บทที่ 414 เตรียมพร้อม
บรรยากาศเคร่งเครียด ทุกคนมีสีหน้าเศร้าหมอง
จังหยวนจื่อและผู้อาวุโสจากสำนักวัชระวางแผนเอาไว้เป็นอย่างดี พวกมันอยากจะเข้ายึดครองทุกสำนักที่อยู่รอบภูเขาคุนหลุน ไม่เว้นแม้แต่ตระกูลหยานกับหอกระจกนิรันดร์
อันที่จริง เนื่องจากตระกูลหยานมีความสัมพันธ์อันดีงามกับจอมมารฉู่ชวิ๋น พวกมันจึงไม่กล้ากดดันตระกูลหยานมากเกินไป จึงเลือกที่จะบุกโจมตีหอกระจกนิรันดร์และสำนักอื่นๆ ก่อน แล้วค่อยอาศัยจังหวะทีเผลอบุกเข้าโจมตีตระกูลหยานโดยไม่ทันให้ตั้งตัว เมื่อจอมมารฉู่ชวิ๋นรับทราบข่าว ก็สายเกินไปที่จะมาช่วยผู้คนได้ทันแล้ว
แต่ไม่คาดคิดเลยว่าจอมมารฉู่ชวิ๋นกลับมาปรากฏตัวรวดเร็วถึงเพียงนี้ ทำให้แผนการที่พวกมันวางเอาไว้พังทลายไม่เหลือชิ้นดี
จินเฉิงมีสีหน้าสับสน มันมองหน้าจังเฟิงหลิงแล้วถามว่า “คุณชายจาง ในเมื่อจอมมารฉู่ชวิ๋นฆ่าทุกคน แล้วทำไมมันถึงปล่อยคุณมาแบบนี้ล่ะ?”
จังหยวนจื่อชักสีหน้าไม่พอใจ ถลึงตาจ้องมองจินเฉิงพร้อมพูด
“หมายความว่ายังไง? หรือว่าคุณอยากให้ลูกผมโดนจอมมารฆ่าตาย?”
“นายท่านจางเข้าใจผิดไปแล้ว ในเมื่อจอมมารฆ่าทุกคน แต่กลับละเว้นคุณชายจางเอาไว้ แบบนี้มันไม่ผิดปกติเกินไปหน่อยหรือ?” จินเฉิงพูด
จังหยวนจื่อนิ่งคิดไปเล็กน้อย ก็หันมามองหน้าจังเฟิงหลิง แล้วถามว่า “เจ้าเล่าเรื่องราวให้พ่อฟังเดี๋ยวนี้ ห้ามปิดบังแม้แต่เรื่องเดียว”
จังเฟิงหลิงบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นอีกครั้ง
“ให้ตายเถอะ มันกล้าดูถูกตระกูลจังถึงขนาดนี้เชียวหรือ จอมมารฉู่ชวิ๋นโอหังมากเกินไปแล้ว” จังหยวนจื่อมีดวงตาขุ่นมัว สีหน้าเต็มไปด้วยรังสีอำมหิต
“จอมมารฉู่ชวิ๋นเป็นตัวอะไร กล้ามาฆ่าคนของสำนักวัชระเหมือนฆ่าเป็ดฆ่าไก่ตัวหนึ่ง เท่ากับรนหาที่ตายชัดๆ” จินเว่ยพูด ดวงตาเป็นประกายด้วยความโกรธแค้น
ผู้อาวุโสประจำตระกูลจังก็โกรธแค้นเช่นกัน เท่าที่ฟังเรื่องราวจากจังเฟิงหลิง จอมมารฉู่ชวิ๋นไม่เห็นตระกูลของพวกมันอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
“มันบอกด้วยนะว่าให้ผมระวังตัวเอาไว้ให้ดี วันหนึ่งเกิดมันคันไม้คันมือเมื่อไหร่ จะเดินทางมาฆ่าพวกเราให้หมด” จังเฟิงหลิงสังเกตสีหน้าของทุกคน ก่อนที่จะพูดออกไปอย่างระมัดระวัง
“จอมมารฉู่ชวิ๋น มันคิดว่าตระกูลจังไร้น้ำยางั้นเหรอ?” จังหยวนจื่อมีน้ำเสียงที่เย็นชาเป็นอย่างยิ่ง
“มันบอกด้วยนะครับว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์คิงคอง ก็เป็นแค่ลิงกลายพันธุ์เท่านั้นเอง สักวันมันจะจับพวกคุณไปอยู่ในสวนสัตว์ คอยให้คนไปเยี่ยมชมอยู่ในกรงขัง” จังเฟิงหลิงพูดต่อ
“เฮอะ…” จินเฉิงคำรามในลำคอด้วยความเดือดดาล “จอมมารฉู่ชวิ๋น เราคงอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้แล้ว ฉันจะไปฆ่าแกเอง”
“จากกำลังพลที่เราจะยกไปโจมตี ยังไงคืนนี้พวกเราก็ต้องทำลายหอกระจกนิรันดร์ได้แน่นอน เอาให้จอมมารฉู่ชวิ๋นมันรู้ไปเลยว่า ที่ภูเขาคุนหลุนแห่งนี้ ใครกันเป็นผู้ยิ่งใหญ่” จังหยวนจื่อพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
“ช้าก่อน” จินเฉิงพูดบ้าง “ตอนนี้จอมมารฉู่ชวิ๋นน่าจะยังคงเฝ้าอยู่ที่หอกระจกนิรันดร์ไม่ไปไหน”
“พี่จิน โปรดวางใจ จอมมารฉู่ชวิ๋นนับเป็นตัวอะไรกัน? ผมมีวิธีรับมือกับมันอยู่แล้ว” จังหยวนจื่อพูดด้วยความมั่นใจ
จินเฉิงมีสีหน้าประหลาดใจไม่น้อย พอๆ กับความสับสนงงงวย
“คืนนี้แหละ ภูเขาคุนหลุนจะต้องนองไปด้วยเลือด”
ผู้อาวุโสระดับสูงประจำตระกูลจังมีสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อยตอนที่พูดว่า “หรือว่านายท่านคิดจะเชิญบรรพบุรุษออกมาช่วยเหลือ?”
“ถูกต้อง ตอนนี้มีแต่เพียงท่านบรรพบุรุษของพวกเราเท่านั้น ถึงจะปราบเจ้าจอมมารนั่นได้” จังหยวนจื่อตอบ
ผู้อาวุโสประจำตระกูลจังยิ้มออกมาอย่างมีความสุข หากบรรพบุรุษตระกูลจังออกมาช่วยเหลือ ในโลกนี้พวกมันก็ไม่ต้องเกรงกลัวใครอีกแล้ว
จินเว่ยกับจินเฉิงก็มีสีหน้ายินดีเช่นกัน พวกมันรู้มานานแล้วว่าตระกูลจังมีบรรพบุรุษประจำตระกูล จึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย ว่ากันตามความจริง ถ้าพวกมันไม่รู้ว่าตระกูลจังมีผู้แข็งแกร่งซ่อนตัวอยู่ สำนักวัชระก็คงไม่ทำดีกับตระกูลจังเช่นนี้หรอก
จังเฟิงหลิงก้มหน้าต่ำ ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ ที่จริงจังหยวนจื่อสั่งให้มันไปทำลายหอกระจกนิรันดร์อย่างเดียวเท่านั้น ส่วนเรื่องการแต่งงานกับเหยาไป๋เยวี่ย เป็นเจตนาส่วนตัวของมันเองทั้งสิ้น และนั่นก็ทำให้คนของสกุลจังกว่า 150 คนต้องตกตายไปอย่างน่าอนาถ มันรู้สึกสำนึกผิดจนไม่กล้าพูดอะไรมาก
ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องที่มันเคยส่งคนแฝงตัวเข้าไปในวังมังกรเพลิงของฉู่ชวิ๋นเพื่อทำร้ายผู้คน จังเฟิงหลิงก็ไม่เคยบอกใครทั้งนั้น
เรื่องราวเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องที่พูดออกไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นแล้ว นายน้อยประจำตระกูลจังคงถูกจับถลกหนังทั้งเป็นแน่นอน
……
สุสานบรรพบุรุษของตระกูลจังเป็นอุโมงค์ใต้ดินที่มีเส้นทางวกวนราวกับเขาวงกต บนกำแพงจุดเทียนไขให้แสงสว่างจำนวนนับไม่ถ้วน กลิ่นของการเผาไหม้ลอยฟุ้งในอากาศ อุณหภูมิในอุโมงค์ค่อนข้างสูง แต่ทุกคนกลับรู้สึกหนาวเย็นขึ้นมาอย่างประหลาด…
จังหยวนจื่อเดินนำกลุ่มผู้อาวุโสเข้าไปในอุโมงค์ และเริ่มต้นพิธีกรรมคำนับบรรพบุรุษ
เมื่อเสร็จสิ้นพิธีแล้ว จังหยวนจื่อก็เดินไปยังแท่นหินซึ่งเป็นฐานบูชาวิญญาณบรรพบุรุษ สีหน้าของมันเต็มไปด้วยความเคารพอ่อนน้อม ค่อยๆ หันเชิงเทียนที่ตั้งอยู่บนแท่นบูชาไปยังด้านข้างอย่างแช่มช้า
ครืด!
กำแพงหินที่อยู่ด้านหลังแท่นบูชาแยกตัวออกจากกันอย่างเชื่องช้า กลายเป็นประตูที่เปิดโล่งบานหนึ่ง
จังหยวนจื่อเดินนำทุกคนผ่านประตูหินเข้าไป เสียงฝีเท้าของพวกมันกึกก้องไปทั่วอุโมงค์ทางเดินอันว่างเปล่า ไม่ว่ามองไปทางไหนก็เจอแต่กำแพงหินทั้งสิ้น ในอุโมงค์นี้มีเส้นทางวกวน สุดท้ายก็พากันเดินออกมายังพื้นที่โล่งกว้าง บนพื้นมีแต่ใบไม้แห้งกองทับถมกันอยู่เป็นจำนวนมาก
สายลมยามราตรีพัดมาปะทะผิวกาย ใบไม้แห้งปลิวว่อน บรรยากาศชวนขนลุก
จังหยวนจื่อเดินนำผู้คนก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะหยุดเท้าอยู่บริเวณกลางลานโล่ง แล้วสั่งให้ทุกคนคุกเข่าลง
“จังหยวนจื่อ ขอเข้าพบบรรพบุรุษขอรับ!”
เสียงของมันก้องกังวานไปทั่วหุบเขาอันเงียบสงัด
ผู้อาวุโสตระกูลจังไม่มีใครกล้าเงยหน้ามองเลยสักคน
เสียงกังวานเงียบไปแล้ว ยังคงไม่มีใครตอบคำใดกลับมา
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า บรรพบุรุษประจำตระกูลก็ยังคงไม่ปรากฏตัว
“ท่านบรรพบุรุษขอรับ ตอนนี้ตระกูลจังกำลังมีปัญหา ต้องการความช่วยเหลือจากบรรพบุรุษอย่างเร่งด่วน” จังหยวนจื่อพูดออกมาอีกครั้ง
เสียงของมันดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณอีกครั้ง
คราวนี้มีเสียงตอบรับกลับมาเป็นเสียงถอนหายใจยาวแรง แต่ก็ทำให้ทุกคนขนลุกเกรียว รู้สึกหนาวสั่นไปทั้งกาย
“พวกเจ้าดูสบายดีกันทุกคน แล้วตระกูลจังจะพบเจอปัญหาได้อย่างไร?” เสียงพูดนั้นเหมือนจะดังกังวานมาจากทุกทิศทุกทาง ไม่สามารถจับได้เลยว่าต้นเสียงดังมาจากทางไหน รู้เพียงอย่างเดียวว่าคนพูดมีความหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย
จังหยวนจื่อและผู้อาวุโสทั้งหลายถึงกับตัวสั่นแล้ว
“ท่านบรรพบุรุษได้โปรดใจเย็นก่อน ขณะนี้มีคนจากโลกภายนอกชื่อว่าจอมมารฉู่ชวิ๋น มันเป็นคนที่โหดร้ายอำมหิตอย่างที่สุด วันนี้มันถึงกับฆ่าคนตระกูลจังไป 150 คน ผู้น้อยละอายใจเป็นอย่างยิ่ง ผู้น้อยไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน ได้โปรดบรรพบุรุษช่วยเหลือด้วย”
“จอมมารฉู่ชวิ๋นอย่างนั้นหรือ?” เสียงลึกลับตอบกลับมาด้วยความมึนงง
“เรียนท่านบรรพบุรุษ มันผู้นี้เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาเมื่อ 20 กว่าปีก่อน มันกวาดล้างสำนักในยุทธภพไปจำนวนนับไม่ถ้วน มือของมันเต็มไปด้วยเลือดผู้บริสุทธิ์ บัดนี้มันมาเหยียดหยามตระกูลจังหลายต่อหลายครั้ง ซ้ำยังฆ่าคนของเราไปอีกไม่น้อย”
“มีชื่อเสียงเมื่อ 20 กว่าปีก่อน? แล้วตอนนี้มันอายุเท่าไหร่?”
“น่าจะ 40 กว่าปีได้แล้วครับ” จังหยวนจื่อตอบอย่างไม่มั่นใจ
“ใช้ไม่ได้!” บรรพบุรุษตระกูลจังคำรามออกมาด้วยความโกรธแค้น “จังหยวนจื่อ เจ้ามีอายุอานามเท่าไหร่แล้ว แต่กลับไม่สามารถรับมือคนหนุ่มอายุ 40 กว่าปีได้เลยหรือ?”
“เรียนท่านบรรพบุรุษ มีข่าวลือว่าจอมมารฉู่ชวิ๋นมันได้ครอบครองคัมภีร์ความลับฟ้า จึงมีฝีมือทัดเทียมสวรรค์ ไม่มีใครสามารถต่อกรกับมันได้เลยขอรับ”
“คัมภีร์ความลับฟ้า? มีของแบบนั้นอยู่ด้วยหรือ?” บรรพบุรุษตระกูลจังกระซิบกระซาบ หลังจากนั้นก็พูดออกมา “ตกลง ข้าจะช่วยเจ้า”
จังหยวนจื่อลิงโลดเป็นอย่างยิ่ง แต่พยายามไม่แสดงสีหน้าออกมา มันรู้ดีอยู่แล้วว่าต้องทำอย่างไร บรรพบุรุษประจำตระกูลถึงจะยอมออกไปสู้กับจอมมารฉู่ชวิ๋น
“ฉู่ชวิ๋น คราวนี้แกไม่รอดแน่” จังหยวนจื่อก้มหน้าต่ำ แอบยิ้มออกมาโดยไม่มีใครเห็น
……
ดึกสงัด ดวงจันทร์สีเงินลอยอยู่บนฟ้า ดวงดาราปกคลุมทั่วท้องนภา
ฉู่ชวิ๋นที่กำลังนั่งทำสมาธิพลันลืมตาขึ้นมา ก่อนที่จะมุดออกไปนอกเต็นท์ และกวาดสายตามองรอบบริเวณ
ภายใต้แสงจันทร์ส่องสว่าง คนกลุ่มหนึ่งเคลื่อนตัวเหมือนเมฆดำ มุ่งหน้ามายังหอกระจกนิรันดร์
ตอนนั้นเอง คนอีกสองคนก็มุดออกมาจากเต็นท์และมายืนอยู่ด้านหลังฉู่ชวิ๋น ที่แท้ก็เป็นหลงอี้กับหลงเอ้อร์นั่นเอง
ไม่นานต่อมา หยานกุยล๋ายกับผู้อาวุโสประจำตระกูลก็รู้สึกตัว และเดินออกมาสมทบกับพวกเขา
“แม้แต่ไอ้จังหยวนจื่อหัวหน้าตระกูลจังมันก็มาด้วยแฮะ” หยานกุยล๋ายประหลาดใจไม่น้อยเมื่อเห็นผู้นำของฝ่ายตรงข้าม
“หรือมันไม่รู้ว่าจอมมารฉู่ชวิ๋นยังอยู่ที่นี่? เหตุไฉนมันถึงกล้าโผล่หัวมาอย่างนี้?” ผู้อาวุโสประจำตระกูลหยานรำพึง
หยานกุยล๋ายหันไปมองหน้าคนพูด แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงภูมิใจในตัวเองว่า “แค่ได้ยินว่าจอมมารอยู่ที่นี่พวกมันไม่เกรงกลัวหรอก ถ้าพวกมันได้ยินว่าตระกูลหยานอยู่ที่นี่ด้วยเมื่อไหร่ มีหวังได้หวาดกลัวจนอุจจาระปัสสาวะพรั่งพรูแน่นอน”
ผู้อาวุโสประจำตระกูลหยานหันหน้าไปทางอื่น มีสีหน้าประหลาดพิกล พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าผู้เป็นหัวหน้าตระกูลจะหลงตัวเองขนาดนี้
คนของหอกระจกนิรันดร์ก็รู้ตัวแล้วว่าตระกูลจังกลับมาแล้ว เนื่องจากพวกตระกูลจังไม่ได้ปิดบังการมาถึงของพวกมันเลย
ปี๋เค่อหยุนเดินออกมาพร้อมด้วยกลุ่มผู้อาวุโส เฝ้ามองคนตระกูลจังขี่ม้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ตอนแรกสีหน้าของนางก็เคร่งเครียด แต่เมื่อเห็นพวกของฉู่ชวิ๋นกับหยานกุยล๋ายยืนอยู่ในที่ไกลๆ สีหน้าของนางก็ผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง
“เจ้าสำนักปี๋ ไม่เจอกันเสียนาน ยังสวยเหมือนเดิมเลยนะ” จังหยวนจื่อนำขบวนของตัวเองมาหยุดห่างออกไปประมาณ 100 เมตร และเริ่มต้นกล่าวทักทายเสียงดัง
ปี๋เค่อหยุนตอบกลับไปอย่างเย้ยหยันว่า “ไม่ได้เจอหัวหน้าตระกูลจังเสียนาน แต่ดูเหมือนเจ้าจะชั่วร้ายมากกว่าเดิมเสียแล้ว พาคนมาที่หอกระจกนิรันดร์ดึกดื่นเยี่ยงนี้ มีจุดประสงค์ใดกันแน่?”
“เราก็แค่อยากมาเด็ดดอกไม้งามเท่านั้นเอง” ผู้อาวุโสตระกูลจังตะโกนตอบ
คำตอบของมันทำให้พวกเดียวกันระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น
คนของหอกระจกนิรันดร์โกรธแค้น พวกเธอทั้งโกรธแค้นและอับอาย
“ตระกูลจังคงอยู่คู่ยุทธภพมานานหลายพันปี แต่เพียงแค่เปิดปากออกก็พ่นถ้อยคำหยาบคายออกมาแล้ว นับได้ว่าสันดานต่ำช้ายากที่จะแก้ไขได้จริงๆ” ปี๋เค่อหยุนตัวสั่นด้วยความบันดาลโทสะ
จังหยวนจื่อขยับมาข้างหน้าและพูดว่า “เจ้าสำนักปี๋ เราไม่ได้ตั้งใจมาสู้กับคุณ วันนี้คนของตระกูลจัง 150 คนตายภายในหอกระจกนิรันดร์ เรามาคุยเรื่องนี้กันดีกว่า”
“จังหยวนจื่อ ในเมื่อได้ขึ้นเป็นถึงหัวหน้าตระกูลแล้ว ทำไมถึงได้ทำตัวไร้ยางอายอยู่เช่นเดิมอีก ตระกูลจังส่งคนมาโจมตีหอกระจกนิรันดร์ พวกข้าเพียงแค่ป้องกันตัวเอง ยังจะมีหน้ามาพูดดีอีกรึ”
จังหยวนจื่อมีแววตาแข็งกระด้างมากขึ้น หัวเราะเยาะตอบกลับไปว่า “เจ้าสำนักปี๋ ฉันจะไม่พูดจาเยิ่นเย้อ ถ้าหอกระจกนิรันดร์ยอมสิโรราบต่อตระกูลจัง เรื่องที่คนของฉันถูกฆ่าตายไปจะถือว่าเลิกแล้วต่อกัน ไม่อย่างนั้น ในค่ำคืนนี้ก็จะไม่มีหอกระจกนิรันดร์อยู่อีกต่อไป”
“ไอ้หมอนี่มันเก่งแต่กับผู้หญิงจริงๆ วุ้ย” หยานกุยล๋ายพึมพำออกมา ก่อนส่งเสียงตะโกน “หัวหน้าตระกูลจัง พาพรรคพวกมาซะเยอะแยะเชียวนะ เพียงแค่จะมาทำร้ายผู้หญิงตอนกลางคืน ต้องพาคนมาเยอะขนาดนี้เชียวหรือ? นี่เป็นสิ่งที่คนดี ๆ ควรทำกันหรือไง รู้ตัวบ้างไหมว่ากำลังทำอะไรอยู่?”
ดวงตาของจังหยวนจื่อลุกโชนด้วยไฟโทสะ แต่ก็แกล้งทำเป็นประหลาดใจ เหมือนกับเพิ่งจะเห็นการมีตัวตนอยู่ของหยานกุยล๋าย พูดว่า “อ้าว หัวหน้าตระกูลหยานก็มาอยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกันหรือนี่ จะมัวหลบซ่อนตัวอยู่ทำไมเล่า? เล่นมุดหัวอยู่ในรูแบบนั้น ผู้ใดจะไปมองเห็นได้”
หยานกุยล๋ายใบหน้ากระตุก จ้องมองจังหยวนจื่อ คำรามลั่น
“ซ่อนตัวน่ะสิดีแล้ว พวกเรากำลังออกมาล่าสัตว์ ตอนที่พวกนายมาถึง ฉันคิดว่าเป็นพวกฝูงสุนัขเร่ร่อนด้วยซ้ำไป ต้องขออภัยด้วยที่ไม่ได้ทักทายตั้งแต่แรก”
กลุ่มคนตระกูลจังกัดฟันกรอดด้วยความเดือดดาล
“ต้องขอโทษจริง ๆ หัวหน้าตระกูลจัง ตอนนี้มันมืดเกินไปแล้ว จากจุดที่พวกฉันอยู่ตรงนี้ ยิ่งมองพวกนายมันยิ่งเหมือนฝูงหมาเรร่อนไม่มีผิด พวกฉันเกือบจะตักน้ำไปให้กินด้วยความเวทนาเลยนะเนี่ย ไม่คิดว่าจะเป็นนายไปเสียได้ น่าผิดหวังเหลือเกิน” หยานกุยล๋ายกล่าวต่อ
เมื่อถูกเรียกขานว่าเป็นสุนัขเร่ร่อนซ้ำ ๆ ก็ไม่มีใครสามารถทนไหวอีกแล้ว อย่าว่าแต่คืนนี้ตระกูลจังเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี หัวจิตหัวใจจึงรู้สึกฮึกเหิมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
“หัวหน้าตระกูลหยาน นิสัยแอบดอดเข้าหาผู้หญิงทีเผลอของนายนี่ไม่เปลี่ยนเลยนะ อุตส่าห์ได้ขึ้นเป็นถึงหัวหน้าตระกูลทั้งที ทำไมถึงไม่เลิกนิสัยเสียแบบนี้อีกเล่า?” จังหยวนจื่อตอบกลับมา
หยานกุยล๋ายเหยียดยิ้มอย่างขบขัน พูดว่า “หัวหน้าตระกูลจังพูดถูกแล้ว ฉันมันเป็นพวกนิสัยเสียแก้ไม่หาย โดยเฉพาะเรื่องการฆ่าเศษสวะยุทธภพ ยิ่งเมื่อกลางวันนะ พวกฉันฆ่าทิ้งไป 150 กว่าคน พูดแล้วยังสะใจไม่หาย!”