ไม่นานเรื่องที่เกิดขึ้นที่จวนฉีอ๋องก็ไปถึงหูอวี้จิ่น
“หากจะบอกเช่นนี้ก็หมายความว่าฉีอ๋องวางแผนจะลงมือเมื่อคืนอย่างนั้นหรือ”
เหลิงอิ่งพยักหน้ารับ
ในตอนแรกที่พระชายาฉีอ๋องถูกกักบริเวณ อวี้จิ่นและเจียงซื่อคาดไว้แล้วว่าคงมีวันที่ฉีอ๋องลงมือกำจัดชายาของตัวเอง
การปกป้องคนที่ศัตรูต้องการกำจัดถือเป็นการโจมตีแบบหนึ่ง ในตอนนั้นอวี้จิ่นจึงรีบส่งคนไปจับตาดูจวนฉีอ๋องทันที ซึ่งผู้ที่รับหน้าที่นี้คือเหลิงอิ่ง
“จับตาดูให้ดี โดยเฉพาะช่วงกลางวัน”
อวี้จิ่นนำเรื่องนี้ไปเล่าให้เจียงซื่อฟัง “คนของเราอาศัยจังหวะที่ย่วนเจี่ยเอ๋อร์หลับกระซิบข้างหูนาง ย่วนเจี่ยเอ๋อร์เลยคิดว่าตัวเองฝันร้ายจึงรีบไปอยู่เป็นเพื่อนพระชายาฉีอ๋องทั้งคืน ฉีอ๋องกำจัดนางไม่สำเร็จ…จากที่ข้าเดา หลังจากนี้เขาคงลงมือช่วงตอนกลางวัน…”
เจียงซื่อถอนหายใจ “สุดท้าย เด็กก็น่าเห็นใจที่สุด”
อวี้จิ่นหัวเราะเย็นชา “แต่นั่นก็ไม่มีทางเลือก ใครใช้ให้นางมีพ่อแม่แบบนั้นกันเล่า หากพระชายาฉีอ๋องไม่ทำร้ายเจ้า ครอบครัวนั้นจะมาถึงจุดนี้หรือ”
เขาจะยอมใจอ่อนเพียงเพราะเด็กตัวเล็กๆ คนเดียวอย่างนั้นหรือ ไม่มีทาง
เพราะถ้าหากเขายอมแพ้ ความทุกข์แสนสาหัสคงตกแก่ภรรยาและบุตรสาวของเขาเอง
แม้เจียงซื่อจะสงสารย่วนเจี่ยเอ๋อร์ แต่ความรู้สึกนั้นก็ไม่อาจเปลี่ยนใจนาง เจียงซื่อผุดยิ้ม “มีพวกเราคอยยื่นมือเข้าไปยุ่ง รับรองได้ว่าย่วนเจี่ยเอ๋อร์ไม่มีทางกำพร้าแม่อย่างแน่นอน”
อวี้จิ่นส่ายหัว “พวกเราทำให้พ่อแม่ของนางต้องเข้าตาจน ต่อให้รักษาชีวิตของมารดานางไว้ได้ แต่หากนางโตขึ้นอีกหน่อย นางก็จะรู้เองว่าบุตรสาวคนโตของชินอ๋องแตกต่างจากเด็กสาวทั่วไป สุดท้ายนางคงจะเกลียดพวกเรา แต่ถึงอย่างไร เราก็แค่ทำในสิ่งที่ควรทำ ส่วนชะตาชีวิตบั้นปลายของเจ้าสี่จะเป็นเช่นไร นั่นคือเรื่องที่เจ้าสี่ต้องกังวลเอาเอง”
ครั้นกล่าวมาถึงตรงนี้ อวี้จิ่นก็เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
แสงอาทิตย์ส่องนวลได้ที่ เจ้าสุนัขตัวใหญ่กำลังหยอกเย้าทารกตัวน้อย
การต่อสู้โหดร้ายเสมอ หากเขาแพ้ก็ไม่รู้ว่าอาฮวนจะไปอยู่ที่ใด
ฉะนั้น เขาจะแพ้ไม่ได้!
……
ณ จวนฉีอ๋อง ทุกสิ่งแลดูเป็นปกติเฉกเช่นที่ผ่านมา ไม่มีผู้ใดถกเถียงกันเรื่องเมื่อคืนวานที่คุณหนูใหญ่วิ่งไปที่เรือนพระชายาฉีอ๋อง
เพราะใครต่างก็มองว่าเป็นเพียงความดื้อรั้นของเด็กน้อย
ฝ่ายฉีอ๋องตัดสินใจแล้วว่า ไม่ควรปล่อยให้เรื่องนี้ยืดเยื้อ และได้วางแผนว่าหนนี้จะลงมือในช่วงเวลากลางวัน
ย่วนเจี่ยเอ๋อร์ฝันถึงมารดาจึงรี่ไปนอนเฝ้า ฉะนั้นเขาก็จะใช้ประโยชน์จากเรื่องความฝันของบุตรสาว คือเมื่อหลี่ซื่อ ‘ป่วยตาย’ เมื่อไหร่ เขาก็จะบอกว่านั่นคงเป็นลางบอกเหตุ ย่วนเจี่ยเอ๋อร์ถึงได้อยู่เป็นเพื่อนมารดาในคืนสุดท้ายของชีวิต
เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็คงไม่มีผู้ใดแคลงใจกับการจากไปอย่างกะทันหันของหลี่ซื่อ
ดวงอาทิตย์ขับแสงเจิดจ้าจวนจะถึงเวลาเที่ยววัน
ยังคงเป็นสาวรับใช้หน้าตาธรรมดาคนเดิมที่ทำหน้าที่ไปส่งอาหารที่เรือนด้านในสุดของจวน
ขวดกระเบื้องขนาดเล็กและแหวนทองคู่หนึ่งในสำรับชั้นล่างสุดไม่ได้ทำให้ผอจื่อตื่นตระหนกอย่างในครั้งแรกอีกแล้ว นางเก็บแหวนทองวงหนึ่งไวว่อง และยัดแหวนอีกวงใส่มือเสี่ยวหง
ส่วนตั๋วเงินสองร้อยตำลึงที่ได้เมื่อวาน นางไม่ได้แบ่งให้เสี่ยวหง
การแบ่งแหวนทองคำวงหนึ่งก็นับว่ามากพอแล้ว เพราะถึงเวลา นางก็ต้องเป็นคนออกโรงเองอยู่แล้ว
เสี่ยวหงกำแหวนทองคำภายใต้ใบหน้าซีดเผือด “หวังมาหม่า ข้า…”
ผอจื่อตีเสี่ยวหงพลางตำหนิเสียงเบา “เลิกทำหน้าเหมือนคนกำลังจะตายได้แล้ว เจ้าแค่เล่นตามน้ำไปก็เท่านั้น”
เสี่ยวหงพยักหน้าด้วยท่าทีลนลาน นางอยากจะร้องไห้ แต่ร้องไม่ออก
เนื่องจากเมื่อคืนสาวรับใช้ของคุณหนูใหญ่มานอนที่เรือน นางจึงย้ายข้าวของไปนอนอยู่กับหวังมาหม่า
หวังมาหม่าก็กรอกหูจนนางกลัวและข่มตาหลับไม่ลงเลยทั้งคืน
จะให้พวกนางวางยาพระชายาอย่างนั้นหรือ น่ากลัวจะตาย…
ผอจื่อชำเลืองไปที่เสี่ยวหงแวบหนึ่ง ความรู้สึกของนางไม่รู้ว่าอิจฉาหรือเกลียดชัง
คนสาวนี่ดีเหลือเกิน ขนาดเมื่อวานนางไม่นอนเลยทั้งคืน สีหน้าของนางแทบจะไม่เปลี่ยนไปจากปกติ ขนาดรอยรอบดวงตายังไม่ปรากฏให้เห็น
“หวังมาหม่า พวกเราต้องทำอะไรบ้างรึ” เสี่ยวหงกระซิบถาม
“ง่ายนิดเดียว ก็แค่ใส่สิ่งนั้นลงไปในอาหารให้หญิงเสียสติผู้นั้นกิน ก็เป็นอันเสร็จภารกิจ”
จนถึงบัดนี้ ผอจื่อไม่สามารถเรียกนางว่า ‘พระชายา’ ได้อีกแล้ว
เพราะสรรพนามเช่นนั้นจะทำให้นางรู้สึกผิด และกระทบกับการทำ ‘ภารกิจ’
“ถึงเวลาอาหารแล้ว”
ผอจื่อและเสี่ยวหงเดินเข้าไปพร้อมกัน ก่อนจะนำอาหารออกมาวางเรียงต่อหน้าพระชายาฉีอ๋อง
พระชายาฉีอ๋องได้ใช้เวลาอยู่กับบุตรสาวทั้งคืน สภาพจิตใจของนางในขณะนี้จึงสงบลงมากทีเดียว นางหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหาร
อาหารในวันนี้เรียบง่ายกว่าทุกมื้อที่ผ่านมา มีเพียงปลาจวดตุ๋นน้ำแดงตัวหนึ่ง เนื้อปูสับปั้นก้อน และผัดผักกาดขาวอีกจานหนึ่ง
พระชายาฉีอ๋องโปรดปรานอาหารจำพวกปลา แต่นางไม่ชอบเนื้อปูสับปั้นก้อนเนื่องจากค่อนข้างมัน ฉะนั้นแล้วตะเกียบที่ยื่นมาจึงคีบเข้าที่เนื้อปลาเป็นอันดับแรก
ผอจื่อลุ้นจนหัวใจเต้นรัว นางจ้องมองพระชายาฉีอ๋องกินเนื้อปลานั้น แล้วจู่ๆ นางก็ขมวดคิ้วก่อนจะหยิบผ้าขึ้นมาป้องปาก และคายเนื้อปลาออกมา จากนั้นก็เปลี่ยนไปคีบผัดผักมากิน
เมื่อเห็นว่าข้าวในชามหมดไปแล้วเกือบครึ่งถ้วย ผอจื่อก็เริ่มร้อนใจ “เหนียงเหนียงไม่กินเนื้อปลาหน่อยหรือ”
พระชายาฉีอ๋องชำเลืองไปที่ผอจื่อก่อนจะตอบเสียงเรียบ “วันนี้ปลาเหม็นคาว”
ฝ่ามือที่กำตะเกียบไว้เหงื่อไหลซึมจนชุ่ม
ที่เนื้อปลามีกลิ่นแปลกๆ มิใช่เพราะเหม็นคาว แต่เป็นเพราะมีบางอย่างปนอยู่ด้วยต่างหาก
สาเหตุที่นางคายออกมาเป็นเพราะไม่คุ้นชินกับกลิ่นนั้น อีกทั้งท่าทีของผอจื่อก็พอบอกได้ว่าอาหารจานนี้มีความผิดปกติบางอย่าง
ผอจื่อกำเริบเสิบสานจะตายไป นางเลิกพูดสุภาพมานานแล้ว ฉะนั้นคำว่า ‘เหนียงเหนียง’ เมื่อครู่จึงทำให้นางรู้สึกตะขิดตะขวง มิใช่การเรียกเพื่อเสียดสี แต่เป็นเพราะนางพยายามระมัดระวังอย่างมากต่างหาก
ความระมัดระวังเช่นนี้ นางที่เป็นนายหญิงของจวนเห็นมาจนชินตาแล้ว หากมิใช่ว่าต้องการขอร้อง ก็เพื่อเฝ้ารอบางสิ่ง
นางก็แค่กินข้าว แล้วผอจื่อจะรออะไร
พระชายาฉีอ๋องหลุบตามองเม็ดข้าวในถ้วยก่อนจะรู้สึกเหมือนร่างถูกเหวี่ยงลงให้ถ้ำน้ำแข็ง
ชายผู้นั้นคงไม่พอใจที่นางคอยขัดขวางอนาคตของเขา ความอดทนคงหมดลงแล้วถึงได้ลงมือสินะ
ทั้งที่เขาเคยรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วว่า หากนางเฝ้ารออยู่ในนี้เงียบๆ เขาจะอนุญาตให้นางอยู่ดูย่วนเจี่ยเอ๋อร์เติบโต
แต่นี่เพิ่งจะผ่านไปไม่เท่าไหร่ เขากลับวางยานางแล้ว!
เหตุใดบุรุษผู้นี้ถึงได้ใจดำอำมหิตเพียงนี้ นางเป็นมารดาของย่วนเจี่ยเอ๋อร์ หนำซ้ำยังเป็นภรรยาที่ร่วมหัวจมท้ายกับเขามานานนับสิบปี!
ผอจื่อเร่งเร้าซ้ำสอง “พระชายา ปลาจวดเป็นปลาหายาก ทางครัวเห็นว่าเหนียงเหนียงโปรดปราน ถึงได้ตั้งใจนำมาให้โดยเฉพาะ เหนียงเหนียงกินอีกสักคำสองคำก็ยังดีนะเจ้าคะ”
ร่างของพระชายาฉีอ๋องเกร็งตึงขึ้นทันใด แต่ทว่าใบหน้าของนางยังคงนิ่งเรียบ “วันนี้ข้ารู้สึกไม่ค่อยอยากอาหาร หากพวกเจ้าชอบก็เอาไปกินสิ”
ผอจื่อกำขวดกระเบื้องสีขาวในมือแน่นพลางเข้าไปประชิดตัวพระชายาฉีอ๋อง
นางมียาพิษทั้งหมดสองขวด ขวดหนึ่งนางเทใส่ในจานปลาจวดตุ๋นน้ำแดง ส่วนอีกขวดหนึ่งนางพกติดตัวไว้เผื่อมีสิ่งใดผิดพลาด
“บังอาจ!” พระชายาขว้างตะเกียบลงบนโต๊ะและลุกพรวดเตรียมจะหนี
“เสี่ยวหง มาช่วยที!”
ผอจื่อและเสี่ยวหงยืนล้อมหน้าและหลัง ขวางทางไม่ให้พระชายาฉีอ๋องหนีไปได้
ในเมื่อพวกนางถูกกระฉากหน้ากากแล้ว ผอจื่อร่างท้วมก็ไม่ลังเลอีกต่อไป มือข้างหนึ่งจับไหล่พระชายาฉีอ๋อง ส่วนมืออีกครั้งถือขวดกระเบื้องเตรียมกรอกใส่ปากของผู้เป็นนาย
เสี่ยวหงจับตัวพระชายาฉีอ๋องจากด้านหลัง
พระชายาฉีอ๋องพยายามดิ้นสุดชีวิต
ผอจื่อหัวเราะเย้ยหยัน “ต่อให้เจ้าตะโกนจนคอแตกจะมีประโยชน์อันใด ในเมื่อคนที่ต้องการให้เจ้าตายไม่ใช่พวกข้า”