“เจ้าไม่คิดจะชดใช้อะไรให้วิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏหน่อยรึ”
ปู้ฟางที่กำลังนอนอืดอยู่บนเก้าอี้กลอกตาให้กับคำพูดถือดีของผู้อาวุโสซุน เขาเหม่อไปเมื่อได้ยินคำพูดขอค่าชดเชยให้วิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏ
“เหตุใดข้าต้องชดใช้ให้วิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏด้วยเล่า” ปู้ฟางยืดตัวอย่างเกียจคร้านบนเก้าอี้ สายตาที่มองผู้อาวุโสซุนนั้นนิ่งเรียบขณะถามคำถามขึ้นมา
ผู้อาวุโสซุนขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินคำตอบของชายหนุ่ม องครักษ์ในชุดเกราะที่อยู่ข้างๆ ตัวสั่นทันทีเมื่อเห็นว่าปู้ฟางไม่สนใจไยดีผู้อาวุโสซุนแม้แต่น้อย
“เถ้าแก่ปู้… ท่านผู้นี้คือผู้อาวุโสซุนจากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏขอรับ เขาเป็นผู้ฝึกตนระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามขอรับ” องครักษ์คนหนึ่งเอ่ยแนะนำ
ขั้นเทพแห่งสงครามรึ ควรจะรู้สึกประทับใจหรืออย่างไร มีผู้ฝึกตนขั้นเทพแห่งสงครามมากมายที่ต้องมาจบชีวิตลงในตรอกแห่งนี้ ปู้ฟางไม่ได้กลัวหรืออิจฉาสิ่งที่เรียกว่าขั้นเทพแห่งสงครามเลยแม้แต่น้อย
เหล่าองครักษ์เองก็รู้ดีว่าร้านแห่งนี้แข็งแกร่งเพียงใด พวกเขาบอกผู้อาวุโสซุนไปแล้วว่าในอดีตนั้นเคยเกิดอะไรขึ้นที่นี่บ้าง แต่ในฐานะคนจากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏ ผู้อาวุโสซุนไม่ใช่ชายที่เกรงกลัวสิ่งใด เขาไม่รู้สึกเกรงกลัวร้านเล็กๆ ของฟางฟางแม้ที่นี่จะมีอสูรเวทในตำนานเฝ้าอยู่ก็ตาม
“วันนี้ข้ามาที่นี่ตามคำสั่งของผู้นำแห่งวิหารเทพเจ้าของเรา เจ้าสังหารผู้ฝึกตนสองคนจากวิหาร
เทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏ ถึงอย่างไรพวกข้าก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้” ผู้อาวุโสซุนพูดอย่างหนักแน่น
ปู้ฟางจ้องชายตรงหน้าด้วยสีหน้าสงบนิ่งอยู่สักพัก
ผู้อาวุโสซุนเริ่มหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อเห็นปู้ฟางกำลังมองตนเองอย่างพินิจพิเคราะห์ เขากวาดสายตามองรอบๆ ร้าน แล้วก็ตระหนักได้ว่าสถานที่แห่งนี้อันตรายเพียงใด แม้แต่เซี่ยต้าและเซี่ยอวี่ยังต้องจบชีวิตลงที่นี่ แน่นอนว่าเขายังมีสติอยู่กับตัวพอที่จะไม่บ้าคลั่งพุ่งเข้าโจมตีร้าน
แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าเขาเกรงกลัวร้านนี้แต่อย่างใด ต่อให้ตัวเขาเองโจมตีร้านไม่ได้ วิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏย่อมต้องล้างบางที่แห่งนี้ได้อย่างแน่นอน
ที่วิหารของเขามีผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพตัวจริงอยู่ และในอดีตพวกเขาก็เคยสังหารอสูรเวทระดับเก้ามาแล้วด้วย ด้วยเหตุนี้ผู้อาวุโสซุนจึงไม่ได้เกรงกลัวเมื่อรู้ว่าร้านเล็กๆ ของฟางฟางมีอสูรเวทระดับเก้าเฝ้าอยู่
“เจ้าฝอยจบหรือยัง ถ้าจบแล้วก็ไปเสีย” ปู้ฟางลุกขึ้นยืนแล้วยืดเส้นยืดสายอย่างเกียจคร้าน พอพูดขอให้ผู้อาวุโสซุนออกไปเสร็จ ชายหนุ่มก็เดินไปที่ครัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เจ้าหนุ่ม อย่าคิดว่าแค่มีอสูรเวทระดับเก้าจะเพียงพอให้เจ้าทำตัวไม่เกรงกลัวเช่นนี้ได้… โลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่นัก และอสูรเวทระดับเก้าก็ไม่ได้อยู่ยงคงกระพัน” ผู้อาวุโสซุนสูดหายใจเข้าลึกแล้วข่มขู่ปู้ฟาง
ผู้อาวุโสซุนรู้กฎของร้านแห่งนี้ดี เขารู้ว่าตนเองจะปลอดภัยแน่นอนหากไม่ก่อเรื่องก่อน ด้วยเหตุนี้แผนการของเขาในการมาเยือนร้านครั้งนี้จึงเพื่อมาเตือนปู้ฟางเท่านั้น ไม่ใช่มาเพื่อต่อสู้กับอีกฝ่ายแต่อย่างใด ตัวเขาเองไม่ได้โง่เง่าไร้สติถึงเพียงนั้น ร้านนี้มีอสูรเวทระดับเก้าขั้นเซียนเทพอยู่ แม้แต่เซี่ยอวี่ยังต้องมาจบชีวิตลงที่นี่… หากเทียบกับเซี่ยอวี่แล้ว ตัวเขานั้นนับว่าอ่อนแอกว่ามากนัก
“หากเจ้ายอมตามข้ากลับไปยังวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏแต่โดยดี ผู้นำแห่งวิหารเทพเจ้าคงยอมทำเป็นลืมเรื่องนี้ไปเสีย ปราบใดที่เจ้ารู้ความผิดของตนเองผู้นำของเราก็คงยอมยกโทษให้ แต่หากเจ้าไม่ยอมตามข้ากลับไป…”
“ไปให้พ้น”
ปู้ฟางเริ่มหงุดหงิดขึ้นมา เขาไม่อยากจะเสียน้ำลายกับคนเช่นนี้อีก ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนผู้ฝึกตนจากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏทุกคนมัวแต่หมั่นเพียรฝึกพลังปราณจนลืมฝึกรอยหยักในสมอง เซี่ยอวี่อะไรนั่นก็เป็นเหมือนผู้อาวุโสซุนเช่นกัน คนผู้นั้นเคยมาเหยียบที่ร้านแห่งนี้แล้วเริ่มก่อเรื่องเอง คราวนี้ผู้อาวุโสซุนกลับมาชวนเขาไปที่วิหารเทพเจ้าของตนเองเฉย…
พวกเจ้าทุกคนอย่าทำให้ข้าโกรธจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นเจ้าดำจะเอาอุ้งเท้าตบหัวพวกเจ้าให้ตายคาที่
อยากให้ข้าไปที่วิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏเพื่อสำนึกความผิดของตนเองเนี่ยนะ อยากจะหัวเราะให้ฟันร่วงหมดปาก
เมื่อผู้อาวุโสซุนได้ยินสิ่งที่ปู้ฟางพูด เขาก็คิดเดินหน้าข่มขู่ชายหนุ่มต่อ
แต่ก่อนที่จะเปิดปากอีกครั้ง ร่างหนึ่งก็พุ่งออกจากครัวมายืนอยู่ตรงหน้าเขาพอดี เมื่อเห็นดวงตาสีแดงของร่างนั้นจ้องมองมา ผู้อาวุโสซุนก็ตัวสั่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“ซวยแล้ว!! นี่มันปีศาจโรคจิตของร้านเล็กๆ แห่งฟางฟางที่ชอบจับคนแก้ผ้านี่นา!”
“เถ้าแก่ปู้โกรธแล้ว! ผู้อาวุโสซุน ท่านรีบไปเสียจะดีกว่า”
บรรดาองครักษ์ในชุดเกราะตัวสั่นเมื่อเห็นร่างอ้วนของเจ้าขาวยืนจังก้าอยู่หน้าผู้อาวุโสซุน องครักษ์คนหนึ่งเอามือดึงแขนเสื้อผู้อาวุโสซุน เพื่อพยายามดึงเขาออกจากร้าน
“พวกเจ้าทุกคนเป็นอะไรไป…” ผู้อาวุโสซุนถูกองครักษ์ลากออกจากร้านก่อนที่จะมีเวลาได้ตั้งตัวเสียด้วยซ้ำ
พอออกจากร้านมาได้ เหล่าองครักษ์ก็เริ่มเล่าเรื่องของเจ้าขาวให้อีกฝ่ายฟัง เมื่อฟังจบหัวใจของผู้อาวุโสซุนก็ตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ร่างสั่นสะท้านไปหมด รู้สึกเหมือนโดนลมเย็นคมกริบราวใบมีดซัดผ่านกาย
ปีศาจโรคจิตที่ชอบจับคนอื่นแก้ผ้า… เป็นตัวเดียวกับที่ฟันหัวเซี่ยต้าขาด จัดได้ว่าเป็นหุ่นเชิดที่น่ากลัวเป็นอันมาก
ผู้อาวุโสซุนยืนอยู่ในตรอก ความลังเลใจวาบผ่านดวงตา
สุดท้ายเขาก็ทำได้เพียงถอนหายใจออกมา
“ในเมื่อตัวข้าเองทำอะไรไม่ได้ ก็คงต้องรอให้ท่านผู้นำแห่งวิหารเทพเจ้าออกโรงเองเสียแล้ว เขาต้องจัดการร้านนี้ด้วยตนเองได้อย่างแน่นอน ถึงปีศาจร้ายแห่งลัทธิอสุราจะกำลังก่อเรื่องอยู่ที่อื่น แต่เกียรติยศของวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏจะให้ใครมาหยามไม่ได้เด็ดขาด”
…
เหตุการณ์เล็กๆ ที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้มีผลต่อการทำมาค้าขายของร้านเลยสักนิด
วันต่อมามนุษย์อสรพิษหญิงอวี่ฝูก็โบกมือลาปู้ฟางพลางตามกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าเร่ออกไป นางเดินทางออกจากนครหลวงเพื่อกลับสู่หนองน้ำปราณมายา
วันเดียวกันนั้นเอง ในที่สุดโอวหยางเสี่ยวอี้ก็บรรลุปราณระดับห้าขั้นราชันยุทธการ แน่นอนว่านี่เป็นผลจากการกินกระทะเทพแห่งโชคชะตาเข้าไป นางตื่นเต้นเป็นอันมากที่ขั้นปราณแซงหน้าพี่ชายสมองทึบสามคนได้สำเร็จ ความคืบหน้าด้านพลังปราณนี้ทำให้นางสามารถอวดเบ่งต่อหน้าคนทั้งสามได้อีกสักพัก
ร้านเล็กๆ ของฟางฟางยังเปิดทำการตามปกติ ผู้คนมากมายพากันเข้าออกร้าน เรียกได้ว่าขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แม้จะมีชื่อเสียงขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังจัดว่าโด่งดังน้อยกว่าร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ที่ตั้งอยู่นอกตรอกมาก
แต่ฐานลูกค้าของปู้ฟางเป็นชนชั้นสูงที่มีกำลังจ่ายเยอะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ร้านปักษาเพลิงนิรันดร์เทียบไม่ได้อย่างแน่นอน
ในยามที่ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นเช่นนี้ เวลาก็เดินหน้าผ่านไปจนแทบไม่มีใครสังเกต
อยู่มาวันหนึ่ง ข่าวที่ทำให้ทั้งเมืองต้องหวาดหวั่นก็กระจายไปทั่ว เมื่อชาวเมืองได้ข่าวนี้ก็พากันตกใจไปตามๆ กัน ก่อนจะเริ่มเปิดฉากวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างดุเดือด ทุกคนต่างหวาดกลัวสิ่งที่ได้ยิน
“กองทัพที่แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงเป็นคนนำทัพถึงคราวปราชัย แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงบาดเจ็บสาหัสด้วยฝีมือศัตรูและกลับนครหลวงมาด้วยความอับอาย”
ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วนครหลวงอย่างรวดเร็ว
ลูกค้าในร้านเล็กๆ ของฟางฟางเองก็พากันวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ด้วยเช่นกัน การที่กองทัพของเซียวเหมิงปราชัย ก็เรียกได้ว่าเป็นความพ่ายแพ้ของกองทัพประจำนครหลวงด้วยเช่นกัน
ทั้งยังแปลว่ากองทัพของราชาอวี่สามารถพุ่งเข้ามาโจมตีนครหลวงได้ทันทีอีกด้วย
นี่ถือเป็นหายนะสำหรับชาวเมืองที่อาศัยอยู่ในนครหลวงเลยทีเดียว พวกเขาไม่ได้รู้สึกถึงเงาตะคุ่มของภยันตรายมานานแล้ว และมักได้ยินข่าวชัยชนะของกองทัพเซียวเหมิงมาตลอด เมื่อได้ยินข่าวร้ายนี้ ทุกคนต่างก็ตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก
ปู้ฟางไม่ได้สนใจข่าวสารบ้านเมืองแม้แต่น้อย แต่เขาก็ได้ยินการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้จากลูกค้าที่ร้านระหว่างกำลังนอนอาบแดดอยู่บนเก้าอี้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้พอตัวเลยทีเดียว
“ดูเหมือนว่าเซียวเหมิงจะถึงคราวปราชัยแล้ว…”
ปู้ฟางพึมพำเงียบๆ คนเดียว เขาไม่ได้แปลกใจกับผลที่ออกมาแต่อย่างใด เนื่องจากเคยต่อกรกับกองทัพราชาอวี่ด้วยตนเองมาแล้วเมื่อครั้งที่ยังอยู่เมืองประจิมเร้นลับ หากทหารในกองทัพที่เขาประจำการอยู่ไม่ได้กินกระทะเทพแห่งโชคชะตาที่เขาทำเข้าไป สภาพร่างกายและพลังการต่อสู้ของคนเหล่านั้นคงไม่เพิ่มพูนถึงขีดสุด และเมืองประจิมเร้นลับอาจถูกยึดไปแล้วก็เป็นได้
ปู้ฟางไม่ได้แปลกใจแม้แต่น้อยที่เซียวเหมิงตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เขารู้ว่าสำนักลึกลับนี้มีพลังอำนาจประหลาดนอกรีต การที่เซียวเหมิงปราชัยจึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก
ทุกวันนี้เซียวเยียนอวี่และเซียวเยวี่ยแทบไม่มาที่ร้านเลย ส่วนเซียวเสี่ยวหลงแม้จะยังมาฝึกทักษะการทำอาหารอยู่ แต่ก็มีสีหน้าบูดเบี้ยวตลอดเวลา
ทุกครั้งที่เซียวเยวี่ยมา เขาจะรีบดื่มสุราหัวใจหยกเยือกแข็ง จ่ายเงิน แล้วจากไปทันที
ดูจากสภาพคนในตระกูลเซียวแล้ว ดูเหมือนว่าครั้งนี้เซียวเหมิงจะบาดเจ็บสาหัสจริงๆ
กองทัพของเซียวเหมิงล่าถอยกลับมาที่นครหลวงแล้วเริ่มเดินหน้าป้องกันเมือง กล่าวได้ว่านครหลวงในตอนนี้ถูกคุ้มกันอย่างแน่นหนาทีเดียว
นอกกำแพงเมืองตลบอบอวลไปด้วยฝุ่นและควัน กองทหารจำนวนมากพุ่งเข้าใส่เมืองแล้วตั้งแถวล้อมเมืองเอาไว้ ถนนทุกสายที่มุ่งตรงไปนอกนครหลวงถูกตรึงกำลังไว้ทั้งหมด
บรรยากาศกดดันหนักอึ้งทับโถมเข้าใส่ทั้งนครหลวง
จีเฉิงอวี่ในชุดเกราะขี่ม้าอสูรเวท สายตาจับจ้องไปที่นครหลวง ดวงตาดูโหยหาและแน่วแน่เป็นอย่างยิ่ง
ชายหนุ่มเคยประกาศไว้ว่าวันหนึ่งเขาจะกลับมาเพื่อทวงสิ่งที่ควรเป็นของตนคืน
วันนี้… เขากลับมาตามคำที่เคยประกาศเอาไว้แล้ว
ด้านหลังของชายหนุ่มมีผู้ฝึกตนในชุดคลุมสีดำอยู่หลายคน
เจ้ามู่เฉิงในชุดคลุมยาวโค้งคำนับชายชราในชุดคลุมสีดำด้วยความเคารพนบนอบ ชายชราผู้นั้นมีรัศมีประหลาดที่อธิบายไม่ถูก เขายืนหลังตรงอย่างทระนงพร้อมเอามือไพล่หลัง
…
ในท้องพระโรง จีเฉิงเสวี่ยนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด แม้กองทัพของจีเฉิงอวี่จะมาประจันหน้าแล้วก็ตาม จักรพรรดิต้องดำรงตนเป็นผู้ปกครองแผ่นดินเสมอ จีเฉิงเสวี่ยคือจักรพรรดิของจักรวรรดิวายุแผ่ว เขาต้องสงบนิ่งไม่ตื่นตระหนกไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แม้ทุกคนจะกำลังปั่นป่วนโกลาหล จีเฉิงเสวี่ยก็จะต้องดำรงจิตใจให้มั่นคงสงบนิ่ง
เบื้องหน้าเขามีขุนนางและเหล่าทหารมากมาย รวมถึงผู้ฝึกตนมากฝีมือจากหลายสำนัก
ผู้ฝึกตนหลายคนมีสีหน้าบูดเบี้ยวบอกบุญไม่รับ นั่นเพราะเซียวเหมิงไม่ใช่คนเดียวที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ผู้ฝึกตนที่สำนักต่างๆ ส่งมาช่วยเซียวเหมิงรบเองก็บาดเจ็บหนักเช่นกัน มีแม้กระทั่งคนที่เสียชีวิตในสมรภูมิ
นับว่าเป็นข่าวร้ายที่ใหญ่หลวงยิ่งนัก
เพราะมันแปลว่าพลังของผู้ฝึกตนจากลัทธิอสุรานั้นแข็งแกร่งเหนือการคาดหมายของพวกเขาไปหลายขุม
“ฝ่าบาท ไม่ต้องกังวลใจไปพะย่ะค่ะ ผู้นำแห่งวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏกำลังรีบรุดมาที่จักรวรรดิวายุแผ่วแล้ว ผู้นำของเราเป็นขั้นเซียนเทพที่แท้จริง ทันทีที่เขามาถึง ไอ้พวกปีศาจร้ายจากลัทธิอสุราจะต้องสิ้นซากอย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสซุนพูดกับจีเฉิงเสวี่ยที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร
จ้านคงปรายตามองผู้อาวุโสซุนก่อนจะหันไปมองจีเฉิงเสวี่ย “สำนักเมฆาขาวเองก็ส่งท่านหัวหน้าขุนพลของเรามาด้วยเช่นกัน ขอฝ่าบาทจงวางใจพะย่ะค่ะ”
หัวหน้าขุนพลของสำนักเมฆาขาวคือผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดรองจากเจ้าสำนัก คนผู้นี้มีปราณขั้นเซียนเทพเช่นกัน
พวกเขาประเมินความแข็งแกร่งของลัทธิอสุราผิดไป ไม่มีใครคาดคิดว่าผู้ฝึกตนขั้นเทพแห่งสงครามมากมายและผู้ที่ใกล้จะบรรลุปราณขั้นเซียนเทพจำนวนไม่น้อยจะกลับมาด้วยสภาพบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้
ทันทีที่ข่าวนี้รู้ถึงหูสำนักเหล่านั้นความโกลาหลก็บังเกิดขึ้น ทุกสำนักต่างตัดสินใจส่งผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดมายังจักรวรรดิวายุแผ่วอย่างเร่งด่วน
พวกเขาไม่มีทางปล่อยให้ลัทธิอสุรากลับมายิ่งใหญ่อย่างแน่นอน ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตภายใต้การกดขี่ของลัทธิอสุราเปรียบเสมือนฝันร้าย ความโหดร้ายนี้ยังคงฝังอยู่ในจิตใจเบื้องลึกของสำนักที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายเสมอมา
“เจ้าไม่คิดจะชดใช้อะไรให้วิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏหน่อยรึ”
ปู้ฟางที่กำลังนอนอืดอยู่บนเก้าอี้กลอกตาให้กับคำพูดถือดีของผู้อาวุโสซุน เขาเหม่อไปเมื่อได้ยินคำพูดขอค่าชดเชยให้วิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏ
“เหตุใดข้าต้องชดใช้ให้วิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏด้วยเล่า” ปู้ฟางยืดตัวอย่างเกียจคร้านบนเก้าอี้ สายตาที่มองผู้อาวุโสซุนนั้นนิ่งเรียบขณะถามคำถามขึ้นมา
ผู้อาวุโสซุนขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินคำตอบของชายหนุ่ม องครักษ์ในชุดเกราะที่อยู่ข้างๆ ตัวสั่นทันทีเมื่อเห็นว่าปู้ฟางไม่สนใจไยดีผู้อาวุโสซุนแม้แต่น้อย
“เถ้าแก่ปู้… ท่านผู้นี้คือผู้อาวุโสซุนจากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏขอรับ เขาเป็นผู้ฝึกตนระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามขอรับ” องครักษ์คนหนึ่งเอ่ยแนะนำ
ขั้นเทพแห่งสงครามรึ ควรจะรู้สึกประทับใจหรืออย่างไร มีผู้ฝึกตนขั้นเทพแห่งสงครามมากมายที่ต้องมาจบชีวิตลงในตรอกแห่งนี้ ปู้ฟางไม่ได้กลัวหรืออิจฉาสิ่งที่เรียกว่าขั้นเทพแห่งสงครามเลยแม้แต่น้อย
เหล่าองครักษ์เองก็รู้ดีว่าร้านแห่งนี้แข็งแกร่งเพียงใด พวกเขาบอกผู้อาวุโสซุนไปแล้วว่าในอดีตนั้นเคยเกิดอะไรขึ้นที่นี่บ้าง แต่ในฐานะคนจากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏ ผู้อาวุโสซุนไม่ใช่ชายที่เกรงกลัวสิ่งใด เขาไม่รู้สึกเกรงกลัวร้านเล็กๆ ของฟางฟางแม้ที่นี่จะมีอสูรเวทในตำนานเฝ้าอยู่ก็ตาม
“วันนี้ข้ามาที่นี่ตามคำสั่งของผู้นำแห่งวิหารเทพเจ้าของเรา เจ้าสังหารผู้ฝึกตนสองคนจากวิหาร
เทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏ ถึงอย่างไรพวกข้าก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้” ผู้อาวุโสซุนพูดอย่างหนักแน่น
ปู้ฟางจ้องชายตรงหน้าด้วยสีหน้าสงบนิ่งอยู่สักพัก
ผู้อาวุโสซุนเริ่มหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อเห็นปู้ฟางกำลังมองตนเองอย่างพินิจพิเคราะห์ เขากวาดสายตามองรอบๆ ร้าน แล้วก็ตระหนักได้ว่าสถานที่แห่งนี้อันตรายเพียงใด แม้แต่เซี่ยต้าและเซี่ยอวี่ยังต้องจบชีวิตลงที่นี่ แน่นอนว่าเขายังมีสติอยู่กับตัวพอที่จะไม่บ้าคลั่งพุ่งเข้าโจมตีร้าน
แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าเขาเกรงกลัวร้านนี้แต่อย่างใด ต่อให้ตัวเขาเองโจมตีร้านไม่ได้ วิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏย่อมต้องล้างบางที่แห่งนี้ได้อย่างแน่นอน
ที่วิหารของเขามีผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพตัวจริงอยู่ และในอดีตพวกเขาก็เคยสังหารอสูรเวทระดับเก้ามาแล้วด้วย ด้วยเหตุนี้ผู้อาวุโสซุนจึงไม่ได้เกรงกลัวเมื่อรู้ว่าร้านเล็กๆ ของฟางฟางมีอสูรเวทระดับเก้าเฝ้าอยู่
“เจ้าฝอยจบหรือยัง ถ้าจบแล้วก็ไปเสีย” ปู้ฟางลุกขึ้นยืนแล้วยืดเส้นยืดสายอย่างเกียจคร้าน พอพูดขอให้ผู้อาวุโสซุนออกไปเสร็จ ชายหนุ่มก็เดินไปที่ครัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เจ้าหนุ่ม อย่าคิดว่าแค่มีอสูรเวทระดับเก้าจะเพียงพอให้เจ้าทำตัวไม่เกรงกลัวเช่นนี้ได้… โลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่นัก และอสูรเวทระดับเก้าก็ไม่ได้อยู่ยงคงกระพัน” ผู้อาวุโสซุนสูดหายใจเข้าลึกแล้วข่มขู่ปู้ฟาง
ผู้อาวุโสซุนรู้กฎของร้านแห่งนี้ดี เขารู้ว่าตนเองจะปลอดภัยแน่นอนหากไม่ก่อเรื่องก่อน ด้วยเหตุนี้แผนการของเขาในการมาเยือนร้านครั้งนี้จึงเพื่อมาเตือนปู้ฟางเท่านั้น ไม่ใช่มาเพื่อต่อสู้กับอีกฝ่ายแต่อย่างใด ตัวเขาเองไม่ได้โง่เง่าไร้สติถึงเพียงนั้น ร้านนี้มีอสูรเวทระดับเก้าขั้นเซียนเทพอยู่ แม้แต่เซี่ยอวี่ยังต้องมาจบชีวิตลงที่นี่… หากเทียบกับเซี่ยอวี่แล้ว ตัวเขานั้นนับว่าอ่อนแอกว่ามากนัก
“หากเจ้ายอมตามข้ากลับไปยังวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏแต่โดยดี ผู้นำแห่งวิหารเทพเจ้าคงยอมทำเป็นลืมเรื่องนี้ไปเสีย ปราบใดที่เจ้ารู้ความผิดของตนเองผู้นำของเราก็คงยอมยกโทษให้ แต่หากเจ้าไม่ยอมตามข้ากลับไป…”
“ไปให้พ้น”
ปู้ฟางเริ่มหงุดหงิดขึ้นมา เขาไม่อยากจะเสียน้ำลายกับคนเช่นนี้อีก ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนผู้ฝึกตนจากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏทุกคนมัวแต่หมั่นเพียรฝึกพลังปราณจนลืมฝึกรอยหยักในสมอง เซี่ยอวี่อะไรนั่นก็เป็นเหมือนผู้อาวุโสซุนเช่นกัน คนผู้นั้นเคยมาเหยียบที่ร้านแห่งนี้แล้วเริ่มก่อเรื่องเอง คราวนี้ผู้อาวุโสซุนกลับมาชวนเขาไปที่วิหารเทพเจ้าของตนเองเฉย…
พวกเจ้าทุกคนอย่าทำให้ข้าโกรธจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นเจ้าดำจะเอาอุ้งเท้าตบหัวพวกเจ้าให้ตายคาที่
อยากให้ข้าไปที่วิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏเพื่อสำนึกความผิดของตนเองเนี่ยนะ อยากจะหัวเราะให้ฟันร่วงหมดปาก
เมื่อผู้อาวุโสซุนได้ยินสิ่งที่ปู้ฟางพูด เขาก็คิดเดินหน้าข่มขู่ชายหนุ่มต่อ
แต่ก่อนที่จะเปิดปากอีกครั้ง ร่างหนึ่งก็พุ่งออกจากครัวมายืนอยู่ตรงหน้าเขาพอดี เมื่อเห็นดวงตาสีแดงของร่างนั้นจ้องมองมา ผู้อาวุโสซุนก็ตัวสั่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“ซวยแล้ว!! นี่มันปีศาจโรคจิตของร้านเล็กๆ แห่งฟางฟางที่ชอบจับคนแก้ผ้านี่นา!”
“เถ้าแก่ปู้โกรธแล้ว! ผู้อาวุโสซุน ท่านรีบไปเสียจะดีกว่า”
บรรดาองครักษ์ในชุดเกราะตัวสั่นเมื่อเห็นร่างอ้วนของเจ้าขาวยืนจังก้าอยู่หน้าผู้อาวุโสซุน องครักษ์คนหนึ่งเอามือดึงแขนเสื้อผู้อาวุโสซุน เพื่อพยายามดึงเขาออกจากร้าน
“พวกเจ้าทุกคนเป็นอะไรไป…” ผู้อาวุโสซุนถูกองครักษ์ลากออกจากร้านก่อนที่จะมีเวลาได้ตั้งตัวเสียด้วยซ้ำ
พอออกจากร้านมาได้ เหล่าองครักษ์ก็เริ่มเล่าเรื่องของเจ้าขาวให้อีกฝ่ายฟัง เมื่อฟังจบหัวใจของผู้อาวุโสซุนก็ตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ร่างสั่นสะท้านไปหมด รู้สึกเหมือนโดนลมเย็นคมกริบราวใบมีดซัดผ่านกาย
ปีศาจโรคจิตที่ชอบจับคนอื่นแก้ผ้า… เป็นตัวเดียวกับที่ฟันหัวเซี่ยต้าขาด จัดได้ว่าเป็นหุ่นเชิดที่น่ากลัวเป็นอันมาก
ผู้อาวุโสซุนยืนอยู่ในตรอก ความลังเลใจวาบผ่านดวงตา
สุดท้ายเขาก็ทำได้เพียงถอนหายใจออกมา
“ในเมื่อตัวข้าเองทำอะไรไม่ได้ ก็คงต้องรอให้ท่านผู้นำแห่งวิหารเทพเจ้าออกโรงเองเสียแล้ว เขาต้องจัดการร้านนี้ด้วยตนเองได้อย่างแน่นอน ถึงปีศาจร้ายแห่งลัทธิอสุราจะกำลังก่อเรื่องอยู่ที่อื่น แต่เกียรติยศของวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏจะให้ใครมาหยามไม่ได้เด็ดขาด”
…
เหตุการณ์เล็กๆ ที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้มีผลต่อการทำมาค้าขายของร้านเลยสักนิด
วันต่อมามนุษย์อสรพิษหญิงอวี่ฝูก็โบกมือลาปู้ฟางพลางตามกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าเร่ออกไป นางเดินทางออกจากนครหลวงเพื่อกลับสู่หนองน้ำปราณมายา
วันเดียวกันนั้นเอง ในที่สุดโอวหยางเสี่ยวอี้ก็บรรลุปราณระดับห้าขั้นราชันยุทธการ แน่นอนว่านี่เป็นผลจากการกินกระทะเทพแห่งโชคชะตาเข้าไป นางตื่นเต้นเป็นอันมากที่ขั้นปราณแซงหน้าพี่ชายสมองทึบสามคนได้สำเร็จ ความคืบหน้าด้านพลังปราณนี้ทำให้นางสามารถอวดเบ่งต่อหน้าคนทั้งสามได้อีกสักพัก
ร้านเล็กๆ ของฟางฟางยังเปิดทำการตามปกติ ผู้คนมากมายพากันเข้าออกร้าน เรียกได้ว่าขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แม้จะมีชื่อเสียงขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังจัดว่าโด่งดังน้อยกว่าร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ที่ตั้งอยู่นอกตรอกมาก
แต่ฐานลูกค้าของปู้ฟางเป็นชนชั้นสูงที่มีกำลังจ่ายเยอะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ร้านปักษาเพลิงนิรันดร์เทียบไม่ได้อย่างแน่นอน
ในยามที่ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นเช่นนี้ เวลาก็เดินหน้าผ่านไปจนแทบไม่มีใครสังเกต
อยู่มาวันหนึ่ง ข่าวที่ทำให้ทั้งเมืองต้องหวาดหวั่นก็กระจายไปทั่ว เมื่อชาวเมืองได้ข่าวนี้ก็พากันตกใจไปตามๆ กัน ก่อนจะเริ่มเปิดฉากวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างดุเดือด ทุกคนต่างหวาดกลัวสิ่งที่ได้ยิน
“กองทัพที่แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงเป็นคนนำทัพถึงคราวปราชัย แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงบาดเจ็บสาหัสด้วยฝีมือศัตรูและกลับนครหลวงมาด้วยความอับอาย”
ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วนครหลวงอย่างรวดเร็ว
ลูกค้าในร้านเล็กๆ ของฟางฟางเองก็พากันวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ด้วยเช่นกัน การที่กองทัพของเซียวเหมิงปราชัย ก็เรียกได้ว่าเป็นความพ่ายแพ้ของกองทัพประจำนครหลวงด้วยเช่นกัน
ทั้งยังแปลว่ากองทัพของราชาอวี่สามารถพุ่งเข้ามาโจมตีนครหลวงได้ทันทีอีกด้วย
นี่ถือเป็นหายนะสำหรับชาวเมืองที่อาศัยอยู่ในนครหลวงเลยทีเดียว พวกเขาไม่ได้รู้สึกถึงเงาตะคุ่มของภยันตรายมานานแล้ว และมักได้ยินข่าวชัยชนะของกองทัพเซียวเหมิงมาตลอด เมื่อได้ยินข่าวร้ายนี้ ทุกคนต่างก็ตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก
ปู้ฟางไม่ได้สนใจข่าวสารบ้านเมืองแม้แต่น้อย แต่เขาก็ได้ยินการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้จากลูกค้าที่ร้านระหว่างกำลังนอนอาบแดดอยู่บนเก้าอี้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้พอตัวเลยทีเดียว
“ดูเหมือนว่าเซียวเหมิงจะถึงคราวปราชัยแล้ว…”
ปู้ฟางพึมพำเงียบๆ คนเดียว เขาไม่ได้แปลกใจกับผลที่ออกมาแต่อย่างใด เนื่องจากเคยต่อกรกับกองทัพราชาอวี่ด้วยตนเองมาแล้วเมื่อครั้งที่ยังอยู่เมืองประจิมเร้นลับ หากทหารในกองทัพที่เขาประจำการอยู่ไม่ได้กินกระทะเทพแห่งโชคชะตาที่เขาทำเข้าไป สภาพร่างกายและพลังการต่อสู้ของคนเหล่านั้นคงไม่เพิ่มพูนถึงขีดสุด และเมืองประจิมเร้นลับอาจถูกยึดไปแล้วก็เป็นได้
ปู้ฟางไม่ได้แปลกใจแม้แต่น้อยที่เซียวเหมิงตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เขารู้ว่าสำนักลึกลับนี้มีพลังอำนาจประหลาดนอกรีต การที่เซียวเหมิงปราชัยจึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก
ทุกวันนี้เซียวเยียนอวี่และเซียวเยวี่ยแทบไม่มาที่ร้านเลย ส่วนเซียวเสี่ยวหลงแม้จะยังมาฝึกทักษะการทำอาหารอยู่ แต่ก็มีสีหน้าบูดเบี้ยวตลอดเวลา
ทุกครั้งที่เซียวเยวี่ยมา เขาจะรีบดื่มสุราหัวใจหยกเยือกแข็ง จ่ายเงิน แล้วจากไปทันที
ดูจากสภาพคนในตระกูลเซียวแล้ว ดูเหมือนว่าครั้งนี้เซียวเหมิงจะบาดเจ็บสาหัสจริงๆ
กองทัพของเซียวเหมิงล่าถอยกลับมาที่นครหลวงแล้วเริ่มเดินหน้าป้องกันเมือง กล่าวได้ว่านครหลวงในตอนนี้ถูกคุ้มกันอย่างแน่นหนาทีเดียว
นอกกำแพงเมืองตลบอบอวลไปด้วยฝุ่นและควัน กองทหารจำนวนมากพุ่งเข้าใส่เมืองแล้วตั้งแถวล้อมเมืองเอาไว้ ถนนทุกสายที่มุ่งตรงไปนอกนครหลวงถูกตรึงกำลังไว้ทั้งหมด
บรรยากาศกดดันหนักอึ้งทับโถมเข้าใส่ทั้งนครหลวง
จีเฉิงอวี่ในชุดเกราะขี่ม้าอสูรเวท สายตาจับจ้องไปที่นครหลวง ดวงตาดูโหยหาและแน่วแน่เป็นอย่างยิ่ง
ชายหนุ่มเคยประกาศไว้ว่าวันหนึ่งเขาจะกลับมาเพื่อทวงสิ่งที่ควรเป็นของตนคืน
วันนี้… เขากลับมาตามคำที่เคยประกาศเอาไว้แล้ว
ด้านหลังของชายหนุ่มมีผู้ฝึกตนในชุดคลุมสีดำอยู่หลายคน
เจ้ามู่เฉิงในชุดคลุมยาวโค้งคำนับชายชราในชุดคลุมสีดำด้วยความเคารพนบนอบ ชายชราผู้นั้นมีรัศมีประหลาดที่อธิบายไม่ถูก เขายืนหลังตรงอย่างทระนงพร้อมเอามือไพล่หลัง
…
ในท้องพระโรง จีเฉิงเสวี่ยนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด แม้กองทัพของจีเฉิงอวี่จะมาประจันหน้าแล้วก็ตาม จักรพรรดิต้องดำรงตนเป็นผู้ปกครองแผ่นดินเสมอ จีเฉิงเสวี่ยคือจักรพรรดิของจักรวรรดิวายุแผ่ว เขาต้องสงบนิ่งไม่ตื่นตระหนกไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แม้ทุกคนจะกำลังปั่นป่วนโกลาหล จีเฉิงเสวี่ยก็จะต้องดำรงจิตใจให้มั่นคงสงบนิ่ง
เบื้องหน้าเขามีขุนนางและเหล่าทหารมากมาย รวมถึงผู้ฝึกตนมากฝีมือจากหลายสำนัก
ผู้ฝึกตนหลายคนมีสีหน้าบูดเบี้ยวบอกบุญไม่รับ นั่นเพราะเซียวเหมิงไม่ใช่คนเดียวที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ผู้ฝึกตนที่สำนักต่างๆ ส่งมาช่วยเซียวเหมิงรบเองก็บาดเจ็บหนักเช่นกัน มีแม้กระทั่งคนที่เสียชีวิตในสมรภูมิ
นับว่าเป็นข่าวร้ายที่ใหญ่หลวงยิ่งนัก
เพราะมันแปลว่าพลังของผู้ฝึกตนจากลัทธิอสุรานั้นแข็งแกร่งเหนือการคาดหมายของพวกเขาไปหลายขุม
“ฝ่าบาท ไม่ต้องกังวลใจไปพะย่ะค่ะ ผู้นำแห่งวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏกำลังรีบรุดมาที่จักรวรรดิวายุแผ่วแล้ว ผู้นำของเราเป็นขั้นเซียนเทพที่แท้จริง ทันทีที่เขามาถึง ไอ้พวกปีศาจร้ายจากลัทธิอสุราจะต้องสิ้นซากอย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสซุนพูดกับจีเฉิงเสวี่ยที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร
จ้านคงปรายตามองผู้อาวุโสซุนก่อนจะหันไปมองจีเฉิงเสวี่ย “สำนักเมฆาขาวเองก็ส่งท่านหัวหน้าขุนพลของเรามาด้วยเช่นกัน ขอฝ่าบาทจงวางใจพะย่ะค่ะ”
หัวหน้าขุนพลของสำนักเมฆาขาวคือผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดรองจากเจ้าสำนัก คนผู้นี้มีปราณขั้นเซียนเทพเช่นกัน
พวกเขาประเมินความแข็งแกร่งของลัทธิอสุราผิดไป ไม่มีใครคาดคิดว่าผู้ฝึกตนขั้นเทพแห่งสงครามมากมายและผู้ที่ใกล้จะบรรลุปราณขั้นเซียนเทพจำนวนไม่น้อยจะกลับมาด้วยสภาพบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้
ทันทีที่ข่าวนี้รู้ถึงหูสำนักเหล่านั้นความโกลาหลก็บังเกิดขึ้น ทุกสำนักต่างตัดสินใจส่งผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดมายังจักรวรรดิวายุแผ่วอย่างเร่งด่วน
พวกเขาไม่มีทางปล่อยให้ลัทธิอสุรากลับมายิ่งใหญ่อย่างแน่นอน ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตภายใต้การกดขี่ของลัทธิอสุราเปรียบเสมือนฝันร้าย ความโหดร้ายนี้ยังคงฝังอยู่ในจิตใจเบื้องลึกของสำนักที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายเสมอมา