ไทเฮาหมดสติ
ทั้งตำหนักฉือหนิงตกอยู่ในความโกลาหล
ในขณะนั้นจิ่งหมิงฮ่องเต้กำลังหยอกจี๋เสียงอยู่ในตำหนักหย่างซิน
มีฎีกากองพะเนินอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน นับตั้งแต่วันที่เหล่าขุนนางและโอรสของเขาเกือบเห็นหนังสือนิทานที่ซ่อนอยู่ในกองฎีกาก็ดูเหมือนว่างานอดิเรกนี้จะหมดความน่าสนใจไปชั่วขณะ
ด้วยเหตุนี้ อารมณ์ของเขาจึงมีแนวโน้มที่จะหดหู่มากขึ้น ฉะนั้นการเล่นกับจี๋เสียงจึงเป็นวิธีคลายเครียดที่ดีที่สุดในตอนนี้
“จี๋เสียง มากินปลาแห้งเร็วเข้า”
เจ้าแมวตัวอ้วนกลมหันมามองเส้นปลาแห้งบนมือของจิ่งหมิงฮ่องเต้ก่อนจะเดินนวยนาดมาคาบแล้วเดินจากไป ทิ้งให้เจ้าของนั่งหน้างงอยู่ตรงนั้น
จิ่งหมิงฮ่องเต้หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาทำความสะอาดมือ และได้แต่ถอนหายใจอย่างขมขื่น
วันนั้นมันไม่ได้เป็นเช่นนี้นี่หน่า
ความรู้สึกที่จี๋เสียงเดินเข้ามาอ้อนซุกไซ้พลางร้องเรียกในวันนั้นยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำของจิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่สร่าง แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป จี๋เสียงก็ยังคงเป็นจี๋เสียง
ดูแล้วคงถึงเวลาที่ต้องเชิญแม่ทัพเซี่ยวเทียนเข้าวังแล้วล่ะ
คลับคล้ายว่าจี๋เสียงจะรับรู้ได้ถึงความคิดของเจ้าของ มันจึงเดินเข้ามาส่งเสียงเกรี้ยวกราดใส่จิ่งหมิงฮ่องเต้ซึ่งดูไม่เหมือนลักษณะของแมวเลยสักนิด
เสียงฝีเท้าเร่งรี่ดังลอยมา
จิ่งหมิงฮ่องเต้เหลือบมองไปที่พานไห่ที่กำลังทำหน้าเคร่งเครียด และได้แต่ระงับอารมณ์ที่อยากเล่นกับเจ้าแมวไว้แต่เพียงเท่านี้
ไม่ต้องถามก็รู้ว่ามีเรื่องอีกแล้ว!
“มีเรื่องอะไรอีกล่ะ”
พานไห่ค้อมหลัง ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตา “กราบทูลฝ่าบาท ไทเฮาทรงหมดสติไปพ่ะย่ะค่ะ…”
ในหัวจิ่งหมิงฮ่องเต้มีเสียงหึ่งดังสนั่น เขาเผ่นพรวดไปที่ตำหนักฉือหนิงทันทีโดยไม่สนใจจะถามรายละเอียด
พานไห่แอบถอนหายใจแผ่วเบา และยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผากก่อนจะรีบเดินตามไป
“ฮ่องเต้เสด็จ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เดินเข้าไปด้วยสีหน้าเครียดเขม็ง เขาหันไปถามฉังหมัวมัวที่ยืนทำความเคารพใกล้เขามากที่สุด “ไทเฮาล่ะ”
ฉังหมัวมัวเสียงสั่นเอ่ยไม่เป็นคำ “อยู่ด้านในเพคะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้มิได้ชะลอฝีเท้า เขาเดินผ่านหน้าฉังหมัวมัว
ไทเฮากำลังนอนอยู่บนแท่นบรรทม แพทย์หลวงที่ถูกเรียกตัวมากะทันหันกำลังตรวจชีพจรของนาง
ครั้นเห็นจิ่งหมิงฮ่องเต้เข้ามา แพทย์หลวงเตรียมจะหันมาทำความเคารพ แต่ทว่าถูกจิ่งหมิงฮ่องเต้ห้ามไว้เสียก่อน
ฮ่องเต้เฝ้าดูอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันหลังเดินกลับไปคอยที่ห้องรับรอง เขาถามหาต้นสายปลายเหตุ “เหตุใดจู่ๆ ไทเฮาถึงได้เป็นลมไป”
ฉังหมัวมัวคุกเข่าซบหน้าลงถึงพื้นโดยพลัน “ความปากมากของบ่าวทำร้ายไทเฮาเองเพคะ…”
“สรุปแล้วมันเรื่องอะไร” จิ่งหมิงฮ่องเต้เค้นถาม
ฉังหมัวมัวก้มศีรษะต่ำ ปาดน้ำตาพลางเอ่ย “ขณะที่บ่าวไปถวายปัจจัยแทนไทเฮาที่วัดฝูเต๋อ บ่าวบังเอิญได้ยินคนพูดถึงเรื่ององค์หญิงใหญ่หรงหยางเพคะ…”
“เจ้าก็เลยบอกไทเฮาไปแล้วรึ”
“บ่าวสมควรตายเพคะ…”
“เจ้าสมควรตายจริงๆ!” ใบหน้าคล้ำหม่นของจิ่งหมิงฮ่องเต้เอื้อนเอ่ยถ้อยคำโหดร้าย
ในวินาทีนั้น ไฟโกรธโหมหนักเกินจะควบคุม
เกลียวคลื่นซัดถาโถมลูกแล้วลูกเล่า จะมีจักรพรรดิคนไหนบ้างที่ต้องมาแบกรับเรื่องราวหนักหนาเท่าเขา
มีเสียงไทเฮาดังขึ้นจากด้านใน “ฝ่าบาทอยู่ข้างนอกหรือ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินจึงรีบเดินเข้าไปข้างในและทิ้งฉังหมัวมัวไว้เบื้องหลัง
“เสด็จแม่ ทรงดีขึ้นบ้างหรือยังพ่ะย่ะค่ะ” จิ่งหมิงฮ่องเต้เดินไปนั่งลงข้างเตียงพลางกุมมือไทเฮา
ไทเฮาพิศมองใบหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้ก่อนจะคลี่ยิ้ม “ข้าไม่เป็นอะไร”
แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้น แต่นัยน์ตาของหญิงชรากลับสั่นระริก
“เรื่องของหรงหยาง…เหตุใดฝ่าบาทถึงไม่บอกข้าสักคำ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หลุบตาด้วยความรู้สึกผิด “เป็นความผิดของลูกเอง ที่หรงหยางต้องจากไปเช่นนี้เป็นความรับผิดชอบของลูกทั้งหมด…”
“จะโทษฝ่าบาทคงไม่ได้ นั่นคงเป็นโชคชะตาของหรงหยาง ข้าสอนนางไม่ดี หากจะโทษก็ต้องโทษข้า…” ในขณะที่กล่าว ไทเฮาไม่อาจข่มกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกแล้ว
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยิ่งรู้สึกผิด เขารีบกล่าว “เสด็จแม่อย่าทรงคิดเช่นนั้นเลย เพราะอารมณ์ชั่ววูบ ลูกถึงได้ถอดยศหรงหยางให้เป็นสามัญชน และสุดท้ายเรื่องนี้ก็ย้อนกลับมาทำร้ายนางในที่สุด…”
ไทเฮาเงียบงันเนิ่นนานก่อนจะถาม “ต่อให้หรงหยางยังเป็นองค์หญิงใหญ่ แต่เมื่อชุยซวี่ทราบเรื่องที่นางทำร้ายซูซื่อ ฝ่าบาทคิดว่าเขาจะยอมปล่อยนางไปอย่างนั้นหรือ”
คราวนี้เป็นจิ่งหมิงฮ่องเต้ที่เงียบ
ชุยซวี่มิได้มีใจมักใหญ่ใฝ่สูง หากตอนนั้นมิใช่เพราะมารดาของเขา เขาคงไม่มีทางแต่งงานกับหรงหยาง
เมื่อคนเช่นเขารู้ว่าหญิงที่เขารักถูกหรงหยางทำร้าย เขาก็คงเลือกแก้แค้นโดยไม่สนสถานะของหรงหยาง
ไทเฮาส่งยิ้มขมขื่น “หรงหยางชีวิตอาภัพยิ่งนัก ตอนยังสาว นางก็ดึงดันทำเรื่องที่มิควรทำ อีกทั้งซูซื่อก็ดันคลอดบุตรีที่เก่งกาจเสียด้วย...”
“เสด็จแม่ การที่สะใภ้เจ็ดทำเพื่อมารดาของนางถือเป็นการแสดงความกตัญญูต่อบุพการี…” จิ่งหมิงฮ่องเต้รีบแก้ตัวแทนเจียงซื่อ
ไทเฮาชำเลืองมองไปที่จิ่งหมิงฮ่องเต้พลางเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าก็มิได้กล่าวโทษพระชายาเยี่ยนอ๋องเสียหน่อย”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ชะงักงัน
เห็นได้ชัดว่าไทเฮากำลังโกรธขึ้ง
หากจะว่าตามหลักเหตุผล เรื่องการเสียชีวิตของหรงหยามิใช่ความผิดของสะใภ้เจ็ด แต่เป็นผลของการกระทำที่สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ในอดีต แต่ถึงกระนั้นเขาก็เข้าใจว่าเหตุใดเสด็จแม่ถึงกริ้วสะใภ้เจ็ด
“แค่เพียงหลับตา ภาพตอนที่เจ้าและหรงหยางยังเยาว์วัยก็ย้อนกลับเข้ามาให้หัวของข้า ภาพที่พวกเจ้านั่งข้างฟังข้าอ่านตำราซ้ายคน ขวาคน…”
ดวงตาของไทเฮาเปียกชื้น ดวงตาของจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เช่นกัน
ช่วงเวลาสมัยวัยเยาว์เหล่านั้นนับเป็นความทรงจำอันล้ำค่าของจิ่งหมิงฮ่องเต้ผู้ครองราชย์อยู่ในฐานะองค์จักรพรรดิมาหลายทศวรรษอย่างไม่ต้องสงสัย
ในตอนที่จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินข่าวการเสียชีวิตขององค์หญิงใหญ่หรงหยาง เขาทั้งรู้สึกตกใจ โกรธแค้นและอาลัยอาวรณ์ แต่เพราะความไม่ยั้งคิดครั้งแล้วครั้งเล่าขององค์หญิงใหญ่หรงหยางทำลายสายใยระหว่างพี่ชายและน้องสาวไปนานแล้ว
แต่เมื่อมาถึงบัดนี้ การต้องเห็นมารดาสูงวัยน้ำตาไหลพรากพร้อมใบหน้าซีดเซียว ทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง
เขาเป็นประมุขของประเทศนี้ และเป็นเจ้าของแผ่นดินต้าโจว ต่อให้หรงหยางทำผิดร้ายแรงแล้วจะอย่างไร ความจริงเขาควรจะแสดงความกตัญญูโดยการปล่อยให้นางมีชีวิตอยู่ต่อ จะได้มีคนอยู่เป็นเพื่อนเสด็จแม่ แต่ตอนนี้…
“ฝ่าบาท อย่าให้ข้าทำให้ความรู้สึกของฝ่าบาทต้องไขว้เขวเลยจะดีกว่า ถึงอย่างไรหรงหยางก็จากไปแล้ว หากจะโทษก็ต้องโทษที่นางมีความคิดชั่วร้าย และโทษที่ชุยซวี่ใจดำอำมหิต จะไปโทษคงอื่นคงไม่ได้”
“เสด็จแม่…” สามัญสำนึกของไทเฮาทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้ยิ่งละอายแก่ใจ
ไทเฮาหัวเราะ “ข้าเข้าใจ แต่คงต้องใช้เวลาอีกหน่อย ยามที่นึกถึงเจ้าเจ็ดและชายา ข้าก็อดคิดถึงการจากไปของหรงหยางไม่ได้…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวออกไปว่าโดยไม่ต้องคิด “ไว้ลูกจะไปบอกเจ้าเจ็ดว่าไม่ต้องให้พวกเขาโผล่มาให้เสด็จแม่ต้องรู้สึกรำคาญใจ”
“ก็มิต้องถึงขั้นนั้นหรอก ข้าแยกแยะได้ ข้ารู้ว่ามิควรโทษพวกเขา”
“เสด็จแม่ วางพระทัยสงบเถิด ไว้ลูกจะให้ฝูชิงและสิบสี่มาอยู่เป็นเพื่อนเสด็จแม่บ่อยๆ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หันไปกำชับแพทย์หลวงและคนในตำหนักฉือหนิงแล้วจึงกลับไป
“พวกเจ้าออกไปเถอะ ส่วนฉังหมัวมัวคอยก่อน”
เพราะมีไทเฮาอยู่ด้วย จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงไม่กล้าลงโทษฉังหมัวมัว
ครั้นคนอื่นๆ ออกไปแล้ว ไทเฮาจึงหันไปถามฉังหมัวมัว “เจ้าได้ถามหรือไม่ว่าสตรีสองนางนั้นคือผู้ใด”
“บ่าวมิได้ถามเพคะ”
ไทเฮาพยักหน้ารับก่อนจะถามอีกสองสามคำถามแล้วจึงปล่อยนางไป
ความเงียบสงัดเข้าปกคลุกในเวลาอันรวดเร็ว ไทเฮายกยิ้มเย็นชา
จิ่งหมิงฮ่องเต้ที่กลับออกมาจากตำหนักฉือหนิงมิได้ตรงไปที่ตำหนักหย่างซิน แต่เสด็จไปที่ห้องทรงพระอักษร ก่อนจะสั่งให้พานไห่ไปเชิญอวี้จิ่นเข้ามาที่วังหลวง
อวี้จิ่นเร่งรี่มาจนถึง ทันทีที่ยืนอยู่ต่อหน้าจิ่งหมิงฮ่องเต้ เขาก็โดนเอ็ดการใหญ่
ในขณะที่ฟังจิ่งหมิงฮ่องเต้พ่นถ้อยคำบริภาษไม่เว้นวรรค อวี้จิ่นก็ได้แต่หัวเราะอยู่ในใจ
ช่างน่าอายเสียเหลือเกิน กับการแค่จะตำหนิเขาฝ่าบาทต้องขุดเรื่องทะเลาะวิวาทเมื่อแปดร้อยปีก่อนขึ้นมาพูด
เมื่อจิ่งหมิงฮ่องเต้ต่อว่าโอรสจนพอใจแล้ว เขาจึงเอ่ยด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง “จะทำสิ่งใดก็อย่าให้ใครตำหนิเอาได้ จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจในภายหลัง เจ้าจงกลับไปนั่งสำนึกที่จวน แล้วไม่ต้องเข้ามาวังมาให้ขวางหูขวางตาข้าอีก!”
“ลูกเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้จิ่นตอบรับด้วยความยินดี เขาไม่ถามหาถึงสาเหตุเลยแม้แต่น้อย นั่นทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกว่าที่ด่าไปช่างเสียแรงเปล่า
จนกระทั่งช่วงบ่าย ขันทีก็เข้ามารายงาน “ฝ่าบาท ผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลินมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”