ」

 

 

 

หากสามารถใช้อาภรณ์วิญญาณได้ ช่องว่างระหว่างโซระก็จะน้อยลงทันที น้ำเสียงของคาการิชี้ได้เห็นว่าซูซูเมะมีความเป็นไปได้มากพอจะทำเช่นนั้น

 

 

ทว่าสำหรับตัวเองเธอมันค่อนข้างเชื่อได้ยาก ยิ่งเป็นการได้มาซึ่งอนิมาที่ชีลและตัวเธอพยายามฝึกฝนมาโดยตลอด จนถึงตอนนี้กลับไม่รู้สึกว่าเข้าใกล้เลยสักนิด

 

เธอจึงถามด้วยความสับสน

 

 

 

「เอ่อ คือ ที่บอกว่าฉันเข้าถึงอาภรณ์วิญญาณได้แล้วหมายความว่ายังไงกันคะ? 」

 

 

「ข้าก็หมายความตามที่ว่าเลยนะ หรือจะบอกว่าเจ้าไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งที่ตนได้รับมาเลยหรือ? หื้ม นั่นสินะ…เอาเป็นว่าเจ้าเคยฝันถึงคิจินดวงตาสีแดงหรืออะไรทำนองนั้นมาพูดคุยกับเจ้าบ้างหรือเปล่า? 」

 

 

 

「ก็เคยนะคะ」

 

เธอบอกไปตามตรง เพราะคำพูดของคาการิมันตรงกับหญิงสาวที่มีดวงตาสีแดงซึ่งปรากฏในความฝันของเธอเลย เรื่องนี้เธอก็เลยเล่าให้โซระฟังก่อนไปเบลก้าเหมือนกัน

 

 

 

ในตอนนั้นโซระบอกว่ามันอาจจะเป็นเทพปีศาจ หรืออะไรทำนองนั้นก็ได้ แต่เพราะข้อมูลมีไม่เพียงพอจึงไม่สามารถจับต้นชนปลายได้นัก

 

 

 

นอกจากนี้ เธอคนนั้นที่โผล่มาในความฝันก็ไม่ได้พูดอะไรกับเธอ ไม่ได้ทำอะไรกับเธอเลย ใช่แล้วเธอคนนั้นแค่ยืนอยู่เฉยๆ

 

 

 

ทว่าเมื่อคาการิผู้เป็นคิจินและผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณเหมือนกับเธอพูดขึ้น เธอจึงคิดว่ามันน่าจะพอมีเค้าลางแล้ว

 

 

จากนั้นเธอจึงเริ่มตั้งสติใหม่และถามกับคาการิต่อ

 

 

 

 

 

「แต่ว่า…ที่ฉันเคยเห็น เธอคนนั้นแค่ยืนมองดูเฉยๆ นะคะ จะใช่เหรอ? 」

 

 

 

「อืม ข้าเดาว่ามันก็แล้วแต่คนไปแหละนะ แต่ว่าที่ข้าบอกได้เลยก็คืออนิม่าภายในตัวของเจ้านั้นน่าจะอยู่ระดับเดียวกับข้า」

 

 

 

อนิม่าของคาการินั้นคือโทเท็ตสึซึ่งว่ากันว่าเป็นอนิม่าที่มีความใกล้ชิดกับเทพปีศาจชียูมากที่สุดตนหนึ่ง

 

 

เป็นที่รู้กันดีภายในคิไคว่ายิ่งอนิม่าของผู้ใดมีความใกล้ชิดกับเทพปีศาจมากพลังของอาภรณ์วิญญาณก็จะแกร่งขึ้นตามไปด้วย และเป็นที่รู้กันดีอีกว่าคิจินสาวซึ่งมีเขามากกว่าคิจินชายจะมีพลังเวทภายในร่างสูงกว่า

 

 

สัญชาตญาณของคาการิบอกเขาว่า หากซูซูเมะสามารถเชี่ยวชาญในการใช้มันได้ เธอจะกลายเป็นนักรบที่แข็งแกร่งเทียบเคียงกับเขา บางทีเธออาจจะไปถึงระดับของอาโทริผู้นำกลุ่มเก็นโซที่จัดการผนึกงูเมื่อ 300 ปีก่อนก็ได้

 

 

 

แม้ในใจเขาจะคิดว่าเป็นเรื่องยากที่หญิงสาวผู้อ่อนโยนอย่างซูซูเมะจะสามารถมาถึงจุดที่เขากับโซระอยู่ได้ ทว่าในอดีตก็เคยมีคนอย่างอาโทริมาแล้วดังนั้นความเป็นไปได้บนโลกนี้ย่อมไร้ขีดจำกัด

 

 

คาการิคิดกับตัวเอง

 

เพราะยังไงเขาก็อยากจะสู้กับคนที่เก่งๆ อยู่แล้ว หากมีโอกาสจะปั้นซูซูเมะมาเป็นคู่มือในอนาคตได้ เขาก็พร้อมจะให้คำแนะนำและฝึกฝนเธอ

 

 

นอกเหนือจากความปรารถนาดีที่อยากให้เพื่อนร่วมเผ่าเก่งขึ้น เขาก็อยากจะทำหน้าที่ในฐานะคนของราชวงศ์ด้วย

 

 

 

ก็อย่างที่เขาพูดกับโซระไป ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนซูซูเมะก็สนใจในตัวของโซระ การที่ผลักดันและทำให้เธอสามารถผูกสัมพันธ์ได้จริง ก็จะเป็นประโยชน์กับเขามากมาย การอพยพของพวกคิจินก็คงลื่นไหลขึ้นด้วย

 

แน่นอนว่าเขาจะไม่เอาเรื่องนี้ไปคุยกับซูซูเมะ เพราะมันเป็นเรื่องหน้าไม่อายมากที่คิดจะใช้ความรักอันบริสุทธิ์ของสาวน้อยมาหาผลประโยชน์นั่นคือสิ่งที่คาการิคิด

 

 

ทว่าปัญหาก็คงจะอยู่ที่ตัวโซระนั่นแหละ คาการิเลยอดไม่ได้ที่จะบอกเรื่องนี้กับเขาไปตรงๆ เพราะดูจากทรงโซระไม่ได้รู้สึกตัวหรืออยากทำอะไรให้มันจริงจังในเรื่องนี้นัก เขาก็ได้แต่หวังว่าสิ่งที่เขาพูดไปตอนนั้นจะทำให้โซระรู้สึกถึงซูซูเมะมากขึ้น

 

ว่าแล้วเขาก็หัวเราะออกมาเมื่อนึกถึงใบหน้าของโซระที่รู้ว่าซูซูเมะนั้นชอบตนขณะอยู่ในห้องอาบน้ำ

 

 

ซูซูเมะที่เห็นคาการิหัวเราะออกมา ก็ได้แต่ยืนสงสัย

 

——-

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

Score 10
Status: Completed
ตระกูลมิตสึรุกิได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่สำคัญในการปกป้องประตูปีศาจจากองค์จักรพรรดิ โซระ มิตสึรุกิ ผู้เกิดมาเป็นลูกชายคนโตของตระกูล กำลังตั้งตารอพิธีตัดสินในปีที่เขาอายุครบ13ปี การทดสอบที่จำเป็นต้องเอาชนะให้ได้เพื่อเรียนรู้วิชาดาบเดียวมายาซึ่งสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นภายในตระกูลมิตสึรุกิ พี่น้องของเขาทั้งหมดนั้นต่างก็ผ่านบททดสอบดังกล่าว จะเหลือก็เพียงโซระ บัดนี้พ่อ น้องชาย คู่หมั้น และญาติของเขาก็ต่างจับจ้องไปยังโซระที่จะเริ่มทดสอบกันอย่างเคร่งขรึม

Options

not work with dark mode
Reset