บุรุษท่าทางขึงขังหลายคนเดินอ้อมผอจื่อเข้าไปที่ประตูข้าง
ฉีอ๋องรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงส่งสัญญาณให้พ่อบ้านออกไปรับหน้าแทน
ทันทีที่พ่อบ้านเดินเข้าไปหาบุรุษกลุ่มนั้น หัวหน้าเหล่าบุรุษก็ยกป้ายที่เอวขึ้นมาอวดแก่สายตา
อักษรสลักคำว่า ‘องครักษ์จิ่นหลิน’ บนป้ายนั้นทำเอาพ่อบ้านปวดหนึบที่ขมับทันใด เขารีบเอ่ย “คอยเดี๋ยว” ก่อนจะรีบไปรายงานฉีอ๋อง
“ท่านอ๋อง องครักษ์จิ่นหลินพ่ะย่ะค่ะ…”
ฉีอ๋องหน้าซีด เขาดันตัวพ่อบ้านก่อนจะกลั้นใจพาตัวเองออกไปต้อนรับ “ที่แท้ก็บรรดาพี่ๆ น้องๆ องครักษ์จิ่นหลินนี่เอง เชิญด้านใน…”
หน่วยองครักษ์จิ่นหลินทำหน้าที่เป็นหูเป็นตาให้จิ่งหมิงฮ่องเต้ ไม่ว่าองค์ชายจะมีตำแหน่งสูงส่งเพียงใด แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน ทุกคนก็ต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี
หัวหน้าเหล่าบุรุษยกมือคารวะฉีอ๋อง “เมื่อเร็วๆ นี้กระหม่อมได้รับคำสั่งให้มาตรวจสอบแถวนี้ เมื่อครู่เห็นมีฝูงชนล้อมอยู่ด้านหน้า กระหม่อมจึงเข้ามาสอบถามเหตุการณ์จากท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีอ๋องยิ้มจืดเจื่อน “พวกบ่าวรับใช้ไม่ดูแลคนในจวนให้ดี นางคลุ้มคลั่งถึงได้วิ่งหลุดออกไปที่ถนน จวนของข้าสร้างเรื่องขายหน้ายิ่งนัก…”
เมื่ออยู่ต่อหน้าองครักษ์จิ่นหลิน เหล่าบ่าวรับใช้ที่รวบตัวพระชายาฉีอ๋องไม่กล้าทำอะไร พวกเขายืนห่างออกไปไม่ไกลเพื่อรอสัญญาณจากฉีอ๋อง
พระชายาฉีอ๋องถูกล้อมหน้าล้อมหลัง องครักษ์จิ่นหลินจึงมองไม่เห็นนาง อีกทั้งปากของนางยังถูกปิดสนิทจึงมีเพียงเสียงอู้อี้บางเบา
“ยังไม่รีบพาพระชายาเข้าไปข้างในอีกเล่า” ฉีอ๋องขมวดคิ้วพลางออกคำสั่ง ก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้เหล่าองครักษ์จิ่นหลิน “ลำบากพวกท่านทั้งหลายแล้ว เชิญเข้ามาจิบชาด้านในก่อนเถิด”
หัวหน้าเหล่าบุรุษยกมือคารวะอีกครั้ง “กระหม่อมมิบังอาจรบกวนเวลาของท่านอ๋อง กระหม่อมจำต้องแจ้งว่า กระหม่อมนำเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้กราบทูลให้ฝ่าบาททรงทราบพ่ะย่ะค่ะ”
พระชายาฉีอ๋องหยุดดิ้นโดยพลัน รอยยิ้มโล่งใจสื่อผ่านออกมาทางแววตาของนาง
สำเร็จแล้ว นางทำสำเร็จแล้ว!
เมื่อองครักษ์จิ่นหลินทราบ เสด็จพ่อก็ต้องทราบ ไม่ว่าเสด็จพ่อจะตัดสินพระทัยเช่นไรก็ถือว่าชีวิตของนางปลอดภัยแล้ว
แค่ได้มีชีวิตอยู่ก็นับว่าดีมากแล้ว ตราบใดที่นางยังหายใจ ย่วนเจี่ยเอ๋อร์ของนางก็จะไม่เป็นลูกที่กำพร้าแม่… ยิ่งคิด น้ำตาของพระชายาฉีอ๋องก็ไหลพราก
ฉีอ๋องฟังสิ่งที่องครักษ์จิ่นหลินกล่าวแล้วยิ่งรู้สึกหนักใจ เขาพยายามฝืนยิ้ม “เรื่องเล็กแค่นี้ไม่จำเป็นต้องรายงานให้เสด็จพ่อต้องกลุ้มพระทัยหรอกจริงไหม”
หัวหน้าองครักษ์เอ่ยตอบ “กระหม่อมจำต้องกราบทูลท่านอ๋องตามตรงว่า ตั้งแต่เกิดเรื่องเซียงอ๋อง การลาดตระเวนถูกเพิ่มระดับความเข้มงวดเป็นเท่าตัว อีกทั้งเบื้องบนยังกำชับว่าจะต้องรายงานสิ่งผิดปกติทุกเรื่องพ่ะย่ะค่ะ…”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เป็นการสร้างความลำบากให้พวกท่านแล้วล่ะ เอาเป็นว่าข้าจะเข้าไปรายงานที่วังหลวงก็แล้วกัน” แม้ในใจฉีอ๋องจะกลัดกลุ้มอย่างหนัก แต่สีหน้าของเขายังคงราบเรียบ
หัวหน้าองครักษ์เห็นว่าฉีอ๋องให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีจึงแอบรู้สึกโล่งใจ เขาประสานมือพลางกล่าว “กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นกล่าวจบ เขาชำเลืองไปทางพระชายาฉีอ๋องที่ถูกบ่าวรับใช้ล้อมอยู่แวบหนึ่งก่อนจะจากไป
ฉีอ๋องสั่งให้คนพาพระชายาฉีอ๋องกลับไปที่เรือน ส่วนตัวเองก็เดินทางไปที่วังหลวงทันที
เรื่องที่เสด็จพ่อจะได้ยินจากองครักษ์จิ่นหลินย่อมต่างจากเรื่องที่เขาจะพูด ฉะนั้นเขาจะไม่ยอมให้คนอื่นมาพูดแทน
แต่ถึงกระนั้นฉีอ๋องก็มาช้าไปก้าวหนึ่ง เพราะในขณะนี้ หันหรานผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินได้ยืนอยู่ต่อหน้าพระพักตร์จิ่งหมิงฮ่องเต้ในห้องทรงพระอักษรแล้ว
จิ่งหมิงฮ่องเต้ฟังรายงานจากหันหราน แล้วสีพระพักตร์ก็คล้ำหม่นลงทันใด
เพิ่งจะผ่านไปไม่เท่าไหร่ก็เกิดเรื่องขึ้นอีกแล้ว!
หยกขาวสำหรับทับกระดาษบนโต๊ะสลักลายมังกรถูกเปลี่ยนเป็นชิ้นใหม่ เพราะหลังจากที่ประกาศราชโองการประณามเซียงอ๋อง จิ่งหมิงฮ่องเต้อาศัยจังหวะที่ไม่มีคนอยู่ในห้องขว้างหยกขาวชิ้นเก่าลงพื้น
ใจจริงจิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่อยากทำลายข้าวของ เพียงแต่หากไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง ความรู้สึกคงอัดอั้นอยู่ในใจ ฉะนั้นหยกขาวทับกระดาษจึงกลายมาเป็นที่ระบายอารมณ์โกรธของจิ่งหมิงฮ่องเต้
หันหรานแอบชำเลืองมองสีหน้าคล้ำหม่นของจิ่งหมิงฮ่องเต้ และได้แต่พรั่นพรึงในใจ
ทันทีที่ได้รับรายงานจากผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา เขาจำต้องรีบเขามากราบทูลฝ่าบาททันที
เนื่องจากตลอดสองปีที่ผ่านมา มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่หน่วยองครักษ์จิ่นหลินของพวกเขากลับไม่มีบทบาทใดๆ ซึ่งนี่ทำให้ฝ่าบาทเริ่มรู้สึกไม่พอใจ ตั้งแต่เกิดเรื่องกับเซียงอ๋อง เขาได้สั่งให้ลูกน้องคอยจับตาดูจวนอ๋องทุกหลังอย่างเคร่งครัด
“ไปเรียกฉีอ๋องเข้าวังมาเดี๋ยวนี้” จิ่งหมิงฮ่องเต้ฟังรายงานจบแล้วจึงหันไปสั่งพานไห่ด้วยใบหน้าบึ้งตึง
พานไห่เพิ่งจะรับคำสั่งไม่ทันไร ขันทีอีกคนก็เข้ามารายงานว่าฉีอ๋องมาขอเข้าเฝ้า
“ให้เขาเข้ามา”
เพียงไม่นาน ฉีอ๋องก็เดินเข้ามาในห้องทรงพระอักษร ทันทีที่เห็นว่าหันหรานผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินอยู่ที่นั่นด้วย หัวใจของเขาก็พลันหนักอึ้ง
เหตุใดหันหรานถึงได้รวดเร็วปานนี้
หันหรานหลุบตามองปลายจมูกตนเองเพื่อหลบตาฉีอ๋อง
คนของเขาแจ้งฉีอ๋องไว้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ฉีอ๋องกลับชักช้า ดังนั้นจะมาโทษว่าเป็นความผิดเขาคงไม่ได้
ฉีอ๋องรับรู้ได้ถึงความผิดปกติจึงรีบสะบัดแขนเสื้อคุกเข่าลงทันใด “เสด็จพ่อโปรดอภัยให้ลูกด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“อภัยงั้นรึ” จิ่งหมิงฮ่องเต้เลิกคิ้ว แต่นัยน์ตาอับแสงโดยสิ้นเชิง “เจ้าทำอะไรผิด ถึงได้ต้องมาขอให้ข้ายกโทษ”
ฉีอ๋องผงะไปก่อนจะรีบเอ่ยกลบเกลื่อน “เป็นเพราะความเลินเล่อของลูกที่ปล่อยให้บ่าวรับใช้ละเลยพระชายา นางจึงวิ่งออกไปก่อเรื่องขายหน้าจนเป็นเหตุให้ราชวงศ์ต้องเสียเกียรติ…”
“แต่เหตุใดข้าถึงได้ยินว่า หลี่ซื่อไปป่าวประกาศอยู่ที่ถนนว่าเจ้าจะฆ่านาง” จิ่งหมิงฮ่องเต้ถามด้วยใบหน้าเครียดเขม็ง
ราชสำนักต้องขายหน้าถึงเพียงนี้ เหตุใดไอ้ลูกตัวดีถึงได้ไร้หัวคิดขนาดนี้!
ฉีอ๋องตื่นตระหนกพลางกล่าวเอ่ยด้วยท่าทีน้อยใจ “เสด็จพ่อ หลี่ซื่อก็กล่าวไปอย่างนั้นเองพ่ะย่ะค่ะ ลูกจะมีความคิดเช่นนั้นได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ลูบหยกขาวบนโต๊ะพลางสูดลมหายใจยาว “เจ้าสี่ หลี่ซื่อมีอาการทางจิตหรือไม่ เจ้าน่าจะรู้ดีที่สุด”
ฉีอ๋องเหงื่อกาฬท่วมตัว
การที่บอกคนภายนอกว่าหลี่ซื่อเสียสติ เป็นเพราะต้องการปิดบังเรื่องฉาวที่นางทำร้ายพระชายาเยี่ยนอ๋อง แต่ในความจริงแล้ว นางมิได้มีอาการทางจิตเลยแม้แต่น้อย
เรื่องนี้เขารู้อยู่แก่ใจ และเสด็จพ่อและฮองเฮาก็ทราบด้วยเช่นกัน
หากหลี่ซื่อมีอาการสติฟั่นเฟือนร้องตะโกนว่าเขาจะฆ่านาง เสด็จพ่อคงไม่เชื่อ แต่ในเมื่อหลี่ซื่อจิตปกติดีจึงไม่แปลกที่เสด็จพ่อจะถาม
ฉีอ๋องซบหน้าลงถึงพื้น และกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังที่เจือไปด้วยความหวาดหวั่น “เสด็จพ่อ ลูกไม่เคยมีความคิดเช่นนั้นจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ หลี่ซื่อคือภรรยาของลูก นางอยู่กับลูกมาเป็นสิบปี ถึงแม้นางจะทำความผิดใหญ่หลวง แต่การที่นางสูญเสียอำนาจของตำแหน่งพระชายาและอิสรภาพไป ลูกก็เห็นว่าเป็นการลงโทษที่หนักหนามากพอแล้ว ลูกไม่มีเหตุผลที่ต้องจบชีวิตนางเลยพ่ะย่ะค่ะ…”
“เจ้ามิได้ต้องการจะแต่งงานกับสตรีสูงศักดิ์คนอื่นหรอกหรือ” ความผิดที่โอรสทั้งหลายก่อบั่นทอนความอดทนของจิ่งหมิงฮ่องเต้ ฉะนั้นเขาจึงไม่มีความเกรงใจใดๆ หลงเหลืออีกแล้ว
ฉีอ๋องตัวสั่นสะท้าน ความรู้สึกหดหู่ทวีหนักหน่วง
ท่าทีของเสด็จพ่อที่มีต่อเขาช่างแตกต่างจากโอรสคนอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด
พี่ชายน้องชายตั้งมากมาย แต่เสด็จพ่อกลับใจร้ายและไร้เมตตากับเขามากที่สุด
เขาพยายามอดกลั้นมาหลายปี ขนาดกับองครักษ์ยศต่ำ เขายังทักทายด้วยรอยยิ้ม แต่เหตุไฉนเสด็จพ่อถึงได้ทำกับเขาเช่นนี้
เสียงของฉีอ๋องตะกุกตะกัก “ฟ้าดินเป็นพยาน ลูกมิได้มีความคิดเช่นนั้นจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“ครั้นจะบอกเช่นนี้ก็หมายความว่าหลี่ซื่อมีอาการทางจิตจริงๆ งั้นหรือ”
ฉีอ๋องก้มศีรษะพลางตอบ “บางทีความคับแค้นใจอาจทำให้นางเป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หลับตาเอ่ยว่า “พานไห่ เจ้าส่งคนไปที่จวนฉีอ๋อง และพาพระชายาฉีอ๋องไปอยู่ที่อารามบรรพชน”
หลังอารามหลวงมีสำนักชีที่ถูกสร้างขึ้นสำหรับนางสนมที่คอยรับใช้จักรพรรดิองค์ก่อน หรืออาจเป็นที่สำหรับสตรีในราชวงศ์ที่ถูกส่งมาด้วยสาเหตุต่างๆ
ฉีอ๋องหลุบตารับฟังคำสั่งของจิ่งหมิงฮ่องเต้พร้อมกับหัวใจที่พังย่อยยับ
หากหลี่ซื่อเข้าไปอยู่ในอารามบรรพชน เขาก็ไม่อาจเข้าไปแทรกแซง
ตราบใดที่หลี่ซื่อยังไม่ตาย เขาก็ไม่สามารถแต่งงานกับสตรีอื่นได้ และจวนฉีอ๋องก็คงยุ่งเหยิงไม่น้อย
หากหลี่ซื่อมีอายุยืนยาวกว่าเขา เขาจะทำอย่างไร จวนอ๋องจะมิต้องขาดนายหญิงตลอดไปหรือ
ฉีอ๋องคิดแล้วอยากจะเอาตัวพุ่งชนกำแพงให้รู้แล้วรู้รอด
จิ่งหมิงฮ่องเต้ทนเห็นหน้าฉีอ๋องไม่ได้อีกแล้ว เขาจึงเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าออกไปได้แล้ว ต่อไปนี้ก็ทำตัวให้ดี”
หัวใจของฉีอ๋องเย็นเยียบโดยสมบูรณ์
เสด็จพ่อชิงชังเขาถึงเพียงนี้เชียวหรือ