ฉินมู่ชำนาญวิธีการควบคุมเรือกระดาษอย่างรวดเร็ว เรือกระดาษนี้เรียกได้ว่าเป็นยานพาหนะที่ว่องไวที่สุดในแดนใต้พิภพ และด้วยเรือนี้ เขาก็สามารถไปเยี่ยมมารดาผู้ซึ่งถูกสะกดเอาไว้ในแดนใต้พิภพได้
เมื่อภูติบดีกับวิญญูชนสวรรค์โยวรู้ตัวอีกที มันก็จะสายไปแล้ว!
เขายืนอยู่บนกราบเรือและมีความมืดไร้ก้นบึ้งอยู่ข้างหน้า เรือน้อยลอยเข้าไปในความมืดและดูโดดเดี่ยวเดียวดาย
แต่ทว่า แดนใต้พิภพมิได้มืดสนิทโดยสิ้นเชิง มันมีโลหิตอันพวยพุ่งเหมือนลาวาที่ไหลออกมาจากพื้นผิวของผิวหนังภูติบดี ภูติบดีมีเรือนกายอันใหญ่มโหฬารจนเกินไป และผิวหนังของเขาก็เหมือนกับเกราะหุ้มอันก่อขึ้นมาจากหินแข็งแกร่ง รอยแยกระหว่างหินนั้นเหมือนกับลายรอยบนผิวหนังของเขา ลาวาสีแดงเพลิงก็เหมือนกับโลหิตที่หลั่งไหลอยู่ตรงนั้น
ฉินมู่ขับเรือน้อยเข้าไปใกล้ๆ จากที่ไกลๆ เขามองไม่เห็นอะไรบนผิวหนังหิน แต่เมื่อเขาเข้าไปใกล้ เขาก็สามารถมองเห็นภูเขาที่ตั้งตระหง่านราวกับป่าทึบ พวกมันแหลมคมดุจศาสตราวุธและขรุขระเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังมีสัตว์ประหลาดมารและมารเทวะตัวมหึมาที่แบกปราสาทไปบนหลังของพวกมันระหว่างที่เดินทางไประหว่างเทือกเขา
ทั้งยังมีภูตผีตัวเล็กๆ สีเขียวห้อมล้อมปราสาทอันสัตว์ประหลาดมารและมารเทวะกำลังแบกอยู่ พวกมันโหวกเหวกโวยวายและก่อศึกสงครามกับผีเขียวอีกกลุ่มหนึ่ง โลหิตหลั่งจากการเข่นฆ่า
ภูตผีตัวน้อยสีเขียวนี้เป็นสิ่งมีชีวิตพิเศษเฉพาะของแดนใต้พิภพ ยมโลกก็มีสิ่งเช่นนี้เหมือนกัน พวกมันมีใบหน้าสีเขียวและมีเขี้ยวงอกจากปาก ผีเขียวบางตัวก็ใหญ่กว่ามนุษย์ถึงสี่ห้าเท่า แต่บางตัวก็สูงเพียงแค่เข่าและท้องของมนุษย์เท่านั้น พวกตัวเล็กๆ จะวิ่งเร็วเป็นอย่างยิ่ง
ท่ามกลางผีเขียวเหล่านี้ ยังมีราชาผีเขียวที่แข็งแกร่งและทรงพลังจนทัดเทียมเทพเจ้า
สงครามเช่นนี้พบเห็นได้ทั่วไปในแดนโบราณวินาศ และแม้แต่สัตว์ประหลาดมารกับมารเทวะก็จะเข้าร่วมศึก สัตว์ประหลาดมารและมารเทวะที่แบกราชวังนั้นมีพละกำลังอันไร้ขีดจำกัด แต่อาวุธของพวกมันนั้นเรียบง่าย พวกมันเพียงแค่หักยอดเขาบนผิวหนังของภูติบดีออกมา และกวัดแกว่งไปรอบๆ เหมือนไม้ตะบองแข็งๆ ฟาดทุบทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางทาง
บางครั้ง ฉินมู่ก็ถึงกับเห็นจิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพเจ้าหลายตนเดินออกมาจากราชวังบนบ่าของสัตว์ประหลาดมารและมารเทวะ พวกเขาจะร่ายเวทมนตร์ไม่ก็ปลดปล่อยทักษะเทวะและเทพศาสตราออกไปเพื่อต่อสู้กับศัตรูที่อยู่ตรงหน้า
แดนใต้พิภพคึกคักจริงๆ
ฉินมู่มองไปอย่างตื่นเต้น และเมื่อเขาผ่านสนามรบ เขาก็หยุดเรือและตะโกนไป “พี่ทางเต๋าทั้งหลาย!”
ทั้งสองฝ่ายที่กำลังก่อศึกสงครามต่างก็ตื่นตระหนกกับเสียงของเขา ผีเขียวมากมายหยุดการต่อสู้ และสัตว์ประหลาดมารของทั้งสองฝั่งก็หยุดมือด้วยเช่นกัน พวกมันปักไม้ตะบองยันตัวยืนและเงยหน้ามองเรือน้อย
จิตวิญญาณดั้งเดิมของทั้งสองฝ่ายเหาะขึ้นมาและยืนอยู่บนท้องฟ้า พวกเขาโค้งคารวะมายังเรือและกล่าว “ราชันย์ขุนนาง พวกเราไม่คู่ควรที่จะถูกเรียกหาว่าพี่ทางเต๋า!”
“ราชันย์ขุนนางมาที่นี่เพื่อสังหารพวกเราหรือ ภูติบดีจะจับพวกเรากินหรือ”
เทพเจ้าสองตนที่ก่อสงครามกันพลันโผเข้ากอดกันกลมและร้องด้วยเสียงเจือสะอื้น “คนอื่นๆ เขาก็สู้กันแย่งชิงดินแดนแบบนี้ ทำไมเมื่อมาถึงทีของพวกเขา เขาถึงอยากจะจับพวกเรากิน…”
ฉินมู่รีบกล่าว “อย่าเพิ่งร้องไห้ ภูติบดีไม่ได้จะจับพวกเจ้ากินหรอก ข้ามาที่นี่เพียงเพื่อถามทางเท่านั้น หลังจากที่ข้าได้เส้นทางแล้ว ข้าก็จะไป พวกเจ้าสู้กันต่อไป”
จิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพเจ้าทั้งสองรีบผละออกจากกัน
ฉินมู่ถาม “อาชญากรอันตรายถูกกักขังเอาไว้ที่ไหน”
จิตวิญญาณดั้งเดิมทั้งสองระบายลมหายใจโล่งอก และกล่าว “อยู่ที่ด่านกุญแจหยกแห่งแดนใต้พิภพ ข้างใต้ฝ่าเท้าของภูติบดี”
ฉินมู่กล่าวขอบคุณและถามต่อ “ระหว่างทางที่ข้ามาที่นี่ ข้าเห็นสงครามเกิดขึ้นทุกหนทุกแห่ง ทำไมแดนใต้พิภพถึงโกลาหลนัก”
จิตวิญญาณดั้งเดิมทั้งสองหันไปมองกันและกัน และพวกเขาต่างก็มองเห็นความแตกตื่นในแววตาของฝ่ายตรงข้าม จิตวิญญาณดั้งเดิมตนหนึ่งกล่าวอย่างระมัดระวัง “ราชันย์ขุนนางลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบสองปีก่อนแล้วหรือ เมื่อยี่สิบสองปีก่อน คนที่เจ้าก็รู้ว่าใครต่อสู้ลงมาถึงที่นี่จากเขาเก้าบิด ถล่มชั้นนรกมาตั้งไม่รู้กี่ขุม เขาสังหารผู้มีอิทธิพลมากมายและกินเข้าไปตั้งไม่รู้เท่าไร พวกเราเพียงแค่ต่อสู้กันแย่งชิงดินแดนเมื่อพบเห็นแผ่นดินที่ไร้เจ้าของ ฉวยโอกาสสะสางความแค้นให้จบสิ้นไปด้วยพร้อมๆ กัน”
จิตวิญญาณดั้งเดิมอีกตนผงกหัวหงึกๆ
คนที่เจ้าก็รู้ว่าใคร? มีตัวตนน่าสะพรึงกลัวเช่นนั้นในแดนใต้พิภพด้วยหรือ ฉินมู่ฉงนใจพลางแล่นเรือจากไป
เทพเจ้าทั้งสองเห็นเรือน้อยแล่นไป ถึงตอนนั้นพวกเขาถึงค่อยโล่งอก “แปลกจริง ทำไมราชันย์ขุนนางถึงมาถามทางพวกเรา เขานั้นคือราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เมตตาเทียมสวรรค์ งั้นเขาจะไม่รู้ด่านกุญแจหยกแดนใต้พิภพได้อย่างไร เขาจะไม่รู้จักทรราชย์น้อยแห่งแดนใต้พิภพได้อย่างไร”
“ใครจะสน ข้าจะให้ผีเขียวโฉมสะคราญสามสิบตนแก่ผู้สังหารไอ้ลูกเต่าฝ่ายโน้น!”
“ตอนที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ข้านับถือเจ้าเป็นพี่น้อง แต่เจ้าก็ยังกล้ามาหยอกเอินพี่สะใภ้ของเจ้า! สังหารไอ้สารเลวนี้ให้กับข้า!”
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอีกครั้ง
ฉินมู่แล่นเรือลงไปตามร่างของภูติบดี และยิ่งเขาลงไปลึกเท่าไร ปราณมารใต้พิภพก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นมาเท่านั้น สันดานมารเองก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น
ที่เขาเห็นมาตามทางทำให้หัวใจเขาเต้นระทึก มีศึกสงครามอยู่ทั่วทุกหนแห่ง และผู้คนก็รบพุ่งกันทั้งวันทั้งคืน และก็ยังมีดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งและน่าสะพรึงกลัวอย่างไร้ปานเปรียบออกสร้างความโกลาหลและปล้นสะดมไปทุกหนทุกแห่งอีกด้วย
“คนที่เจ้าก็รู้ว่าใครได้จากแดนใต้พิภพเมื่อยี่สิบสองปีก่อน คงจะได้ก่อเรื่องชั่วร้ายมากมายและสังหารผู้มีอิทธิพลนับไม่ถ้วนเป็นแน่ มีก็แต่เช่นนั้นเขาถึงสร้างความโกลาหลให้กับแดนใต้พิภพจนมันยังไม่สงบราบคาบถึงบัดนี้”
ฉินมู่รู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง “ดูเหมือนว่าน้ำในแดนใต้พิภพจะลึกกว่าที่คิด มีผู้เปี่ยมความสามารถซุ่มซ่อนอยู่ทุกหนแห่ง”
ภูติบดียังคงมีเมืองโบราณมากมายบนร่างของเขา และก็มีแสงสว่างอันแสดงให้เห็นว่ามีเทพเจ้าอยู่บนนั้น
และยังมีเมืองที่ลอยอยู่บนท้องฟ้ามืดทะมึน ด้วยโซ่ที่ล่ามโยงพวกมันเข้ากับพื้น เมืองเหล่านั้นก่อขึ้นมาเป็นพยุหะค่ายกลและดูอันตรายร้ายกาจ
ฉินมู่มองดูแต่ไม่เข้าไปใกล้ เขาคิดอยู่ในใจ นั่นจะต้องเป็นสถานที่ที่ลู่หลีและคนจากสภาสวรรค์นอกโลกที่มาประจำการอยู่เป็นแน่ เข้าไปใกล้คงไม่ฉลาด
หลังจากเหาะมาเป็นระยะทางยาวนาน เขาก็เห็นเมืองเทพยดาอันหักพังบนท้องฟ้า มีซากเมืองสีดำสนิทที่ร่วงตกลงมากับพื้น และแขนขาขาดวิ่งกระจัดกระจายไปทั่ว จากบาดแผล พวกเขาดูเหมือนจะถูกสัตว์ร้ายมหึมาและดุดันกัดทึ้งออกเป็นสองส่วน
ด่านโบราณยืดยาวอยู่ต่อหน้าต่อตาเขา และมันก็เหมือนกับมีกำแพงเมืองเหล็กดำที่ขวางทางตรงหน้าอยู่ ฉินมู่กะว่าจะอ้อมไป และทันใดนั้นเขาก็ตกตะลึง บนกำแพงอันยิ่งใหญ่เกรียงไกร มีรอยประทับฝ่ามือที่น่าสะพรึงกลัวเมื่อชมดู
รอยประทับฝ่ามือเหล่านั้นใหญ่มหึมาไร้ปานเปรียบ และนิ้วแต่ละนิ้วก็เหมือนเอาขุนเขาฟาดเข้าใส่กำแพงเมือง มันคือนิ้วทั้งห้าที่ใหญ่มหึมาปานภูเขาอย่างแท้จริง
และยังมีรอยประทับหมัด และรอยประทับที่หลงเหลือไว้จากการที่เทพเจ้ามากมายถูกอัดกระแทกเข้ากับกำแพง อาวุธแตกหักกองก่ายกันสูงเท่าภูเขา
ในตอนนั้น ฉินมู่หยุดเรือน้อยอยู่ข้างนอกประตูเมือง ป้อมปราการเมืองอันสูงตระหง่านและกำแพงเมืองถูกบดขยี้เป็นชิ้นๆ และมีรูขนาดเท่าร่างคนอยู่ตามกำแพงและประตู สามารถอนุมานได้ว่า คนที่เจ้าก็รู้ว่าใครผู้นั้นจะต้องมีร่างกายอันอ้วนท้วน แต่เขานั้นดุร้ายอย่างเหลือแสน พลานุภาพของกายเนื้อของเขาเกินจะจินตนาการ!
เรือน้อยแล่นผ่านรูนั้นและไปยังเมืองด่านที่ถูกทิ้งร้าง ความเกรียงไกรแต่เก่าก่อนถูกบดขยี้ไม่เหลือชิ้นดี
ทันใดนั้น ฉินมู่ก็มาถึงใจกลางเมืองด่าน และเขาเห็นโครงกระดูกหลายหมื่นโครงยืนอยู่ตรงนั้นรอบๆ วงกลมใหญ่ โครงกระดูกของเทพเจ้าเหล่านี้ล้วนแต่เอนไปทางใจกลางวงกลม ราวกับว่ามีแรงดูดมหาศาลที่กำลังดูดร่างกายของพวกเขา แต่พวกเขาก็ได้ต่อสู้ยิบตาเพื่อป้องกันพลังอำนาจนั้น
ฉินมู่เคลื่อนเรือน้อยไปที่ใจกลางวงกลม และที่จุดศูนย์กลาง มีรอยเท้าขนาดมหึมาสองข้าง
เขาหยุดเรืออยู่บนท้องฟ้า ฉินมู่ยืนอยู่บนเรือและมองไปยังโครงกระดูกรอบๆ โครงกระดูกพวกนี้คงจะมาโจมตีต่อสู้หลังจากที่คนที่เจ้าก็รู้ว่าใครได้ทะลวงฝ่าเมืองเข้ามา และในเวลานั้น คนที่เจ้าก็รู้ว่าใครพลันระเบิดพลังอำนาจออกไป
“อา อ๊า อ๊าาา”
ฉินมู่อ้าปากและหันหัวไปตะโกนยังโครงกระดูกรอบๆ เขาโคลงหัวและกล่าว “นี่มันไม่ใช่ พวกเขาไม่น่าจะถูกสังหารด้วยคลื่นเสียง มันน่าจะเป็น…”
เขาหันศีรษะไปและสูดลมเข้าเฮือกใหญ่ เขาผงกหัวและกล่าว “ใช่แล้ว แบบนี้แหละ คนที่เจ้าก็รู้ว่าใครพลันดูดกลืนเอาจิตวิญญาณดั้งเดิมจากเทพเจ้าทั้งหลายเหล่านี้ และกินพวกเขาไปจนเหี้ยนเตียน! กลืนกินเทพเจ้าหลายหมื่นภายในคำเดียว สยดสยอง น่าสยดสยองจริงๆ!”
เรือน้อยลอยออกจากด่านและมุ่งต่อไปข้างหน้า มันมาถึงปลายสุดเท้าของภูติบดี และมันก็มีโซ่อันเชื่อมโยงกับมหานครที่นี่
ฉินมู่แล่นเรือผ่านประตูอันสูงตระหง่าน และเขาถึงเพิ่งตระหนักว่าที่นี่มีฟ้าและดินอยู่จริงๆ ราชวังที่นี่กว้างใหญ่ไพศาล และพวกมันก็ยืดยาวออกไปอย่างไม่รู้จบ ในมหานครก็ยังมีเมืองนครอยู่ แต่พวกมันล้วนแต่กลายเป็นซากปรักหักพัง ปราณมารเข้มข้น และมีก็แต่ผีเขียวน้อยที่อาศัยอยู่ได้ พวกมันหวาดกลัวผู้คนเป็นอย่างยิ่ง เมื่อพวกมันเห็นเรือน้อย พวกมันก็แปรเปลี่ยนเป็นควันดำแล้วหายวับไป
ฉินมู่มีสีหน้าแปลกประหลาด และเขารีบเคลื่อนออกไปจากประตูนี้ เมื่อเงยหน้าขึ้นไป เขาก็พบว่าประตูยักษ์ก็ถูกทำลายด้วยเช่นกัน
เมื่อเสาะสายตาไปตามพื้น ในที่สุดเขาก็เห็นถ้อยคำบนประตูเมืองอันแตกหัก และได้แต่สูดลมหายใจหนาวเหน็บ
ประตูสวรรค์ทักษิณ! ที่นี่คือปราสาทสวรรค์!
จิตคิดเขากระเจิดกระเจิงไปหมด และเขาก็ตั้งสติตนเอง เขาเหาะไปอีกครั้งและลอยผ่านศาลาหยกและสระหยก สระหยกแห้งผากราวกับว่ามีใครบางคนซดมันจนแห้งภายในอึดเดียว ขณะที่แท่นประหารเทพถูกทุบจนป่นปี้ อัครนครหยกก็แหลกเละไม่มีชิ้นดี และตำหนักชิดฟ้าก็มีรูขนาดใหญ่อยู่ในนั้น บัลลังก์จักรพรรดิถูกกระชากออกมา และมันก็ถูกบดเละด้วยก้นมหึมาของใครบางคน มันจมฝังลงไปในพื้นของอัครนครหยก
ดวงวิญญาณที่มีสิทธิ์อาศัยอยู่ในปราสาทสวรรค์หากว่าไม่ใช่ยอดฝีมือขั้นบัลลังก์จักรพรรดิก็ต้องเป็นขั้นตำหนักชิดฟ้าก่อนที่พวกเขาจะตายลงมา การที่ปล่อยให้คนที่เจ้าก็รู้ว่าใครทำลายสถานที่แห่งนี้จนถึงขนาดนี้ เจ้าของปราสาทสวรรค์คงจะถูกสังหารโดยตัวตนอันโหดเหี้ยมนั้น!
หลังจากที่เขาออกไปจากปราสาทสวรรค์แห่งนี้ เขาก็ยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้น แดนใต้พิภพเมื่อยี่สิบสองปีก่อนดูเหมือนจะประสบมหาภัยพิบัติ สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ที่นี่ล้วนแต่เผชิญกับการฆ่าล้างผลาญของคนที่เจ้าก็รู้ว่าใคร เกิดบาดเจ็บล้มตายอย่างมหาศาล
ภูติบดีและวิญญูชนสวรรค์โยวยังมานั่งบันทึกความผิดข้าในสมุดน้อยอยู่อีก แต่กลับไม่เคยพูดถึงคนที่เจ้าก็รู้ว่าใคร คนร้ายใจชั่วตัวจริง เลยสักนิด
ฉินมู่เต็มไปด้วยความขึ้งใจ เขามายังเท้าของภูติบดี และสถานที่แห่งนี้ก็ได้กลายเป็นเศษซากของสมรภูมิไปแล้ว
ฉินมู่มองไป และหัวใจเขาก็โลดเต้น สนามรบแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาล แม้แต่สายตาของเขาก็ยังไม่อาจเห็นขอบเขตสิ้นสุดของมัน ที่เขาเห็นนั้นล้วนแต่เป็นรังสีแสงอาทิตย์ และพวกมันก็คือเศษซากทักษะเทวะที่ผู้ฝึกทักษะเทวะอันยิ่งใหญ่ทั้งหลายได้หลงเหลือเอาไว้
แต่ละรังสีสุริยันนั้นยาวกว่าหมื่นลี้ และสร้างภาพอันกุก่องตระการ
แผ่นดินนี้ราบเป็นหน้ากลอง ไม่มีภูเขาและแม่น้ำปรากฏให้เห็น มีรอยฝ่ามือและรอยหมัดประทับอยู่ทุกหนแห่งบนท้องฟ้า และรอยประทับเหล่านี้ถึงกับไม่คืนสู่สภาวะปกติหลังจากเวลายี่สิบกว่าปี!
นี่เป็นหลักฐานว่าการต่อสู้ที่นี่น่าสยดสยองและสะพรึงกลัวกว่าที่อื่นๆ!
“หรือว่าดวงวิญญาณของยอดฝีมือขั้นบัลลังก์จักรพรรดิทั้งหลายจะเข้ามาล้อมปราบและต่อสู้กับคนที่เจ้ารู้ว่าใครที่นี่”
ฉินมู่หัวใจเต้นโครมคราม และค่อยๆ แล่นเรือผ่านสมรภูมิไปอย่างระมัดระวัง คอยหลบหลีกทักษะเทวะอันเจิดจรัส ยิ่งมองดูเขาก็ยิ่งแตกตื่น
ความหนักหนาสาหัสของสงครามนี้เกินกว่าเขาจินตนาการ และเทพมารที่เคลื่อนพลมาก็น่าจะมีจำนวนอันน่าสะพรึงกลัว
กระนั้นเขาก็เห็นรอยเท้าของคนที่เจ้าก็รู้ว่าใครอยู่ที่ขอบแดนสนามรบ รอยเท้านั้นทั้งลึกและอ้วน เห็นได้ชัดว่าสงครามนี้มิได้ปลิดชีวิตคนที่เจ้าก็รู้ว่าใครไป และในทางตรงข้าม เขาต่อสู้ฝ่าฟันหลุดออกมาได้
คนที่เจ้าก็รู้ว่าใครเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย!
ในแดนใต้พิภพมีตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวขนาดนี้อยู่เชียวหรือ
ฉินมู่สูดลมหายใจลึกและคิดอยู่ในใจ ข้าจะต้องคอยระวังคำพูด เผื่อว่าข้าจะไปล่วงเกินยอดยุทธฝีมือแกร่งในแดนใต้พิภพ จริงสิ เหมือนกับที่ผู้ใหญ่บ้านบอกไว้ สุภาพเข้าไว้จะไม่มีอะไรผิดพลาด
เขามายังจุดที่ภูติบดียืนอยู่ และสันดานมารที่นี่ก็เข้มข้นและน่าสะพรึงกลัว แต่ทว่า สันดานมารและปราณมารเหล่านั้นเข้าไปจับตัวกันเพื่อก่อขึ้นมาเป็นแผ่นดินรองรับเท้าของภูติบดี
เรือน้อยลอยออกจากเท้าของภูติบดี และเขาเห็นมหานครอันเกรียงไกรและไพศาลโดยทันที มันดูเหมือนกับว่าจะก่อขึ้นมาจากหยกดำ ทั้งเมืองราวกับจะเป็นชิ้นเดียวกัน และเขามองไม่เห็นรอยต่อระหว่างชิ้นหยก
ที่นี่น่าจะเป็นด่านกุญแจหยกแห่งแดนใต้พิภพ
ฉินมู่แล่นเรือให้ลอยเข้าไป และพยายามที่จะเหาะข้ามกำแพงเพื่อเข้าไปในด่าน แต่ทว่า ขณะที่เรือลอยขึ้นไปนั่นเอง กำแพงหยกดำก็ลอยสูงขึ้นด้วย และไม่ว่าเรือน้อยจะแล่นไปเร็วแค่ไหน มันก็ไม่อาจบินข้ามกำแพงเมืองเพื่อเข้าไปในด่านได้
ฉินมู่พยายามอยู่นาน ก่อนที่จะยอมไปเสาะหาประตูเมืองอย่างเรียบๆ ร้อยๆ
เขาไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานอีกสักเท่าไร เขาถึงได้เห็นประตูแห่งด่านกุญแจหยก ข้างนอกประตูเมือง มารเทวะสองตนพิทักษ์อยู่ที่นั่นด้วยขวานในมือของพวกเขา เมื่อพวกเขาเห็นเรือกระดาษเหาะมา พวกเขาก็กำลังจะโค้งคารวะ แต่ทันใดก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งแทนที่จะเป็นผู้เฒ่านำทางความตายอันนั่งอยู่บนเรือ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะฉงนฉงาย
หนึ่งในมารเทวะถาม “เจ้าเป็นลูกหลานของใคร ทำไมเจ้าถึงมาที่ด่านกุญแจหยก ทำไมเจ้าถึงมีเรือของราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เมตตาเทียมสวรรค์”
ฉินมู่รีบกล่าว “เทพสูงส่งทั้งสอง ข้าคือฉินมู่ ฉินเฟิงชิง ข้ามาที่นี่เพื่อเยี่ยมเยียนแม่ของข้า”