ตอนที่ 270 ฮ่องเต้ใกล้สวรรคต พระองค์กล่าวว่าอย่างไร
ไม่ได้อยู่ต้าเจินหรือ
เซียวหลิงสีหน้าอึ้งงัน ทุกอาณาจักรโดยรอบรวมถึงอาณาจักรเทียนเป่าที่ห่างไกล อาณาจักรส่วนใหญ่ล้วนเรียกว่ารัฐ คนเถื่อนส่วนน้อยเรียกว่าชนเผ่า ถ้าอยู่ต่างอาณาจักร เทพเซียนท่านนี้คงไม่พูดเช่นนี้กระมัง
ยามคิดจะถามอีกครั้ง จี้หยวนกลับเอ่ยปากขัดคำพูดเขาอีกครา
“คุณชายเซียวอย่าสนใจเรื่องเหนือฟากฟ้าซึ่งมองไม่เห็นพวกนั้นเลย อย่าลืมสิว่าวันนี้ข้าคนแซ่จี้มาทวงหนี้”
แม้ว่าผ่านไปแค่ครู่หนึ่ง แต่เรื่องที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ไม่ถือว่าน้อย หากจี้หยวนไม่พูด เซียวหลิงคงเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว หรือกล่าวได้ว่าเขายังคิดว่าหนี้ที่พูดถึงก่อนหน้านี้ต้องจ่ายให้เทพีแม่น้ำ
ตอนนี้เมื่อได้ยินเทพเซียนตรงหน้าพูดเรื่องทวงหนี้ เซียวหลิงครุ่นคิดเล็กน้อย เอ่ยถามประโยคหนึ่งเพื่อยืนยัน
“ทองคำห้าร้อยตำลึง?”
“ไม่ผิด ทองคำห้าร้อยตำลึง คุณชายเซียวไม่มีทางจ่ายไม่ได้กระมัง”
อาศัยความเข้าใจของจี้หยวนที่มีต่อตระกูลเซียว บิดาของเซียวหลิงไม่ถือว่ามือสะอาดมากนัก ต่อให้เป็นขุนนางสุจริต รับเงินเดือนมาหลายปีขนาดนี้ ทองคำแค่ห้าร้อยตำลึงย่อมจ่ายได้
“ได้ ท่านกลับบ้านไปพร้อมข้า หรือว่ามีแผนการอื่น”
จี้หยวนส่ายศีรษะ
“ไม่จำเป็น คุณชายเซียวกลับจวนลำพัง นำทองคำมาส่งก็พอ พวกเราจะรอคุณชายอยู่ที่นี่”
เซียวหลิงมองต้วนมู่หวั่น
“เช่นนั้นหวั่นเอ๋อร์เล่า”
จี้หยวนเข้าใจความหมายที่เขาถามเช่นนี้ แต่เขาไม่คิดจำกัดอิสรภาพของพวกเขา
“เชิญทั้งสองคนตามสบาย”
ได้ยินคำนี้เซียวหลิงอุ่นใจเล็กน้อย หลังขอตัวลาจากจี้หยวนกับบุตรมังกรธิดามังกรแล้ว เขาพาต้วนมู่หวั่นออกจากโรงเตี๊ยมไปพร้อมกัน จากไปท่ามกลางรัตติกาล
จี้หยวนนั่งลงข้างโต๊ะใหม่อีกครั้ง ส่วนบุตรมังกรมองทั้งสองจากไปไกลผ่านหน้าต่างก่อนนั่งลง
“หึๆๆ… ในเมื่อตอนนั้นเจ้าหนุ่มคนนี้มีวาสนาเจอท่านอาจี้ ทั้งยังทิ้งภาพจำไว้เช่นนี้ หากตนพึ่งความพยายามสุดชีวิต วันนี้หลังจากผ่านมาหลายปีค่อยพบกันอีกครั้ง มีหรือจะไม่ใช่วาสนาอย่างหนึ่ง น่าขายหน้าจริงๆ…”
อิงรั่วหลีพยักหน้าเห็นด้วย นางกับพี่ชายรู้นิสัยของท่านอาจี้ไม่น้อย
ยามสองพี่น้องทอดถอนใจ จี้หยวนหยิบตะเกียบใหม่มาสามคู่ ส่งมอบให้บุตรมังกรธิดามังกรคนละคู่
“ยังมีสุราอาหารเต็มโต๊ะ อย่าทิ้งเสียของ”
บนโต๊ะอย่างน้อยก็มีอาหารเจ็ดแปดจาน ล้วนเป็นอาหารจานหลักมากมาย คืนนี้เซียวหลิงกับต้วนมู่หวั่นคงไม่กินแล้ว จี้หยวนเองไม่เกรงใจเช่นกัน
เมื่อจี้หยวนเริ่มกิน ต่อให้บุตรมังกรกับธิดามังกรแกล้งทำก็ยังกินเป็นเพื่อนผู้อาวุโส แน่นอนว่าขยับตะเกียบเช่นกัน
รอเมื่อเซียวหลิงกลับมาอีกครั้งก็ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว เขาหอบหีบเล็กใบหนึ่งกลับมายังห้องส่วนตัว ต้วนมู่หวั่นไม่ได้มาพร้อมกัน
เดิมสามารถใช้ตั๋วเงินได้ แต่เซียวหลิงคิดว่าสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการคือทองคำ อย่าทำเกินจำเป็น นำทองคำจริงมาดีกว่า
“ท่านจี้ ทองคำห้าร้อยตำลึง ไม่ขาดแม้แต่น้อย!”
เซียวหลิงวางหีบใบเล็กตรงมุมโต๊ะ เปิดกล่องไม้เผยตำลึงทองแน่นขนัดเรียงรายภายใน
ขนาดกล่องเหมือนกล่องรองเท้าเด็กอ่อนของจี้หยวนเมื่อชาติก่อน ทองคำห้าร้อยตำลึงบรรจุอยู่ภายใน ขนาดใหญ่ไม่เท่าอิฐแน่นอน
แต่ของกล่องเล็กแค่นี้กลับหนักถึงห้าร้อยตำลึง ตอนนี้ร่างกายเซียวหลิงค่อนข้างอ่อนแอ ต่อให้วิชายุทธ์ไม่ธรรมดา ยามหอบกล่องเดินมานานขนาดนี้บนตัวยังเห็นเหงื่อทั้งเหนื่อยหอบ
จี้หยวนแค่กวาดมองทองอร่ามภายในกล่อง จากนั้นค่อยพยักหน้ากล่าว
“ดี ไม่เลว คุณชายเซียวกับข้าสะสางบัญชีกันแล้ว”
เมื่อกล่าวประโยคนี้จบ จี้หยวนสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง หีบบนโต๊ะขยับเองโดยปราศจากลม หมุนวนคราหนึ่งก่อนผลุบหายเข้าแขนเสื้อเขา
ในเมื่อทวงหนี้กลับมาเสร็จ ทั้งรู้ชัดว่าจิ้งจอกขาวนั่นทำอะไรแล้ว จี้หยวนเองไม่มีความคิดพูดคุยสาเหตุกับเซียวหลิง เมื่อทำทุกอย่างนี้เรียบร้อย ต่างฝ่ายต่างคารวะกัน พาบุตรมังกรธิดามังกรขอตัวจากไปก่อน
เซียวหลิงคิดมองดูทิศทางที่พวกเขาจากไปผ่านหน้าต่างห้องส่วนตัว แต่เวลาเพิ่งผ่านไปเป็นระยะทางเพียงสิบกว่าก้าว ทั้งสามคนหายไปจากสายตาท่ามกลางรัตติกาลแล้ว
“ท่านอาจี้ คนแซ่เซียวนั่นเป็นทายาทของเซียวจิ้งหรือ”
ยามก้าวเดินระหว่างทาง ธิดามังกรพลันถามเช่นนี้ จี้หยวนมองนางพลางพยักหน้า
“ไม่ผิด ก่อนมายังไม่แน่ใจ เมื่อเห็นเซียวหลิงทั้งมองปราณนับนิ้วทำนายแล้ว ค่อยยืนยันว่าเป็นทายาทของเซียวจิ้ง”
จี้หยวนรู้ว่าก่อนหน้านี้ยามอยู่บนเรือธิดามังกรเห็นตำราของหวังลี่ครู่หนึ่ง บทสรุปช่วงท้ายรวมเนื้อหาทั้งหมดโดยคร่าว การรู้เรื่องเซียวจิ้งไม่ถือว่าแปลก
สิ่งนี้กลับทำให้บุตรมังกรสงสัย
“รั่วหลี เจ้ากับท่านอาจี้บอกใบ้อะไรกัน เซียวจิ้งเป็นใคร ทำไมเจ้าถึงรู้แต่ข้าไม่รู้ ข้าอยู่กับท่านอาจี้นานกว่าเจ้าอีก!”
จี้หยวนคร้านจะอธิบายกับเขา ส่งสายตาบอกธิดามังกร ตัวเขาเดินไปข้างหน้า ปล่อยให้พวกเขาสองพี่น้องคุยกันเอง
…
สุดท้ายธิดามังกรก็เป็นเทพแม่น้ำ เมื่อจัดการเรื่องตระกูลเซียวเสร็จไม่กี่วันย่อมมีธุระจากไป บุตรมังกรกลับหน้าด้านอยู่ต่ออีกครึ่งเดือน สุดท้ายค่อยถูกจี้หยวนไล่กลับไป
เวลาผ่านพ้นฤดูร้อนจนเข้าสู่ช่วงใบไม้ร่วงอีกครั้ง จี้หยวนอาศัยอยู่จังหวัดจิงจีตามลำพังมาสองเดือนกว่าแล้ว
ในช่วงเวลานี้จี้หยวนรับรู้เรื่องราวบางส่วน สถานการณ์เมืองหลวงแน่นอนว่าตึงเครียด แต่ไม่ว่าจะเล่นแง่กันเองก็ดี หรือเป็นทวนที่แจ้งธนูที่ลับก็ช่าง สำหรับเขาถือว่าไม่มีผลอะไร
ยามว่างไปร้านหมากทั่วเมืองหลวงดูคนอื่นเล่นหมากเป็นสิ่งที่จี้หยวนทำมากที่สุดในช่วงนี้ ทั้งยังไปเยือนเมืองผีศาลมืดรอบหนึ่งโดยเฉพาะ ไปเยี่ยมกวางขาวกับสามีของนางสักครั้ง
นอกจากนี้สิ่งที่ควรกล่าวถึงสำหรับจี้หยวนก็คืออันดับการสอบขุนนางของอิ๋นชิง
ตั้งแต่ช่วงดอกซิ่งเบ่งบานยามวสันต์ ผลสอบกระดานวสันต์ครานี้ประกาศแล้ว อิ๋นชิงซึ่งผ่านการสอบระดับเมืองเอกจนมีสิทธิ์สอบนานแล้วเข้าร่วมการสอบระดับเมืองหลวงและการสอบหน้าพระที่นั่ง
ผลสอบไม่สูง เอื้อมไม่ถึงตำแหน่งสามยอดอย่างจ้วงหยวน ปั๋งเหยี่ยน[1] ทั่นฮวา[2] แต่ความจริงไม่ถือว่าแย่นัก อยู่อันดับรั้งท้ายของรองอันดับหนึ่ง แค่เพราะบิดาเขาอิ๋นจ้าวเซียนเจิดจรัสเกินไป ผลสอบของบุตรชายอิ๋นชิงจึงถูกคนบอกว่าแย่
ความจริงเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องน่าสนใจนัก คนอื่นจี้หยวนไม่กล้าพูดอะไร แต่ความสามารถของอิ๋นชิงเขารู้อยู่บ้าง
หากพูดถึงตำแหน่งเจี้ยหยวน ฮุ่ยหยวน จ้วงหยวน ความจริงต้องมีโชคอยู่บ้าง ไม่ได้มานับว่าปกติ แต่สามยอดของการสอบหน้าพระที่นั่ง อิ๋นชิงยังมีความสามารถช่วงชิง ทั้งเป็นพวกที่ไม่นับว่ามีโอกาสน้อย
แต่ผลสอบของอิ๋นชิงกลับเหนือกว่าอันดับท้ายของรองอันดับหนึ่ง แค่ไม่ตกไปอยู่รองอันดับสอง นี่ก็คือสิ่งที่ควรค่าแก่การให้ความสนใจ
แน่นอนว่าไม่มีทางใช้อำนาจกลั่นแกล้ง ต่อให้ตอนนี้อิ๋นจ้าวเซียนล่วงเกินคนมาไม่น้อย แต่คงไม่มีใครกล้าทำเช่นนี้แน่ ได้แต่พูดว่าเสี่ยวอิ๋นชิงของจี้หยวนเจตนาซ่อนคม
จี้หยวนถึงขั้นเดาความคิดอิ๋นชิงได้ โดยพื้นฐานคือเติมเต็มข้อเรียกร้องในการเป็นขุนนาง จากนั้นค่อยใช้เส้นสายพาไปถึงตำแหน่งเหมาะสมทีละน้อย สร้างผลงานได้แต่อย่าสะดุดตาชั่วคราว
ผู้เลื่อมใสย่อมมีมากเช่นกัน หลายคนหวาดกลัวอิ๋นจ้าวเซียน แต่ความจริงคือแม้ว่าอิ๋นจ้าวเซียนเป็นขุนนางมากความสามารถพรสวรรค์โดดเด่น แต่โดยเนื้อแท้กลับเป็นปัญญาชนมากกว่า อิ๋นชิงซึ่งปัญญาหลักแหลมจึงเปลี่ยนความคิด แต่นอกจากคนใกล้ชิดแล้วมีใครรู้เรื่องนี้เล่า
วันนี้อิ๋นจ้าวเซียนซึ่งทุ่มเทแรงใจกับรัฐหวั่นมาหลายปีถูกเรียกเข้าเมืองไปรายงานหน้าที่
ขุนนางราชสำนักทุกคนรวมถึงอิ๋นจ้าวเซียนต่างรู้ดี ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเหลือเวลาไม่มากแล้ว
ถึงอย่างไรไม่ว่าจะเป็นผู้เลื่อมใสอิ๋นจ้าวเซียนก็ดี ผู้หวาดกลัวถึงขั้นคิดแค้นอิ๋นจ้าวเซียนก็ช่าง ขุนนางบุ๋นบู๊ชนชั้นสูงทั่วราชสำนักต่างรู้ดี อิ๋นจ้าวเซียนเป็นขุนนางมากความสามารถแห่งต้าเจิน ถือเป็นขุนนางมากฝีมือ ทั้งเป็นขุนนางจงรักภักดี
หลายปีนี้ภายในราชสำนักส่วนใหญ่ทุกคนรู้สึกอันตราย ขุนนางซึ่งได้รับความเชื่อใจและโปรดปรานจากฮ่องเต้หยวนเต๋ออย่างแท้จริง บางทีอาจมีแค่พวกน่าสงสารครึ่งหนึ่ง หนึ่งในนั้นก็คืออิ๋นจ้าวเซียน อีกครึ่งคือพวกเหยียนฉางแห่งกรมพิธีการที่เคยตามหาวาสนาเซียนแท้จริงเพื่อฮ่องเต้หลายครั้ง
ครั้งนี้จือโจวแห่งรัฐหวั่นอิ๋นจ้าวเซียนรีบเร่งเดินทางเข้าเมือง ยิ่งเป็นสัญญาณสื่อความหมายอย่างหนึ่ง
ตอนนี้นอกห้องบรรทมฮ่องเต้ตรงส่วนลึกของพระราชวัง ขันทีชราคนหนึ่งเดินซอยเท้าก้าวเข้าห้องบรรทมมาอยู่ข้างแท่นบรรทมโอรสสวรรค์ ค้อมตัวไปทางผ้าม่านพลางกล่าวเสียงเบา
“ฝ่าบาท จือโจวแห่งรัฐหวั่นอิ๋นจ้าวเซียนเข้าเมืองมาแล้ว กำลังรออยู่นอกตำหนักพ่ะย่ะค่ะ”
“ขะ ขุนนางอิ๋นมาแล้วหรือ ผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว”
ขันทีเฒ่ารับใช้ฮ่องเต้มานาน รู้ว่าพระองค์ถามถึงอะไร
“กราบทูลฝ่าบาท ตั้งแต่มีพระราชโองการจนถึงตอนนี้ผ่านมาหนึ่งเดือนกว่าแล้ว จังหวัดอวิ๋นโปรัฐหวั่นอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงมาก ใต้เท้าอิ๋นสมเป็นเสาหลักซึ่งภักดีรักชาติ เร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืนสิบกว่าวัน ใช้ม้าชั้นดีหลายตัวตะบึงมา…”
“เฮ้อ… เอาเถอะๆ เรียกเขาเข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ตอนนี้ตรงห้องบรรทมห้ามส่งเสียงอื้ออึง ขันทีเฒ่าถอยไปไม่นานก็พาอิ๋นจ้าวเซียนซึ่งเหน็ดเหนื่อยเดินมาถึงข้างเตียง
“จือโจวรัฐหวั่นอิ๋นจ้าวเซียน ถวายบังคมฝ่าบาท!”
อิ๋นจ้าวเซียนโค้งคารวะ
“ขุนนางอิ๋น… เข้ามาใกล้หน่อย หะ ให้ข้ามองหน้าเจ้า…”
อิ๋นจ้าวเซียนมองขันทีเฒ่าที่อยู่ด้านข้าง เดินไปข้างหน้าห้าก้าวก่อนคุกเข่าลงข้างหนึ่งโดยไม่ลังเล ทำให้ใบหน้าตนต่ำกว่าเตียงเล็กน้อย ขันทีเฒ่าเดินมาข้างเตียงมังกรก่อนเลิกม่าน
ตอนนี้ฮ่องเต้ชราหน้าตอบซูบซีด อิ๋นจ้าวเซียนเห็นแล้วอึ้งงันเล็กน้อย เขาไม่ได้เข้าเมืองมาหลายปี ภาพจำของฮ่องเต้ชรายังคงหยุดอยู่ตอนสอบติดจ้วงหยวน คิดไม่ถึงว่าตอนนี้เหมือนเป็นคนละคน
แต่แค่ตกตะลึงชั่วพริบตา อิ๋นจ้าวเซียนรีบก้มหน้าคารวะ
“ฝ่าบาท!”
ในสายตาฮ่องเต้ชราเมื่อเห็นอิ๋นจ้าวเซียน เขารู้สึกแตกต่างจากการเห็นขุนนางใหญ่คนอื่นโดยสิ้นเชิง คล้ายว่ารอบตัวอิ๋นจ้าวเซียนส่องประกายกว่าหน่อย เมื่อเทียบกันแล้วส่วนอื่นในห้องบรรทมกลับมืดสลัวเหมือนภาพลวงตา
“ขุนนางอิ๋น ข้าเคยได้ยินข่าวลือร้านตลาด… ละ หลายคนเล่าลือว่าเจ้ามีปราณต้านทานยิ่งใหญ่ ปะ เป็นขุนนางเสาหลักตลอดกาล…”
“กระหม่อมมิกล้ารับคำวิจารณ์!”
ฮ่องเต้ชราแย้มยิ้ม ภายใต้การประคองของขันทีสองสามคน เขาหนุนหมอนรองนั่งบนเตียง
“จัดหาที่นั่ง”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ขันทียกเก้าอี้เล็กตัวหนึ่งมา อิ๋นจ้าวเซียนกล่าวขอบคุณก่อนนั่งลงอย่างสงบ
“หึๆๆ… เดิมข้าก็คิดว่าเป็นข่าวลือร้านตลาด… แต่วันนี้เมื่อเจอเจ้า… กลับเชื่อส่วนหนึ่งแล้ว!”
“กระหม่อมมิบังอาจ!”
“ฮ่าๆๆ… คนอื่นอาจตื่นตระหนก แต่เจ้าไม่เป็น!”
ตอนนี้อิ๋นจ้าวเซียนลนลานเข้าจริงแล้ว เขารีบโค้งคำนับ
“กระหม่อมมิกล้า!”
ฮ่องเต้ชราโบกมือเล็กน้อย
“ขุนนางใหญ่สามสำนักหกกรมบางคน… ข้าเคยเจอเป็นการส่วนตัวมาหมดแล้ว เจ้าอิ๋นจ้าวเซียนเป็นแค่จือโจวคนหนึ่ง แต่ภายในราชสำนักไม่มีใครกล้ามองข้ามเจ้า เดิมข้าคิดจะพูดเรื่องอื่น แต่พลันรู้สึกว่าควรถามปัญหาอื่นกับเจ้า…”
อิ๋นจ้าวเซียนโค้งคำนับเล็กน้อย
“ฝ่าบาทโปรดตรัสถาม กระหม่อมจะพูดทุกอย่างที่รู้!”
ฮ่องเต้ชราพยักหน้าเล็กน้อย สีหน้าพลันเคร่งขรึม
“อิ๋นจ้าวเซียน เจ้าคิดว่าจิ้นอ๋องกับอู๋อ๋อง ใครพอจะรับหน้าที่ใหญ่หลวงได้”
ขันทีเฒ่าซึ่งกำลังยกน้ำชามาพลันตัวสั่น เกือบทำถ้วยชาหล่นลงมาแล้ว
[1] ปั๋งเหยี่ยน หมายถึง อันดับสองของการสอบหน้าพระที่นั่ง
[2] ทั่นฮวา หมายถึง อันดับสามของการสอบหน้าพระที่นั่ง