ณ หนองน้ำปราณมายา
การต่อสู้แสนดุเดือดกำลังดำเนินไปในหนองน้ำที่เต็มไปด้วยโคลน อสูรเวทระดับเจ็ดสองตัวเข้าห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ผลกระทบจากแรงปะทะอันดุเดือดเข้ากดทับทั้งหนองน้ำ น้ำสาดกระจาย โคลนตมกระเด็นว่อนไปทั่วทุกแห่งหน
อสูรเวทระดับเจ็ดทั้งสองตัวกำลังต่อสู้แย่งชิงอาณาเขตกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำในหนองน้ำปราณมายา ยิ่งเดินทางลึกเข้าไปในหนองน้ำมากขึ้นเท่าไหร่ อสูรเวทที่พบเจอก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ไม่ต่างอะไรจากในดินแดนป่ารกชัฏ
ในดินแดนนี้ อสูรเวทระดับเจ็ดสองตัวไม่ถือว่าแข็งแกร่งแม้แต่น้อย ในสถานที่แห่งนี้ยังมีอสูรเวทอีกมากมายที่ทรงพลังกว่าพวกมันทั้งสอง
ทันใดนั้นอากาศในบริเวณหนองน้ำก็ถูกบีบอัดรุนแรงจนเกิดเป็นระเบิดเสียงที่ดังกึกก้องกัมปนาท ราวกับว่ามีระเบิดลูกใหญ่ตกลงไปในหนองน้ำ แรงระเบิดทำให้ขี้โคลนสาดกระจายไปทั่ว
ร่างของอสูรเวทระดับเจ็ดทั้งสองแข็งทื่อ พวกมันหยุดต่อสู้กันชั่วขณะ จากนั้นก็หันไปมองร่างที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าตน ร่างนั้นเป็นร่างเดียวกับที่ทำให้เกิดระเบิดเสียง
คนผู้นั้นเป็นชายร่างสูงกำยำด้วยมัดกล้ามในชุดเกราะ พลังปราณของเขาเลื้อนวนอยู่รอบกายไม่หยุดหย่อน ดูราวกับเป็นมังกรแหวกว่ายไม่มีผิด
ชายคนดังกล่าวมีใบหน้าคมกริบ เขามองอสูรเวทที่กำลังสู้กันอยู่ด้วยสายตาราบเรียบ จากนั้นก็ขมวดคิ้ว
จากนั้นเขาก็ปล่อยพลังกดดันน่าหวั่นเกรงออกมา ทำให้อสูรเวททั้งสองตัวถึงกลับขวัญหนีดีฝ่อ พวกมันรีบดำกลับลงไปในหนองน้ำ ไม่กล้าชะโงกหัวขึ้นมาดูอยู่เป็นนาน
ด้วยความที่ทั้งสองตัวเป็นอสูรเวทที่มีพลังปราณ พวกมันจึงสัมผัสได้ว่าชายผู้นี้แข็งแกร่งและอันตรายเป็นอันมาก
ระเบิดเสียงดังขึ้นอีกครั้งเมื่อชายผู้ทรงพลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็วจนทำให้ห้วงอากาศฉีกขาดออกจากกัน เขามุ่งหน้าตรงไปยังสถานที่ห่างไกล ภายในไม่กี่อึดใจก็เดินทางออกจากบริเวณหนองน้ำไป
…
ณ ดินแดนป่ารกชัฏ
ต้นไม้ตระหง่านที่สูงจนดูราวกำลังแต่งแต้มท้องฟ้าอยู่ถูกผ่าออกเป็นสองซีก
อสูรเวทนกยักษ์ที่มีปีกคมกริบเหมือนกระบี่บินผ่านบริเวณนั้น ปีกของมันทำลายต้นไม้สองข้างทางเสียหายรุนแรง มันดูทรงพลังจนเหมือนไม่มีใครหยุดยั้งได้
ชายหนุ่มไร้ผมหน้าตาดุร้ายนั่งอยู่บนนกที่น่าหวาดหวั่นตัวดังกล่าว ชายผู้นี้มีผิวสีน้ำตาลและร่างกายที่ดูแปลกประหลาดพอตัว ดูราวกับร่างทั้งร่างของเขาจะถูกสร้างขึ้นจากทองแดง ทุกกระเบียดนิ้วเป็นสีน้ำตาลแดงสม่ำเสมอ กล้ามเนื้อทุกมัดในร่างกายอัดแน่นไปด้วยพละกำลังร้ายกาจน่ากลัว
ชายหนุ่มไร้ผมลุกยืนบนอสูรเวทนก ดวงตาของเขาสว่างวาบด้วยประกายสายฟ้า เขามองไปในระยะไกล ดูเหมือนกำลังมองไปทางสถานที่แห่งหนึ่งที่อยู่นอกดินแดนป่ารกชัฏ
“วิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏเสียผู้ฝึกตนไปถึงสองคน เซี่ยอวี่เป็นชายที่มีอนาคตไกลยิ่ง มีความเป็นไปได้อย่างมากที่เขาจะบรรลุปราณขั้นเซียนเทพในอนาคต แต่กลับต้องมาสิ้นชีวิตลงในนครหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่ว ข้าจะต้องเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับการตายของเขาให้จงได้ ส่วนไอ้พวกชั่วร้ายจากลัทธิอสุรานั้น ข้าจะทำลายมันให้ไม่เหลือซาก หากลัทธิอสุรากลับมามีอำนาจได้ มันต้องก่อความไม่สงบให้พวกเราแน่นอน ดินแดนทางใต้จะไม่หลงเหลือความสงบสุขอีกต่อไป”
ดวงตาของชายไร้ผมเป็นประกายขณะแค่นลมเย็นออกจากจมูก จากนั้นเขาก็กระทืบเท้าลงบนตัวนกที่ส่งเสียงกรีดร้องแหลมสูงออกมา มันสะบัดปีกแล้วเริ่มโผบินไปข้างหน้ารวดเร็วยิ่งขึ้น
สองคู่หูชายหนึ่งนกหนึ่งกลายเป็นลำแสงที่พุ่งตัดอากาศหายไปจากน่านฟ้าของดินแดนป่ารกชัฏ
ณ เทือกเขาอู่เหลียงสูงชันในดินแดนแสนภูผาอันกว้างใหญ่ไพศาล
ผู้ฝึกตนมากมายเริ่มมุ่งหน้าไปยังจักรวรรดิวายุแผ่ว พวกเขาตระหนักแล้วว่าตนเองประเมินความแข็งแกร่งของลัทธิอสุราผิดมหันต์ ผู้ฝึกตนกลุ่มนี้รวบรวมกำลังพลแล้วรีบเดินทางไปสมทบที่นครหลวงทันที
ณ สถานที่ที่อยู่ห่างจากนครหลวงไปหลายร้อยลี้
กองทัพของราชาอวี่ปักหลักอยู่ที่นี่ แต่ยังไม่ได้เข้าโจมตีนครหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่ว พวกเขารู้ดีว่าจะบุ่มบ่ามเข้าไปยึดนครหลวงไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงตรึงกำลังอยู่อย่างสงบเพื่อรอวางแผนเผด็จศึก
ด้วยความที่ที่นี่เป็นเมืองหลวง จึงเป็นศูนย์รวมของผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักร แม้ราชาอวี่จะมีลัทธิอสุราหนุนหลังอยู่ แต่ตัวเขาเองก็ยังต้องระวังหากคิดบุกนครหลวง
ราชาอวี่ต้องระมัดระวังอย่างถึงที่สุด เนื่องจากหากเขาประมาทเลินเล่อและตกเป็นฝ่ายปราชัยในการต่อสู้ครั้งถัดไป คงมีชะตากรรมเดียวเท่านั้นที่รอเขาอยู่ ซึ่งก็คือความตาย
เจ้ามู่เฉิงอยู่ในชุดคลุมยาว กำลังเดินทอดน่องมาหาราชาอวี่พร้อมด้วยรอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้า
“ราชาอวี่ ท่านคงจะตื่นเต้นมากที่ได้กลับมานครหลวงของจักรวรรดิ… ในที่สุดอาณาจักรแห่งนี้ก็จะตกเป็นของท่านเสียที…”
“ข้าจะตื่นเต้นได้อย่างไรกัน สงครามนี้มีผู้สิ้นชีวิตมากมายเกินไป คนจำนวนมากต้องมาลาจากโลกไปเพราะการต่อสู้แย่งชิงครั้งนี้” ราชาอวี่สูดหายใจเข้าลึกพลางเอ่ยตอบ
เจ้ามู่เฉิงยิ้มอย่างสงบนิ่งขณะยืนอยู่ข้างชายหนุ่ม เขามองไปยังนครหลวงสูงตระหง่านที่อยู่ไกลออกไป ดวงตาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแหลมคมขึ้นเรื่อยๆ
“พอเรายึดนครหลวงเสร็จ ข้าก็ไม่มีคำขออื่นแล้ว นอกจากให้ท่านส่งปู้ฟางมาให้ข้า”
“ปู้ฟางรึ ร้านนั้นมีอสูรเวทขั้นเซียนเทพปกป้องอยู่นี่…”
“มันก็แค่อสูรเวทขั้นเซียนเทพเท่านั้น ฝั่งเราเองก็มีขั้นเซียนเทพอยู่เช่นกัน ไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะต้องเกรงกลัวอสูรเวทขั้นเซียนเทพแต่อย่างใด สัญชาตญาณของข้าบอกว่าร้านเล็กๆ ของฟางฟางนั้นซ่อนความลับยิ่งใหญ่เอาไว้ และต่อให้ไม่มีอะไรเช่นนั้น ข้าก็ขอเพียงต้นตื่นรู้ทางห้าสายก็พอ” เจ้ามู่เฉิงถูนิ้วไปมา ดวงตาเต็มไปด้วยรังสีสังหาร
ทันใดนั้นเจ้ามู่เฉิงก็เงยหน้าขึ้น
เขาเห็นแสงสีแดงสองเส้นพุ่งตรงเข้ามา แต่กลับมาหยุดอยู่เหนือศีรษะของพวกเขาพอดิบพอดี
ชายชราที่อยู่ในกองทัพพลันลืมตาขึ้น
ชายชราก้าวเท้าไปข้างหน้า จากนั้นก็ไปปรากฏตัวบนท้องฟ้าในบัดดล ชายชราคนดังกล่าวกำลังลอยอยู่เบื้องหน้าลำแสงสีแดงทั้งสอง
“องครักษ์โลหิตรึ พวกเจ้าทั้งสองมิได้มีหน้าที่คุ้มกันหอคอยศักดิ์สิทธิ์หรืออย่างไร เหตุใดจึงมาที่นี่ทั้งคู่ หรือว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นกับหอคอยศักดิ์สิทธิ์”
ชายชรามุ่นคิ้วพลางยิงคำถามใส่ทั้งสองที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้นในอากาศ
“คารวะท่านปรมาจารย์อาวุโส”
องครักษ์โลหิตทั้งสองผสานมือคารวะชายชรา พวกเขารีบบอกเหตุผลที่ตนเองต้องมายังที่แห่งนี้ นอกจากนี้ยังถ่ายทอดคำสั่งของมหาพรตต่อด้วย
วงแหวนปราณผสานวิญญาณถูกขโมยไปและมาปรากฏขึ้นที่นครหลวง
ดวงตาของปรมาจารย์อาวุโสหรี่ลง แววเย็นเยียบวาบผ่านดวงตา
“หรือจะถูกสำนักความลับแห่งสวรรค์แย่งชิงไป เป็นไปไม่ได้ ผู้ฝึกตนจากสำนักความลับแห่งสวรรค์ยังไม่มาปรากฏตัวที่นครหลวงเลยด้วยซ้ำไป ไม่ใช่พวกนั้นแน่นอน... หรือจะเป็นผู้ฝึกตนจากดินแดนแสนภูผา”
ปรมาจารย์อาวุโสงุนงงพอสมควร เขาได้ส่งคนออกไปสำรวจบรรดาผู้ฝึกตนที่เข้านครหลวงมาแล้ว หลังจากคิดอยู่สักพัก เขาก็ยังคิดไม่ออกเสียทีว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้ร้าย ใครหน้าไหนที่มันกล้าขโมยวงแหวนปราณผสานวิญญาณไป
ทันทีที่คนทั้งสามลงถึงพื้น ราชาอวี่และเจ้ามู่เฉิงก็เดินเข้ามาหา ทั้งสองรีบยกมือทำความเคารพผู้ทรงพลังทั้งสาม
องครักษ์โลหิตไม่ได้สนใจพิธีรีตองแต่อย่างใด พวกเขาทำเพียงพยักหน้าให้คนทั้งคู่เท่านั้น นั่นเพราะสองคนนี้มาจากกลุ่มอำนาจทางโลก คนที่มีพื้นเพเช่นนั้นไม่อาจทำให้พวกเขาสนใจได้
เมื่อเจ้ามู่เฉิงได้ยินสิ่งที่ทั้งสามพูดคุยกัน ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที
“ท่านปรมาจารย์อาวุโส ข้าทราบขอรับว่าใครขโมยวงแหวนปราณผสานวิญญาณไป”
“ใคร”
ดวงตาขององครักษ์โลหิตเป็นประกายทันทีที่ได้ยินสิ่งที่เจ้ามู่เฉิงกล่าว ทั้งสองตะโกนถามเจ้ามู่เฉิงพร้อมกันเป็นเสียงเดียว พร้อมส่งพลังกดดันเข้ามาบีบรัดเจ้ามู่เฉิงไว้ทั้งตัว
พลังปราณนั้นทำให้เจ้ามู่เฉิงและราชาอวี่ต้องสูดลมเย็นเข้าปอดด้วยความหวาดผวา
“ในนครหลวงแห่งนี้มีร้านแห่งหนึ่งชื่อร้านเล็กๆ ของฟางฟาง ร้านนี้มีอสูรเวทขั้นเซียนเทพคุ้มครองอยู่ ในเมื่อตอนนี้ไม่มีผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพอยู่ในนครหลวงเลยแม้แต่คนเดียว ก็มีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะขโมยวงแหวนปราณผสานวิญญาณของพวกท่านไปได้” เจ้ามู่เฉิงรีบอธิบาย ดวงตาสั่นระริก
ปรมาจารย์อาวุโสยิ้มเย็นขณะจ้องมองเจ้ามู่เฉิง
เขารู้ดีว่าเจ้ามู่เฉิงคิดจะเล่นกลอะไร แต่หากเจ้ามู่เฉิงพูดความจริง ร้านนั้นก็น่าไปเยือนอยู่มิใช่น้อย หากร้านนั้นมีอสูรเวทขั้นเซียนเทพจริง จะมีหรือไม่มีวงแหวนปราณผสานวิญญาณก็ไม่สำคัญ
นั่นเพราะพวกเขากำลังจะเข้าโจมตีนครหลวงในอีกไม่ช้า ภัยอย่างอสูรเวทระดับเก้าจึงเป็นสิ่งที่มองข้ามไปไม่ได้
“แล้วจะมัวชักช้าอะไรอยู่เล่า เราควรรีบโจมตีนครหลวงเสีย ท่านมหาพรตดูจะหัวเสียพอตัวแล้ว” เมื่อนึกถึงท่านมหาพรต หนึ่งในองครักษ์โลหิตก็อดตัวสั่นไม่ได้ เขากระวนกระวายมากจนอยากโจมตีนครหลวงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
สีหน้าขององครักษ์โลหิตคนหนึ่งพลันเปลี่ยนไป เขาโบกมือเรียกเข็มทิศออกมา
บนเข็มทิศนั้นมีจุดแสงอยู่มากมาย จุดหนึ่งในนั้นสว่างเจิดจ้ามากกว่าเพื่อน
“วงแหวนปราณผสานวิญญาณปรากฏขึ้นอีกครั้งแล้ว”
องครักษ์โลหิตผู้นั้นเอ่ย
….
ณ ร้านเล็กๆ ของฟางฟาง ในตรอกแห่งหนึ่งของนครหลวง
ปู้ฟางกำลังนอนเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย ลมเย็นพัดผ่านใบหน้าของเขาไป
วันนี้ร้านขายไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากข่าวอาการป่วยของเซียวเหมิงทำให้ทุกคนกลัวจนไม่กล้าออกจากบ้าน ร้านจึงเสียลูกค้าไปหลายคนโดยปริยาย
ปู้ฟางที่กำลังเบื่อถึงขีดสุดคิดอะไรขึ้นมาได้ จากนั้นยันต์ห้าใบที่เขายึดมาจากศัตรูในเมืองประจิมเร้นลับก็ปรากฏขึ้นในมือชายหนุ่ม
ยันต์ทั้งห้านี้ดูเก่าคร่ำคร่าเป็นอันมาก พื้นผิวของยันต์มีรอยขาดรอยฉีกมากมาย ดูราวกับว่าจะสลายหายไปต่อหน้าเมื่อใดก็ได้กระนั้น เมื่อยันต์ทั้งห้าหมุนวนเป็นวงกลม วงแหวนปราณก็พลันก่อตัวขึ้น วงแหวนปราณนี้มีหมอกสีขาวอยู่ภายใน ดูเหมือนจะเป็นจิตวิญญาณที่สะสมไว้ บางคราวก็มีใบหน้าเลือนรางของคนปรากฏขึ้นในหมอก ใบหน้าเหล่านั้นกรีดร้องเสียงแหลมน่ากลัวก่อนจะหายกลับเข้าไปในหมอกขาวอีกครั้ง
“ไอ้วงแหวนปราณนี่เป็นสิ่งชั่วร้ายโดยแท้” ปู้ฟางมุ่นคิ้วและได้ข้อสรุปในที่สุด
หลังจากที่นั่งพินิจวงแหวนปราณอยู่นานจนเบื่อไปเอง ปู้ฟางก็เก็บวงแหวนปราณกลับเข้าไปอีกครั้ง ทันใดนั้นเขาก็เห็นร่างหนึ่งเดินตรงมา
เมื่อเห็นเจ้าของร่างนั้น ปู้ฟางก็ถึงกับงงไปชั่วขณะ
เซียวเหมิงรึ
คนที่กำลังเดินเข้ามาหาเขาคือเซียวเหมิงผู้โด่งดัง เป็นเซียวเหมิงคนเดียวกับที่ควรบาดเจ็บสาหัสอยู่ สีหน้าของชายตรงหน้าดูไม่ดีเลย ผิวของเขาซีดเซียวไร้เลือดฝาดและกำลังค่อยๆ กลายเป็นสีดำ
ปู้ฟางลุกขึ้นยืนจากนั้นก็เชิญอีกฝ่ายเข้าร้าน
ทันทีที่โอวหยางเสี่ยวอี้เห็นเซียวเหมิง นางก็นิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูก เนื่องจากแม่ทัพใหญ่ดูอ่อนแอและเปราะบางมากจนทำให้นางกังวลใจไปหมด
“เถ้าแก่ปู้ ข้าขอสุราหัวใจหยกเหยือกแข็งเหยือกหนึ่งได้หรือไม่” เสียงของเซียวเหมิงแหบพร่า เขาอดไม่ได้ที่จะไอค็อกแค็กออกมาหลังจากเอื้อนเอ่ยได้สองสามคำ
หลังจากที่ไอจนตัวโยน เซียวเหมิงก็กระอักเลือดสีดำออกจากปาก
“เจ้าโดนยาพิษ” ปู้ฟางมองอีกฝ่ายด้วยสายตาสงบนิ่ง กองเลือดสีดำดูคุ้นตาชายหนุ่มมาก ดูเหมือนว่าเซียวเหมิงจะถูกพิษเดียวกับนายท่านรองของเมืองนครใต้ แต่พิษที่เซียวเหมิงโดนนั้นร้ายแรงกว่ามาก
เนื้อปลาอสูรมังกรพินาศในกระเป๋าของปู้ฟางอาจช่วยเซียวเหมิงได้
“คราวนี้ข้าทำตนเองอับอายขายขี้หน้านัก ตอนที่ข้าศึกบุกมาล้อมนครหลวงไว้ ข้ากลับบาดเจ็บเอาเสียได้ ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ข้าเซียวเหมิงกลับมาล้มป่วยข้าคงไม่มีหน้าไปสู้ชาวเมืองคนใดได้อีกแล้ว วันพรุ่งนี้ฝ่าบาทจะทรงเจรจากับราชาอวี่เป็นครั้งสุดท้าย หากเขาทำไม่สำเร็จ สงครามจะอุบัติขึ้น และข้าก็ไม่มีทางรอดชีวิตจากการต่อสู้ครั้งนี้ได้เลย”
เซียวเหมิงฝืนยิ้มขมขื่น
“ในเมื่อข้าแทบจะไม่เหลือโอกาสที่จะมีชีวิตรอด ข้าจึงมาที่นี่เพื่อดื่มสุราหัวใจหยกเยือกแข็งเหยือกสุดท้ายในชีวิต”
ตึก! ตึก! ตึก!
ทันทีที่เซียวเหมิงพูดจบ ร่างหนึ่งก็มาปรากฏตัวตรงหน้าเขา ร่างนั้นคือเซียวเยียนอวี่ผู้สง่างามนั่นเอง นางไม่ได้สวมผ้าคลุมหน้า จึงเห็นใบหน้างดงามที่เต็มไปด้วยความกังวลได้ชัดเจน
“ท่านพ่อ…”
เสียงของเซียวเยียนอวี่สั่นเครือด้วยความรู้สึกมากมายขณะมองผู้เป็นบิดา
ปู้ฟางไม่ได้พูดอะไร เขาทำเพียงหันหลังเดินกลับเข้าครัวไปเท่านั้น ไม่นานนักชายหนุ่มก็กลับมาพร้อมสุราหัวใจหยกเยือกแข็งพลางวางมันลงตรงหน้าเซียวเหมิง
เซียวเหมิงมองเหยือกที่ปู้ฟางวางลงตรงหน้าตนแล้วหัวเราะออกมา จากนั้นก็ยกจอกขึ้นจดริมฝีปาก เขาดื่มสุราเข้าไปหมดจอก แล้วหัวเราะอีกรอบด้วยความเบิกบานใจ
พิษร้ายซึมลึกเข้าสู่ร่างเซียวเหมิง แม้จะดูเหมือนพิษที่นายท่านรองแห่งตระกูลเซียวเคยได้รับ แต่ก็ต่างกันเล็กน้อย เซียวเยียนอวี่รู้ว่าปู้ฟางสามารถขับพิษออกจากร่างกายท่านอาสองได้ จึงคิดจะมาลองถามชายหนุ่มดู แต่นางก็รู้ดีว่าวิธีขับพิษของปู้ฟางต้องใช้เนื้อปลาอสูรมังกรพินาศ นางรู้ว่าแก่นภายในเนื้อปลาเป็นยาที่ช่วยขับพิษออกจากร่างกาย แต่แม้แก่นนั้นจะช่วยขับพิษออกจากร่างของท่านอาสองได้ ก็ไม่ได้แปลว่าจะขับพิษของเซียวเหมิงได้
ปู้ฟางชนจอกกับเซียวเหมิงจากนั้นก็ยกจอกขึ้นจดริมฝีปาก แล้วดื่มเข้าไปหมดจอก
ขณะที่ทั้งสองกำลังดื่มสุรากันอย่างเต็มที่ เสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นก็ปะทุอยู่ภายนอกกำแพงเมือง เสียงนั้นเป็นเสียงคำรามยามออกศึกของทหารนับหมื่นนายที่ปักหลักอยู่นอกนครหลวง
เซียวเหมิงตกใจ เขากระแทกจอกลงบนโต๊ะพลางผุดลุกขึ้นยืน
“ไม่ได้จะเจรจากันก่อนหรือ เหตุใดราชาอวี่ถึงมาโจมตีเมืองเอาตอนนี้”