บทที่ 281 รักหนูบ้างได้ไหม
บทที่ 281 รักหนูบ้างได้ไหม
เมื่อสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงเย็นชาของเซี่ยชิงหยวน หวังผิงก็สำลักคำพูดตำหนิของตัวเอง ริมฝีปากของเธอเผยอออก แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะพูดยังไงต่อ
ครั้งสุดท้ายที่เซี่ยจิ่งเฉินกลับบ้าน เขาคุยกับเธอเกี่ยวกับเซี่ยชิงหยวน
เวลานั้นเธอยังตัดสินใจที่จะพยายามเข้ากันให้ได้ดีกับเซี่ยชิงหยวน
แต่เธอพบว่าเซี่ยชิงหยวนดูเหมือนจะยังโกรธตัวเองอยู่ และมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ขัดกับความคาดหวังของเธอ
อากาศที่ติดอยู่ในใจเธอเหมือนกับลูกโป่ง มันเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และต้องระบายมันออกไป
เซี่ยชิงหยวนกล่าวต่อ “แม่ลองถามตัวเองดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับจางอวี้เอ๋อ หนูจับเธอมัดให้ปีนขึ้นไปบนเตียงของคนอื่นเหรอ?”
“และการทะเลาะกันระหว่างพี่รองและภรรยาของเขามีผลมาจากหนูรึไง? และเป็นหนูเหรอที่บอกให้จางอวี้เจียวไม่ให้ความเคารพผู้อาวุโส ไม่สนใจครอบครัวสามีและลูก ๆ ตัวเอง เอาแต่สนใจตระกูลจางของเธอเท่านั้น?”
ในตอนท้าย เซี่ยชิงหยวนเองก็หัวเราะด้วยความโกรธ “แม่ แม่ช่างมองหนูได้ดีจริง ๆ”
“ชิงหยวน!” หวังผิงตะโกน “อวี้เจียวเป็นพี่สะใภ้รองของเธอนะ!”
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินเซี่ยชิงหยวนแสดงความไม่พอใจกับตัวเธอ และจางอวี้เจียวอย่างตรงไปตรงมา
หญิงชราอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเย็นชาในใจ “เป็นไปได้ไหมว่าพี่รองของลูกกำลังจะหย่าร้างเพราะสิ่งที่ลูกบอกเขา?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หวังผิงก็โกรธและกังวล “นังลูกไม่รักดี! นี่แกคาดหวังให้พวกเขาหย่าร้างกันใช่ไหม?”
สำหรับข้อกล่าวหาของหวังผิง เซี่ยชิงหยวนรู้สึกไร้เรี่ยวแรงอยู่พักหนึ่งและเธอพูดอย่างเหนื่อยแรง “แม่อยากจะคิดอะไรก็คิดไปอย่างที่ใจต้องการเลย แต่ถ้าแม่จะโทรมาแค่พูดเรื่องพวกนี้ หนูก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หวังผิงก็เต็มไปด้วยความโกรธ “แก…แก…”
ลูกทั้งสามที่เติบโตขึ้นมา มีใครไม่เชื่อฟังเธอเหมือนเซี่ยชิงหยวนอย่างในวันนี้บ้าง!
ตั้งแต่ยังเล็ก หวังผิงไม่กล้าที่จะพูดคำว่า ‘ไม่’ ต่อหน้าพ่อแม่ และเธอก็เชื่อฟังทุกสิ่ง หลังจากที่แต่งงาน หญิงชราก็สอนลูก ๆ ในแบบเดียวกัน แต่ไม่คาดคิดว่าเซี่ยชิงหยวนซึ่งปกติแล้วจะเชื่อฟังที่สุด ตอนนี้กลับกลายเป็นคนที่หัวขบถอันดับหนึ่ง!
หวังผิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ พยายามสงบสติอารมณ์ แต่เสียงของหญิงชรายังคงสั่นเทา “ชิงหยวน ไปคุยกับอี้โจวแล้วขอให้เขาช่วยเรื่องอวี้เอ๋อซะ ส่วนพี่รองของลูก ลูกก็แนะนำเขาว่าอย่าหุนหันพลันแล่นให้มากนัก เมื่อเรื่องต่าง ๆ คลี่คลายลงแล้ว ครอบครัวของเราจะได้อยู่อย่างสุขสงบเหมือนเดิม”
“ไม่อย่างนั้นหากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป มันจะมีแต่ความน่าอับอาย”
หญิงชราหยุดและหายใจหนักขึ้น “จงเชื่อฟัง และฉันกำลังขอร้องเธอในฐานะแม่ ตกลงไหม?”
เมื่อเซี่ยชิงหยวนได้ยินคำว่า ‘ขอร้อง’ ความโศกเศร้าในใจเธอก็รุนแรงยิ่งกว่าความตกใจ
นิ้วของเธอพันกันอยู่กับสายของเครื่องรับโทรศัพท์ และก้อนหินในหัวใจก็หนักขึ้น ความรู้สึกไร้พลังในใจของเธอแผ่ออกไป เหลือแต่ความแห้งแล้งราวกับไม่สามารถมีหญ้าใด ๆ เติบโตขึ้นได้
จากนั้นเธอพูดด้วยเสียงที่สงบและราบเรียบ “แม่คะ จริง ๆ แล้วแม่ควรเข้าใจดีกว่าใคร ๆ ว่าเรื่องนี้แก้ไขไม่ได้ง่าย ๆ เพียงเพราะอี้โจวช่วย ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเขาพยายามช่วย บางทีหายนะอาจจะสะท้อนกลับมาสู่ตัวเขาก็ได้ แต่แม่ก็ยังพูดขอมันออกมา”
“แม่ใช้คำว่าขอร้อง แต่นี่มันก็ไม่ต่างอะไรกับการใช้สถานะแม่ในการกดดันหนูไม่ใช่รึไง?”
“แม่คิดว่าพอแม่พูดแบบนี้แล้วหนูคงทำได้แค่เห็นด้วย ไม่อย่างนั้นหนูจะกลายเป็นลูกอกตัญญูใช่ไหม?”
เซี่ยชิงหยวนมองออกไปนอกหน้าต่าง ต้นไม้ในเมืองเตียนเฉิงยังคงเป็นสีเขียวในปลายเดือนตุลาคม นกส่งเสียงร้องอยู่บนกิ่งก้าน ซึ่งเต็มเปี่ยมพลัง เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะเทือนในใจ
ความเจ็บปวดค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นในใจของเธอ
ไม่รู้ว่าคุ้นเคยหรือเปล่า แต่ความเจ็บปวดแบบนี้มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อชาติก่อน แต่ตอนนี้มันกลับรู้สึกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มันเป็นเหมือนเข็มทื่อที่ปักเข้ามาอย่างหนักแน่น
เซี่ยชิงหยวนบอกตัวเองว่ายังไหวอยู่ เธอยังรับรู้ถึงความรัก ความเกลียดชัง ความโกรธ และความโง่เขลา
เธอไม่ให้โอกาสหวังผิงได้พูดต่อ “แม่คะ หนูก็เป็นลูกสาวของแม่เหมือนกัน แม่ช่วยรักหนู ดูแลหนูบ้างได้ไหม?”
เมื่อประโยคนี้พูดออกไป น้ำตาของเธอก็ไหลออกมา เธอเงยหน้าขึ้น พลันเบิกตากว้างเพื่อไม่ให้น้ำตาไหลออกมาอีก
ปลายสายของโทรศัพท์เงียบกริบ เซี่ยชิงหยวนจึงพูดต่อ “แม่ หนูยังคงมีเรื่องต้องทำ หนูขอวางสายก่อนนะ”
หลังจากพูดจบเธอวางสายโทรศัพท์ทันที
เซี่ยชิงหยวนยืนขึ้น ใช้หลังมือเช็ดน้ำตาจากหางตา แล้วเดินออกจากประตูไปทีละก้าว ราวกับดอกไม้ที่ปลิวไปตามสายลมและสายฝน ไม่มีอะไรสามารถล้มเธอลงได้
เธอเปิดประตู และดวงอาทิตย์ก็สาดส่องมายังร่างกายหญิงสาว อาบไล้อย่างอ่อนโยนบนตัวเธอ
รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏบนริมฝีปาก แล้วเธอก็เดินออกไป
…
ในตอนเที่ยง เซี่ยจิ่งเฉินและกงเหลียนซินก็มาถึงหมู่บ้านซิ่งฮวาแล้ว
เวลานี้เป็นช่วงที่ทุกคนกินข้าวที่บ้าน และได้กลิ่นอาหารไปตลอดทาง
จากทางเข้าหมู่บ้าน เซี่ยจิ่งเฉินเดินไปตามบ้านที่เขารู้จักและตะโกนเรียกหา
สักพักชายหนุ่มคนหนึ่งก็ออกมาจากข้างในบ้าน ทั้งสองกระซิบกันสองสามคำ จากนั้นชายคนนั้นก็หยิบแท่งไม้ขึ้นมาแล้วตามเขาไป
ระหว่างทางก็มีผู้คนเดินสมทบเซี่ยจิ่งเฉินมากขึ้นเรื่อย ๆ เกือบสิบคน
กงเหลียนซินเคยพบกับเพื่อนของเซี่ยจิ่งเฉินมาก่อน และทันใดนั้นเธอก็คาดเดาอย่างกล้าหาญในใจ
เธอมองไปที่เซี่ยจิ่งเฉิน แต่ใบหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง
ไม่ใช่อย่างที่เธอคิดใช่ไหม?
ทันทีที่ทั้งสองเดินไปถึงประตูบ้าน พวกเขาก็ได้ยินเสียงดังและร้องไห้อยู่ข้างใน
เสียงนั้นเป็นเสียงของผู้ใหญ่และเสียงร้องไห้เป็นของเด็ก ๆ โดยที่เสียงของเซี่ยซือถงและเซี่ยซือเหยียนนั้นดังที่สุด
ในใจกงเหลียนซินกังวลเกี่ยวกับเด็ก ๆ ดังนั้นเธอจึงทนไม่ไหวอีกต่อไป และรีบวิ่งไปทันที
เซี่ยจิ่งเฉินกับเพื่อน ๆ ของเขาพยักหน้า และเดินตามไปข้างหลังอย่างใกล้ชิด
กลุ่มเพื่อนของเซี่ยจิ่งเฉินยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก และยังไม่เข้าไปทันที
ทันทีที่กงเหลียนซินและเซี่ยจิ่งเฉินเข้าไปในลานบ้าน พวกเขาก็เห็นความวุ่นวาย เด็กสามคนกำลังร้องไห้และผู้ใหญ่ก็กำลังทะเลาะกัน
แม่ของจางอวี้เจียวยืนอยู่ด้านหน้าชี้ไปที่หวังผิง และตะโกนใส่ ทั้งพ่นคำหยาบคายต่าง ๆ มากมาย
ลูกชายทั้งสี่คนยืนอยู่ข้างหลังเธอ มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างได้ใจ
จางอวี้เจียวนั่งบนเก้าอี้ข้าง ๆ ร้องไห้เรียกความสงสาร และพร่ำถึงความใจร้ายของเซี่ยจิ่งเฉิน
เมื่อเทียบกับคนตระกูลจางแล้ว หวังผิงดูอ่อนแอกว่ามาก
ทั้งเซี่ยจิ่งเยว่และเซี่ยโยว่หมิงเป็นคนที่พยายามเกลี้ยกล่อมทุกคนให้ใจเย็น ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงยืนอยู่ตรงกลาง เพื่อบอกทุกคนว่าอย่าทะเลาะกัน
คนตระกูลจางไม่ได้คิดจะปรองดอง พวกเขายังคงดุด่าคู่พี่น้องเซี่ยจิ่งเฉินและเซี่ยชิงหยวนด้วยน้ำเสียงที่ดังสูงสุด ราวกับกลัวว่าคนอื่นจะไม่ได้ยิน
เมื่อเสียงดังขึ้น แม่ของจางอวี้เจียวก็ผลักเซี่ยโยว่หมิง แต่โชคดีที่เซี่ยจิ่งเยว่ยืนอยู่ข้างหลังและประคองพ่อของเขาได้ทัน
เมื่อเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เซี่ยจิ่งเฉินก็โกรธจัดและตะโกนทันที
“พอได้แล้ว!”