บทที่ 413 วอนหาเรื่อง
เมื่อได้ยินชื่อของจิงหง ฉู่ชวิ๋นก็หยุดชะงักแล้วหันหลังกลับมาทันที
“ไม่ไปแล้วเหรอ? จะกลับมาทำไมล่ะ?” หยานกุยล๋ายทำหน้าประหลาดใจ สวนทางกับรอยยิ้มเย้ยหยันที่ปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก
“ผมเพิ่งคิดได้ว่าการทิ้งพวกคุณไว้ที่นี่เพียงลำพังมันไม่ถูกต้อง” ฉู่ชวิ๋นมองหน้าหยานกุยล๋ายด้วยแววตาจริงจัง พูดว่า “เมื่อสักครู่ตกลงกันไว้ที่สมุนไพรจิตวิญญาณ 1,000 กำมือ เอาเป็นว่าผมลดให้ครึ่งราคา เหลือแค่ 500 กำมือเท่านั้น ตกลงไหม?”
“ตกลง” หยานกุยล๋ายยื่นมือออกมาข้างหน้าพร้อมกับยิ้มกว้าง
“หมายความว่า?” ฉู่ชวิ๋นเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายก็สังหรณ์ใจประหลาด
“ก็นายจะให้สมุนไพรจิตวิญญาณฉัน 500 กำมือไม่ใช่เหรอ?” หยานกุยล๋ายพูดด้วยน้ำเสียงสะใจ
“อยากโดนดีอีกใช่ไหม?” ฉู่ชวิ๋นถูมือด้วยความหมั่นเขี้ยวอีกครั้ง
“ก็เข้ามาสิ คิดว่าฉันกลัวแกหรือไง?” หยานกุยล๋ายผายมือเป็นทำนองเชื้อเชิญ “แต่แกดูสภาพแวดล้อมของที่นี่ให้ดี แค่นี้ฉันก็ลำบากมากพอแล้ว แกจะซ้ำเติมฉันอีกสินะ? เชิญแกลงมือได้เลย”
หลังจากกล่าวจบแล้ว หยานกุยล๋ายก็ยุติบทสนทนา แล้วเดินผ่านเขาไปเพื่อพูดคุยกับบรรดาผู้อาวุโสประจำตระกูลหยาน
ไม่นานหลังจากนั้น บริวารของตระกูลหยานก็กลับมาจากการซื้อเต็นท์
ไม่กี่อึดใจให้หลัง เต็นท์ก็ถูกกางเรียบร้อย โดยเหลือเต็นท์ที่ว่างอยู่แค่เพียงสองหลังเท่านั้น
“เต็นท์สองหลังนี้จะเอาไว้ให้หยานเอ๋อร์กับแม่นางจิงหง ช่วยดูกันให้ดีด้วยล่ะ อย่าให้มีหนูโสโครกวิ่งเข้าไปได้เด็ดขาด” หยานกุยล๋ายอยู่ดี ๆ ก็ตะโกนเสียงดัง
ฉู่ชวิ๋นยิ้มเย้ยหยัน หัวใจกระตุกวูบ เขาต้องสั่งสอนตาแก่นี่จริง ๆ ซะแล้วสิ
“น้องฉู่ชวิ๋น อีกไม่นานก็จะมืดค่ำแล้ว รีบไปซื้อเต็นท์มาก่อนดีกว่านะ!” หยานกุยล๋ายพูดแล้วก็ยิ้มกริ่ม “ถึงแม้ว่าพวกเราชาวป่าชาวเขาจะชอบนั่งตากลมกินน้ำค้าง แต่โลกเดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปแล้ว น้องชายยังมีเวลาไปซื้อเต็นท์ทันรีบไปซื้อมาเถอะ”
โดยไม่รอให้ฉู่ชวิ๋นตอบรับคำใด หยานกุยล๋ายก็หันหน้ากลับไป ตะโกนบอกบริวารของตนเองให้รีบเข้าไปพักผ่อนในเต็นท์ ห้ามออกมาเดินเพ่นพ่านนอกบริเวณเด็ดขาด
ไม่นานหลังจากนั้น หยานกุยล๋ายก็ส่งเสียงตะโกนออกมาจากด้านในเต็นท์อีกครั้งว่า
“เฮ้อ..อาหารแสนอร่อย สุราเลิศรส แถมยังได้ชื่นชมความงามของธรรมชาติ”
ตอนที่บริวารของตระกูลหยานเดินทางกลับมาจากการซื้อเต็นท์ พวกมันได้ซื้ออาหารและสุราติดมือกลับมาด้วยจำนวนมาก
เต็นท์ที่พักของหยานกุยล๋ายมีความใหญ่โตโอ่อ่ามากที่สุด พื้นที่ด้านบนเปิดเป็นช่องสามารถมองท้องฟ้าได้อย่างชัดเจน ชายชรายกแก้วไวน์ขึ้น ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ขอดื่มให้แก่พระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดิน ผู้น้อยขอคารวะ ซ้วบ…”
หยานกุยล๋ายกระดกเครื่องดื่มเข้าปาก หลังจากนั้น เขาก็เริ่มร่ายโครงกลอนที่มันไม่คล้องจองกันเลยแม้แต่น้อย
“นายท่านครับ ให้พวกผมไปซื้อเต็นท์ดีไหม?” หลงอี้ถาม
ฉู่ชวิ๋นเลิกคิ้วขึ้นสูงเล็กน้อยแล้วโบกมือ “เรามีเต็นท์อยู่แล้ว จะต้องไปซื้อมาเพิ่มอีกทำไมกัน!”
“อยากได้หลังไหนก็ไปแย่งมาเลย” ฉู่ชวิ๋นพูดจบ ก็กระโดดหายเข้าไปในเต็นท์ของหยานกุยล๋าย
ผลั่ก…!
ได้ยินเสียงตุบตับดังแว่วออกมา ก่อนจะตามด้วยเสียงร้องโหยหวนของหยานกุยล๋าย
หลงอี้กับหลงเอ้อร์หันมองหน้ากัน แล้วก็พากันกระโดดหายเข้าไปในเต็นท์ของผู้อาวุโสจากตระกูลหยานทั้งสองคน
“จอมมาฉู่ชวิ๋น ทำอะไรของนายเนี่ย? ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ” หยานกุยล๋ายร้องคำราม
เปรี้ยง!
ชายชราโดนฉู่ชวิ๋นยันกระเด็นออกมาจากเต็นท์ จมูกบิดเบี้ยว ใบหน้าบวมปูด รอยช้ำรอบดวงตาดำเข้มมากขึ้นกว่าเดิม
“พวกเรา ลากตัวมันออกมา” หยานกุยล๋ายส่งเสียงตะโกนด้วยความเดือดดาล
แต่ยังไม่ทันสิ้นเสียงของเขา ร่างของผู้อาวุโสทั้งสองคนก็ลอยออกมาจากเต็นท์ทั้งสองหลัง ก่อนที่จะหล่นตุบลงมากองอยู่เบื้องหน้าผู้เป็นหัวหน้าตระกูล
“นายท่านครับ!”
ผู้อาวุโสประจำตระกูลหยานทั้งสองคนมีสภาพจมูกหักงอ ใบหน้าบวมช้ำ กำลังจ้องมองหยานกุยล๋ายตาละห้อยน่าสงสารเป็นที่สุด
“พวกแก…ทำไมถึงได้อ่อนหัดแบบนี้” หยานกุยล๋ายเบิกตาจ้องมองบริวารทั้งสองคน
ผู้อาวุโสประจำตระกูลหยานได้แต่รำพึงอยู่ในใจว่า นายท่านก็โดนเหมือนกันไม่ใช่หรือครับ? ใบหน้ายังบวมมากกว่าพวกเราเสียอีก
“จอมมารฉู่ชวิ๋น แกมันโอหังเกินไปแล้วนะ”
เสียงหัวเราะดังออกมาจากในเต็นท์
“สุราเลิศรสเมื่อมาพบกับอาหารอร่อย ล้วนแต่เป็นสิ่งที่หยุดไม่ได้เลยจริง ๆ ซ้วบ...ซ้วบ…”
“หลงอี้ หลงเอ้อร์ ไม่ต้องเกรงใจ ดื่มกินกันให้เต็มที่”
“ผู้น้อยรับคำบัญชา”
นักรบมังกรเงินทั้งสองคนประสานเสียงดังลั่น
“นายท่านครับ ผมเคยได้ยินหัวหน้าหมู่บ้านเวลาเมามายชอบร่ายกลอนบทหนึ่ง นายท่านอยากฟังหรือไม่?” หลงอี้ตะโกนถาม
“จัดมา” ฉู่ชวิ๋นตอบ
“เวลาหัวหน้าหมู่บ้านเมามาย เขาชอบท่องบ่นว่า สองหนึ่งสอง สองสองสี่ สองสามหก สองสี่แปด สองห้าสิบ สองหกสิบสอง แล้วก็เดินไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะชนกำแพง”
ฉู่ชวิ๋นระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความขบขัน “หลงชิงฉวนท่องแบบนี้จริงสิ?”
“จริงครับ”
ฉู่ชวิ๋นพบว่ามันน่าสนใจไม่น้อย ไม่คิดเลยว่าตาแก่ตกยุคอย่างหลงชิงฉวนจะชื่นชอบการท่องสูตรคูณแบบนี้
“จอมมารฉู่ชวิ๋น เมามายจนไม่กล้าโผล่หัวออกมาแล้วหรือไง?” หยานกุยล๋ายโกรธแค้นจนควันออกหู ชายหนุ่มนอกจากยึดเต็นท์ที่พักของเขาไปแล้ว แม้แต่อาหารและเครื่องดื่มก็ยังถูกแย่งไปจนหมด แบบนี้เรียกว่ารังแกผู้คนจนเกินรับได้แล้ว
“ถ้ามีความสามารถก็เข้ามาหาผมสิ รับรองว่าผมไม่ฆ่าคุณหรอก” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม
หยานกุยล๋ายได้ยินดังนั้นก็ลุกพรวดด้วยความฉุนโกรธ พับแขนเสื้อขึ้นเตรียมเข้าไปต่อสู้กับฉู่ชวิ๋นอีกครั้ง เดือดร้อนให้ผู้อาวุโสทั้งสองคนต้องรีบยื้อยุดฉุดตัวเอาไว้
“นายท่านครับ เข้าไปไม่ได้นะ เดี๋ยวก็โดนเขาตบคว่ำอีกหรอก”
ผู้เป็นหัวหน้าตระกูลหยานได้ยินเข้าก็เดือดดาลหนักกว่าเก่า รู้สึกเหมือนโดนแทงข้างหลัง คำรามว่า “พวกแกว่าอะไรนะ? เป็นฉันต่างหากที่ออมมือให้มัน ฝีมือกระจอกอย่างพวกแกจะรู้อะไร? ถ้าฉันเอาจริงขึ้นมา สภาพของจอมมารคงยับเยินแม้แต่มารดามันก็ยังจำหน้าบุตรไม่ได้”
“นายท่านพูดถูกแล้วครับ พวกเราก็ออมมือให้ไอ้สองคนนั้นเหมือนกัน พวกมันเป็นเพื่อนกับนายน้อย ขืนเราทำอะไรรุนแรงไป เดี๋ยวจะมีเรื่องกันเปล่าๆ”
“ใช่ครับใช่ ผมได้แต่ทำเป็นไม่สนใจมันนี่แหละ ไม่งั้น พวกมันโดนผมตบคว่ำไปนานแล้ว”
“พวกแกทำถูกแล้วล่ะ พวกเราคนตระกูลหยานเป็นผู้สูงส่ง จะทำตัวหยาบช้าขี้ขโมยแบบพวกจอมมารไม่ได้เด็ดขาด”
ผู้อาวุโสทั้งสองคนได้ยินหยานกุยล๋ายพูดเช่นนั้นก็อดหดหัวไม่ได้ แต่เมื่อพบว่าไม่มีการเคลื่อนไหวจากเต็นท์ที่พักของฉู่ชวิ๋น ทั้งสองคนจึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“นายท่านครับ ยังเหลือเต็นท์ว่างอยู่อีกสองหลัง นายท่านเข้าไปพักผ่อนก่อนเถอะ นายน้อยคงยังไม่มาถึงเร็ว ๆ นี้หรอกครับ”
“ตามนั้น!”
หยานกุยล๋ายลุกขึ้นจากพื้นดิน หันไปพ่นลมผ่านจมูกใส่เต็นท์ของฉู่ชวิ๋นทีหนึ่ง ก็พาผู้อาวุโสทั้งสองคนเดินตรงไปยังเต็นท์สองหลังที่ยังไม่มีคนจับจอง
“จมูกหักหน้าบวมขนาดนี้ ยังคิดกันไม่ได้อีกเหรอ นับว่าแก่กะโหลกกะลาจริง ๆ!” ฉู่ชวิ๋นพูดไปก็ส่ายหน้าไปด้วยความระอาใจยิ่งนัก
……
จังเฟิงหลิงวิ่งหนีเหมือนสุนัขหางจุกตูด ไม่กล้าหยุดพักแม้แต่วินาทีเดียว ด้วยหวาดกลัวว่าฉู่ชวิ๋นอาจจะเปลี่ยนใจและไล่ตามมาฆ่ามันได้
หลังจากวิ่งหนีมาได้ประมาณ 2 ถึง 3 ชั่วโมง และเห็นประตูของบ้านตระกูลจังอยู่ตรงหน้าลิบ ๆ ดวงตาของมันก็เหลือกค้าง ก่อนที่จะล้มลงหมดสติไป
ลูกศิษย์ของตระกูลจังที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูเห็นเหตุการณ์นี้ ก็พร้อมใจกันรีบวิ่งเข้ามาช่วยประคองจังเฟิงหลิงด้วยความตื่นตระหนก
การหมดสติของจังเฟิงหลิง สร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นแก่ตระกูลจังเป็นอย่างยิ่ง
ชายร่างสูงวัยกลางคนสีหน้าเครียดขรึม ดวงตาเย็นชา สวมใส่เสื้อผ้าสีขาว คนผู้นี้คือจังหยวนจื่อ หัวหน้าตระกูลจังคนปัจจุบันนั่นเอง
จังหยวนจื่อแผ่รัศมีความเย็นชาออกมาจากร่างกาย บริวารของตระกูลจังอดหนาวสั่นไม่ได้แล้ว
เป็นที่ทราบกันดีว่าจังเฟิงหลิงคือทายาทสืบเชื้อสายเดียวของตระกูลจัง หากจังเฟิงหลิงเป็นอะไรไป จะต้องเกิดผลกระทบร้ายแรงตามมา
ผู้ที่อยู่เคียงข้างจังหยวนจื่อเป็นชายฉกรรจ์ร่างกายสูงใหญ่หน้าตาดุร้ายสองคน ดวงตาของพวกมันเป็นสีแดงฉาน คนหนึ่งมีนามว่าจินเว่ย อีกคนมีนามว่าจินเฉิง พวกมันทั้งสองคนเป็นผู้อาวุโสจากสำนักวัชระ
หลังจากตรวจร่างกายของจังเฟิงหลิงแล้ว จังหยวนจื่อก็อดไม่ได้ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“นายท่านครับ นายน้อยเป็นอย่างไรบ้าง?” ผู้อาวุโสที่มีสถานะสูงที่สุดของตระกูลจังเป็นคนถามขึ้น
“แค่หมดสติไปด้วยความหวาดกลัว นอกนั้นก็ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล” ถึงแม้จะพูดออกไปเช่นนั้น แต่จังหยวนจื่อก็ยังคงตรวจสอบร่างกายบุตรชายซ้ำอีกรอบ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีปัญหาอื่นใดจริง ๆ ด้วยว่าจังเฟิงหลิงเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของเขา จังหยวนจื่อจะให้เกิดความผิดพลาดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด
ผู้ฝึกวิชายิ่งมีระดับพลังสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีบุตรยากมากขึ้นเท่านั้น
จังหยวนจื่อถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่จังเฟิงหลิงและเลี้ยงดูฟูมฟักบุตรชายยิ่งกว่าไข่ในหิน
ไม่นานต่อมา จังเฟิงหลิงก็ฟื้นคืนสติขึ้นมาแล้ว
“ท่านพ่อครับ ช่วยผมด้วย…ช่วยผมด้วย…” จังเฟิงหลิงเมื่อลืมตาขึ้นมาเห็นจังหยวนจื่อ ก็ร่ำร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวและสับสน
จังหยวนจื่อมีแววตาเป็นประกายเย็นเยียบ จ้องมองสภาพเนื้อตัวของบุตรชายด้วยความอาฆาตแค้น
“ไม่ต้องกลัวลูกพ่อ พ่ออยู่ที่นี่แล้ว ไม่มีใครทำอะไรเจ้าได้แล้ว” จังหยวนจื่อพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ไม่นาน จังเฟิงหลิงจึงได้มีสีหน้าดีขึ้นมาบ้าง
“คุณชายจัง ตกลงนี่มันเกิดเหตุอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมถึงมีแต่คุณคนเดียวที่รอดมาได้?” จินเว่ยถาม ความจริงมันไม่ได้เป็นห่วงคุณชายจังเลยแม้แต่น้อย คนที่มันเป็นห่วงคือผู้อาวุโสทั้งห้าของสำนักวัชระที่ไม่ได้กลับมาด้วยต่างหาก
จังเฟิงหลิงมีสีหน้าเหม่อลอย เมื่อได้ยินคำถามของจินเว่ย มันก็ถึงกับเงียบไปชั่วครู่ใหญ่ ก่อนจะตะโกนออกมาว่า “ตายแล้ว พวกมันตายหมดแล้ว อย่าฆ่าฉันเลยนะ…อย่าฆ่าฉันเลย…”
จังเฟิงหลิงเงยหน้ามองฝ่ายตรงข้ามด้วยความหวาดกลัวสุดชีวิต
ในขณะนี้ จังเฟิงหลิงพูดออกมาอย่างชัดเจนแล้วว่าคนอื่น ๆ ที่ไปพร้อมกับเขาล้วนตายไปหมดแล้ว
กลุ่มคนได้ยินดังนั้นก็อดตกตะลึงไม่ได้ ตระกูลจังส่งคนไปถึง 150 คน มีจอมยุทธ์ระดับผู้อาวุโส 20 คน แถมยังมีผู้อาวุโสจากเผ่าพันธุ์มนุษย์คิงคองตามไปด้วย ผีสางที่ไหนกันจะสามารถฆ่าคนเยอะแยะขนาดนี้ได้ในพริบตาเดียว?
จินเว่ยกับจินเฉิงหันมองหน้ากัน ใบหน้าที่เดิมทีก็อัปลักษณ์อยู่แล้ว ยิ่งเพิ่มความอัปลักษณ์มากยิ่งขึ้น จินเฉิงเป็นคนพูดออกมาว่า “คุณชายจัง ช่วยเล่ารายละเอียดให้ฟังหน่อยได้หรือไม่?”
“ตายแล้ว ตายกันหมดแล้ว พวกมันโดนฆ่าตายหมด บนพื้นดินมีแต่เลือดไหลนอง มีแต่แขนขาคนเต็มไปหมด” จังเฟิงหลิงตัวสั่นเทา แต่ดูเหมือนจะกลับมาได้สติมากขึ้นกว่าเดิม เวลาพูดจาก็ไม่ได้สับสนเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว
“คุณชายจัง เล่าให้พวกฉันฟังหน่อยสิว่าแท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” จินเว่ยถามด้วยความร้อนรนเมื่อเห็นว่าจังเฟิงหลิงไม่ยอมเล่าเหตุการณ์สักที
จังหยวนจื่อหน้าเข้ม พูดด้วยความไม่พอใจ “พี่จิน ลูกชายผมกำลังตกใจ ช่วยรอให้มันตั้งสติอีกสักนิด แล้วค่อยถามใหม่ได้หรือไม่”
จินเว่ยกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่จินเฉิงก็ส่ายหน้าห้ามเอาไว้
ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก ทุกคนต่างรอคอยให้คุณชายจังตั้งสติให้คงที่ สำหรับการตอบคำถามอีกครั้ง
ดวงตาสีแดงก่ำของจินเว่ยจ้องมองจังเฟิงหลิงไม่วางตา ก้นบึ้งในแววตาของมันเต็มไปด้วยประกายแห่งความเหยียดหยามดูถูก
จินเฉิงเองก็แอบชำเลืองมองหลายครั้ง แต่ที่นี่คือตระกูลจัง ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของจังหยวนจื่อ ในครั้งนี้พวกมันเพียงแค่มาช่วยเหลือในการสู้รบเท่านั้น และถึงแม้ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์คิงคองจะไม่ได้หวาดกลัวตระกูลจัง แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องเปลี่ยนมิตรให้กลายเป็นศัตรูโดยไม่จำเป็น
ผ่านไปได้อีกชั่วครู่ใหญ่ จังเฟิงหลิงจึงได้พูดออกมาว่า
“ทุกคนตายหมดแล้วยกเว้นผม”
“พวกมันตายได้ยังไง?” จินเว่ยถามทันที “หรือว่าหอกระจกนิรันดร์มีบรรพบุรุษที่เก็บตัวออกมาช่วยเหลือ?”
จังเฟิงหลิงยังคงมีน้ำเสียงสั่นเครือในขณะที่ตอบว่า “คนผู้นั้นน่ากลัวกว่าบรรพบุรุษประจำสำนักหลายร้อยเท่า ต่อให้เป็นบรรพบุรุษประจำสำนัก ก็ไม่มีทางฆ่าคนผู้นั้นได้เด็ดขาด”
“ลูกรัก เจ้าไปเจออะไรมากันแน่?” จังหยวนจื่อ อดถามออกมาไม่ได้
“มันคือ จอมมารฉู่ชวิ๋น”
จังเฟิงหลิงตอบกลับมาเพียงแค่ประโยคเดียว ทุกผู้คนที่อยู่ภายในห้องก็ถึงกับตะลึงลาน
“คุณชายไปพบกับจอมมารฉู่ชวิ๋นมาหรือครับ?” ผู้อาวุโสสกุลจังถามได้เท่านั้น ก็พูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
จังเฟิงหลิงพยักหน้า ตอบว่า “ใช่ หอกระจกนิรันดร์เกือบจะตกเป็นของเราอยู่แล้ว แต่อยู่ดี ๆ จอมมารก็ปรากฏตัวขึ้นมา แล้วมันก็เริ่มต้นฆ่าคนไม่พูดไม่จาสักคำ”
“จอมมารฉู่ชวิ๋นเก่งกาจถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?” จินเว่ยยังคงไม่อยากเชื่อ “แล้วจินจ้งล่ะ? มันมีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 9 เชียวนะ”
จังเฟิงหลิงหันไปมองหน้าคนถาม แล้วตัวก็สั่นเทา “ผู้อาวุโสจินถูกจอมมารฉู่ชวิ๋นต่อยจนแขนหักใช้งานไม่ได้ สุดท้ายก็โดนกระทืบตายคาที่ เช่นเดียวกับผู้อาวุโสคนอื่นๆ ของสำนักวัชระ ไม่มีใครสามารถต้านทานหมัดของจอมมารฉู่ชวิ๋นได้เลยสักคนเดียว”
จินเว่ยกับจินเฉิงหันมองหน้ากันโดยไม่รู้ตัว พวกมันต่างพบเห็นร่องรอยของความตกตะลึงในดวงตาของกันและกัน ผู้อาวุโสของสำนักพวกมัน ไม่มีใครสามารถต่อกรกับจอมมารฉู่ชวิ๋นได้เลยสักคน แม้แต่จินจ้งก็ถูกฆ่าตายในพริบตา