“เจ้าไม่คิดจะชดใช้อะไรให้วิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏหน่อยรึ”
ปู้ฟางที่กำลังนอนอืดอยู่บนเก้าอี้กลอกตาให้กับคำพูดถือดีของผู้อาวุโสซุน เขาเหม่อไปเมื่อได้ยินคำพูดขอค่าชดเชยให้วิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏ
“เหตุใดข้าต้องชดใช้ให้วิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏด้วยเล่า” ปู้ฟางยืดตัวอย่างเกียจคร้านบนเก้าอี้ สายตาที่มองผู้อาวุโสซุนนั้นนิ่งเรียบขณะถามคำถามขึ้นมา
ผู้อาวุโสซุนขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินคำตอบของชายหนุ่ม องครักษ์ในชุดเกราะที่อยู่ข้างๆ ตัวสั่นทันทีเมื่อเห็นว่าปู้ฟางไม่สนใจไยดีผู้อาวุโสซุนแม้แต่น้อย
“เถ้าแก่ปู้… ท่านผู้นี้คือผู้อาวุโสซุนจากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏขอรับ เขาเป็นผู้ฝึกตนระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามขอรับ” องครักษ์คนหนึ่งเอ่ยแนะนำ
ขั้นเทพแห่งสงครามรึ ควรจะรู้สึกประทับใจหรืออย่างไร มีผู้ฝึกตนขั้นเทพแห่งสงครามมากมายที่ต้องมาจบชีวิตลงในตรอกแห่งนี้ ปู้ฟางไม่ได้กลัวหรืออิจฉาสิ่งที่เรียกว่าขั้นเทพแห่งสงครามเลยแม้แต่น้อย
เหล่าองครักษ์เองก็รู้ดีว่าร้านแห่งนี้แข็งแกร่งเพียงใด พวกเขาบอกผู้อาวุโสซุนไปแล้วว่าในอดีตนั้นเคยเกิดอะไรขึ้นที่นี่บ้าง แต่ในฐานะคนจากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏ ผู้อาวุโสซุนไม่ใช่ชายที่เกรงกลัวสิ่งใด เขาไม่รู้สึกเกรงกลัวร้านเล็กๆ ของฟางฟางแม้ที่นี่จะมีอสูรเวทในตำนานเฝ้าอยู่ก็ตาม
“วันนี้ข้ามาที่นี่ตามคำสั่งของผู้นำแห่งวิหารเทพเจ้าของเรา เจ้าสังหารผู้ฝึกตนสองคนจากวิหาร
เทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏ ถึงอย่างไรพวกข้าก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้” ผู้อาวุโสซุนพูดอย่างหนักแน่น
ปู้ฟางจ้องชายตรงหน้าด้วยสีหน้าสงบนิ่งอยู่สักพัก
ผู้อาวุโสซุนเริ่มหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อเห็นปู้ฟางกำลังมองตนเองอย่างพินิจพิเคราะห์ เขากวาดสายตามองรอบๆ ร้าน แล้วก็ตระหนักได้ว่าสถานที่แห่งนี้อันตรายเพียงใด แม้แต่เซี่ยต้าและเซี่ยอวี่ยังต้องจบชีวิตลงที่นี่ แน่นอนว่าเขายังมีสติอยู่กับตัวพอที่จะไม่บ้าคลั่งพุ่งเข้าโจมตีร้าน
แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าเขาเกรงกลัวร้านนี้แต่อย่างใด ต่อให้ตัวเขาเองโจมตีร้านไม่ได้ วิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏย่อมต้องล้างบางที่แห่งนี้ได้อย่างแน่นอน
ที่วิหารของเขามีผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพตัวจริงอยู่ และในอดีตพวกเขาก็เคยสังหารอสูรเวทระดับเก้ามาแล้วด้วย ด้วยเหตุนี้ผู้อาวุโสซุนจึงไม่ได้เกรงกลัวเมื่อรู้ว่าร้านเล็กๆ ของฟางฟางมีอสูรเวทระดับเก้าเฝ้าอยู่
“เจ้าฝอยจบหรือยัง ถ้าจบแล้วก็ไปเสีย” ปู้ฟางลุกขึ้นยืนแล้วยืดเส้นยืดสายอย่างเกียจคร้าน พอพูดขอให้ผู้อาวุโสซุนออกไปเสร็จ ชายหนุ่มก็เดินไปที่ครัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เจ้าหนุ่ม อย่าคิดว่าแค่มีอสูรเวทระดับเก้าจะเพียงพอให้เจ้าทำตัวไม่เกรงกลัวเช่นนี้ได้… โลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่นัก และอสูรเวทระดับเก้าก็ไม่ได้อยู่ยงคงกระพัน” ผู้อาวุโสซุนสูดหายใจเข้าลึกแล้วข่มขู่ปู้ฟาง
ผู้อาวุโสซุนรู้กฎของร้านแห่งนี้ดี เขารู้ว่าตนเองจะปลอดภัยแน่นอนหากไม่ก่อเรื่องก่อน ด้วยเหตุนี้แผนการของเขาในการมาเยือนร้านครั้งนี้จึงเพื่อมาเตือนปู้ฟางเท่านั้น ไม่ใช่มาเพื่อต่อสู้กับอีกฝ่ายแต่อย่างใด ตัวเขาเองไม่ได้โง่เง่าไร้สติถึงเพียงนั้น ร้านนี้มีอสูรเวทระดับเก้าขั้นเซียนเทพอยู่ แม้แต่เซี่ยอวี่ยังต้องมาจบชีวิตลงที่นี่… หากเทียบกับเซี่ยอวี่แล้ว ตัวเขานั้นนับว่าอ่อนแอกว่ามากนัก
“หากเจ้ายอมตามข้ากลับไปยังวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏแต่โดยดี ผู้นำแห่งวิหารเทพเจ้าคงยอมทำเป็นลืมเรื่องนี้ไปเสีย ปราบใดที่เจ้ารู้ความผิดของตนเองผู้นำของเราก็คงยอมยกโทษให้ แต่หากเจ้าไม่ยอมตามข้ากลับไป…”
“ไปให้พ้น”
ปู้ฟางเริ่มหงุดหงิดขึ้นมา เขาไม่อยากจะเสียน้ำลายกับคนเช่นนี้อีก ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนผู้ฝึกตนจากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏทุกคนมัวแต่หมั่นเพียรฝึกพลังปราณจนลืมฝึกรอยหยักในสมอง เซี่ยอวี่อะไรนั่นก็เป็นเหมือนผู้อาวุโสซุนเช่นกัน คนผู้นั้นเคยมาเหยียบที่ร้านแห่งนี้แล้วเริ่มก่อเรื่องเอง คราวนี้ผู้อาวุโสซุนกลับมาชวนเขาไปที่วิหารเทพเจ้าของตนเองเฉย…
พวกเจ้าทุกคนอย่าทำให้ข้าโกรธจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นเจ้าดำจะเอาอุ้งเท้าตบหัวพวกเจ้าให้ตายคาที่
อยากให้ข้าไปที่วิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏเพื่อสำนึกความผิดของตนเองเนี่ยนะ อยากจะหัวเราะให้ฟันร่วงหมดปาก
เมื่อผู้อาวุโสซุนได้ยินสิ่งที่ปู้ฟางพูด เขาก็คิดเดินหน้าข่มขู่ชายหนุ่มต่อ
แต่ก่อนที่จะเปิดปากอีกครั้ง ร่างหนึ่งก็พุ่งออกจากครัวมายืนอยู่ตรงหน้าเขาพอดี เมื่อเห็นดวงตาสีแดงของร่างนั้นจ้องมองมา ผู้อาวุโสซุนก็ตัวสั่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“ซวยแล้ว!! นี่มันปีศาจโรคจิตของร้านเล็กๆ แห่งฟางฟางที่ชอบจับคนแก้ผ้านี่นา!”
“เถ้าแก่ปู้โกรธแล้ว! ผู้อาวุโสซุน ท่านรีบไปเสียจะดีกว่า”
บรรดาองครักษ์ในชุดเกราะตัวสั่นเมื่อเห็นร่างอ้วนของเจ้าขาวยืนจังก้าอยู่หน้าผู้อาวุโสซุน องครักษ์คนหนึ่งเอามือดึงแขนเสื้อผู้อาวุโสซุน เพื่อพยายามดึงเขาออกจากร้าน
“พวกเจ้าทุกคนเป็นอะไรไป…” ผู้อาวุโสซุนถูกองครักษ์ลากออกจากร้านก่อนที่จะมีเวลาได้ตั้งตัวเสียด้วยซ้ำ
พอออกจากร้านมาได้ เหล่าองครักษ์ก็เริ่มเล่าเรื่องของเจ้าขาวให้อีกฝ่ายฟัง เมื่อฟังจบหัวใจของผู้อาวุโสซุนก็ตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ร่างสั่นสะท้านไปหมด รู้สึกเหมือนโดนลมเย็นคมกริบราวใบมีดซัดผ่านกาย
ปีศาจโรคจิตที่ชอบจับคนอื่นแก้ผ้า… เป็นตัวเดียวกับที่ฟันหัวเซี่ยต้าขาด จัดได้ว่าเป็นหุ่นเชิดที่น่ากลัวเป็นอันมาก
ผู้อาวุโสซุนยืนอยู่ในตรอก ความลังเลใจวาบผ่านดวงตา
สุดท้ายเขาก็ทำได้เพียงถอนหายใจออกมา
“ในเมื่อตัวข้าเองทำอะไรไม่ได้ ก็คงต้องรอให้ท่านผู้นำแห่งวิหารเทพเจ้าออกโรงเองเสียแล้ว เขาต้องจัดการร้านนี้ด้วยตนเองได้อย่างแน่นอน ถึงปีศาจร้ายแห่งลัทธิอสุราจะกำลังก่อเรื่องอยู่ที่อื่น แต่เกียรติยศของวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏจะให้ใครมาหยามไม่ได้เด็ดขาด”
…
เหตุการณ์เล็กๆ ที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้มีผลต่อการทำมาค้าขายของร้านเลยสักนิด
วันต่อมามนุษย์อสรพิษหญิงอวี่ฝูก็โบกมือลาปู้ฟางพลางตามกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าเร่ออกไป นางเดินทางออกจากนครหลวงเพื่อกลับสู่หนองน้ำปราณมายา
วันเดียวกันนั้นเอง ในที่สุดโอวหยางเสี่ยวอี้ก็บรรลุปราณระดับห้าขั้นราชันยุทธการ แน่นอนว่านี่เป็นผลจากการกินกระทะเทพแห่งโชคชะตาเข้าไป นางตื่นเต้นเป็นอันมากที่ขั้นปราณแซงหน้าพี่ชายสมองทึบสามคนได้สำเร็จ ความคืบหน้าด้านพลังปราณนี้ทำให้นางสามารถอวดเบ่งต่อหน้าคนทั้งสามได้อีกสักพัก
ร้านเล็กๆ ของฟางฟางยังเปิดทำการตามปกติ ผู้คนมากมายพากันเข้าออกร้าน เรียกได้ว่าขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แม้จะมีชื่อเสียงขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังจัดว่าโด่งดังน้อยกว่าร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ที่ตั้งอยู่นอกตรอกมาก
แต่ฐานลูกค้าของปู้ฟางเป็นชนชั้นสูงที่มีกำลังจ่ายเยอะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ร้านปักษาเพลิงนิรันดร์เทียบไม่ได้อย่างแน่นอน
ในยามที่ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นเช่นนี้ เวลาก็เดินหน้าผ่านไปจนแทบไม่มีใครสังเกต
อยู่มาวันหนึ่ง ข่าวที่ทำให้ทั้งเมืองต้องหวาดหวั่นก็กระจายไปทั่ว เมื่อชาวเมืองได้ข่าวนี้ก็พากันตกใจไปตามๆ กัน ก่อนจะเริ่มเปิดฉากวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างดุเดือด ทุกคนต่างหวาดกลัวสิ่งที่ได้ยิน
“กองทัพที่แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงเป็นคนนำทัพถึงคราวปราชัย แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงบาดเจ็บสาหัสด้วยฝีมือศัตรูและกลับนครหลวงมาด้วยความอับอาย”
ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วนครหลวงอย่างรวดเร็ว
ลูกค้าในร้านเล็กๆ ของฟางฟางเองก็พากันวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ด้วยเช่นกัน การที่กองทัพของเซียวเหมิงปราชัย ก็เรียกได้ว่าเป็นความพ่ายแพ้ของกองทัพประจำนครหลวงด้วยเช่นกัน
ทั้งยังแปลว่ากองทัพของราชาอวี่สามารถพุ่งเข้ามาโจมตีนครหลวงได้ทันทีอีกด้วย
นี่ถือเป็นหายนะสำหรับชาวเมืองที่อาศัยอยู่ในนครหลวงเลยทีเดียว พวกเขาไม่ได้รู้สึกถึงเงาตะคุ่มของภยันตรายมานานแล้ว และมักได้ยินข่าวชัยชนะของกองทัพเซียวเหมิงมาตลอด เมื่อได้ยินข่าวร้ายนี้ ทุกคนต่างก็ตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก
ปู้ฟางไม่ได้สนใจข่าวสารบ้านเมืองแม้แต่น้อย แต่เขาก็ได้ยินการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้จากลูกค้าที่ร้านระหว่างกำลังนอนอาบแดดอยู่บนเก้าอี้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้พอตัวเลยทีเดียว
“ดูเหมือนว่าเซียวเหมิงจะถึงคราวปราชัยแล้ว…”
ปู้ฟางพึมพำเงียบๆ คนเดียว เขาไม่ได้แปลกใจกับผลที่ออกมาแต่อย่างใด เนื่องจากเคยต่อกรกับกองทัพราชาอวี่ด้วยตนเองมาแล้วเมื่อครั้งที่ยังอยู่เมืองประจิมเร้นลับ หากทหารในกองทัพที่เขาประจำการอยู่ไม่ได้กินกระทะเทพแห่งโชคชะตาที่เขาทำเข้าไป สภาพร่างกายและพลังการต่อสู้ของคนเหล่านั้นคงไม่เพิ่มพูนถึงขีดสุด และเมืองประจิมเร้นลับอาจถูกยึดไปแล้วก็เป็นได้
ปู้ฟางไม่ได้แปลกใจแม้แต่น้อยที่เซียวเหมิงตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เขารู้ว่าสำนักลึกลับนี้มีพลังอำนาจประหลาดนอกรีต การที่เซียวเหมิงปราชัยจึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก
ทุกวันนี้เซียวเยียนอวี่และเซียวเยวี่ยแทบไม่มาที่ร้านเลย ส่วนเซียวเสี่ยวหลงแม้จะยังมาฝึกทักษะการทำอาหารอยู่ แต่ก็มีสีหน้าบูดเบี้ยวตลอดเวลา
ทุกครั้งที่เซียวเยวี่ยมา เขาจะรีบดื่มสุราหัวใจหยกเยือกแข็ง จ่ายเงิน แล้วจากไปทันที
ดูจากสภาพคนในตระกูลเซียวแล้ว ดูเหมือนว่าครั้งนี้เซียวเหมิงจะบาดเจ็บสาหัสจริงๆ
กองทัพของเซียวเหมิงล่าถอยกลับมาที่นครหลวงแล้วเริ่มเดินหน้าป้องกันเมือง กล่าวได้ว่านครหลวงในตอนนี้ถูกคุ้มกันอย่างแน่นหนาทีเดียว
นอกกำแพงเมืองตลบอบอวลไปด้วยฝุ่นและควัน กองทหารจำนวนมากพุ่งเข้าใส่เมืองแล้วตั้งแถวล้อมเมืองเอาไว้ ถนนทุกสายที่มุ่งตรงไปนอกนครหลวงถูกตรึงกำลังไว้ทั้งหมด
บรรยากาศกดดันหนักอึ้งทับโถมเข้าใส่ทั้งนครหลวง
จีเฉิงอวี่ในชุดเกราะขี่ม้าอสูรเวท สายตาจับจ้องไปที่นครหลวง ดวงตาดูโหยหาและแน่วแน่เป็นอย่างยิ่ง
ชายหนุ่มเคยประกาศไว้ว่าวันหนึ่งเขาจะกลับมาเพื่อทวงสิ่งที่ควรเป็นของตนคืน
วันนี้… เขากลับมาตามคำที่เคยประกาศเอาไว้แล้ว
ด้านหลังของชายหนุ่มมีผู้ฝึกตนในชุดคลุมสีดำอยู่หลายคน
เจ้ามู่เฉิงในชุดคลุมยาวโค้งคำนับชายชราในชุดคลุมสีดำด้วยความเคารพนบนอบ ชายชราผู้นั้นมีรัศมีประหลาดที่อธิบายไม่ถูก เขายืนหลังตรงอย่างทระนงพร้อมเอามือไพล่หลัง
…
ในท้องพระโรง จีเฉิงเสวี่ยนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด แม้กองทัพของจีเฉิงอวี่จะมาประจันหน้าแล้วก็ตาม จักรพรรดิต้องดำรงตนเป็นผู้ปกครองแผ่นดินเสมอ จีเฉิงเสวี่ยคือจักรพรรดิของจักรวรรดิวายุแผ่ว เขาต้องสงบนิ่งไม่ตื่นตระหนกไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แม้ทุกคนจะกำลังปั่นป่วนโกลาหล จีเฉิงเสวี่ยก็จะต้องดำรงจิตใจให้มั่นคงสงบนิ่ง
เบื้องหน้าเขามีขุนนางและเหล่าทหารมากมาย รวมถึงผู้ฝึกตนมากฝีมือจากหลายสำนัก
ผู้ฝึกตนหลายคนมีสีหน้าบูดเบี้ยวบอกบุญไม่รับ นั่นเพราะเซียวเหมิงไม่ใช่คนเดียวที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ผู้ฝึกตนที่สำนักต่างๆ ส่งมาช่วยเซียวเหมิงรบเองก็บาดเจ็บหนักเช่นกัน มีแม้กระทั่งคนที่เสียชีวิตในสมรภูมิ
นับว่าเป็นข่าวร้ายที่ใหญ่หลวงยิ่งนัก
เพราะมันแปลว่าพลังของผู้ฝึกตนจากลัทธิอสุรานั้นแข็งแกร่งเหนือการคาดหมายของพวกเขาไปหลายขุม
“ฝ่าบาท ไม่ต้องกังวลใจไปพะย่ะค่ะ ผู้นำแห่งวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏกำลังรีบรุดมาที่จักรวรรดิวายุแผ่วแล้ว ผู้นำของเราเป็นขั้นเซียนเทพที่แท้จริง ทันทีที่เขามาถึง ไอ้พวกปีศาจร้ายจากลัทธิอสุราจะต้องสิ้นซากอย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสซุนพูดกับจีเฉิงเสวี่ยที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร
จ้านคงปรายตามองผู้อาวุโสซุนก่อนจะหันไปมองจีเฉิงเสวี่ย “สำนักเมฆาขาวเองก็ส่งท่านหัวหน้าขุนพลของเรามาด้วยเช่นกัน ขอฝ่าบาทจงวางใจพะย่ะค่ะ”
หัวหน้าขุนพลของสำนักเมฆาขาวคือผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดรองจากเจ้าสำนัก คนผู้นี้มีปราณขั้นเซียนเทพเช่นกัน
พวกเขาประเมินความแข็งแกร่งของลัทธิอสุราผิดไป ไม่มีใครคาดคิดว่าผู้ฝึกตนขั้นเทพแห่งสงครามมากมายและผู้ที่ใกล้จะบรรลุปราณขั้นเซียนเทพจำนวนไม่น้อยจะกลับมาด้วยสภาพบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้
ทันทีที่ข่าวนี้รู้ถึงหูสำนักเหล่านั้นความโกลาหลก็บังเกิดขึ้น ทุกสำนักต่างตัดสินใจส่งผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดมายังจักรวรรดิวายุแผ่วอย่างเร่งด่วน
พวกเขาไม่มีทางปล่อยให้ลัทธิอสุรากลับมายิ่งใหญ่อย่างแน่นอน ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตภายใต้การกดขี่ของลัทธิอสุราเปรียบเสมือนฝันร้าย ความโหดร้ายนี้ยังคงฝังอยู่ในจิตใจเบื้องลึกของสำนักที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายเสมอมา
ในท้องพระโรง ณ นครหลวงแห่งจักรวรรดิวายุแผ่ว
จีเฉิงเสวี่ยในชุดคลุมปักลายกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ใบหน้าของเขาดูสดชื่นขึ้นกว่าแต่ก่อน แม้นครหลวงจะยังตกอยู่ในความโกลาหล ตำแหน่งและบัลลังก์ของเขายังสั่นคลอนไม่มั่นคง แต่จักรพรรดิหนุ่มก็ไม่ได้กังวลเหมือนแต่ก่อนแล้ว
เหตุผลก็มิใช่สิ่งใดอื่น นอกเสียจากว่าจักรวรรดิวายุแผ่วในตอนนี้มีกลุ่มอำนาจที่แข็งแกร่งมากมายหนุนหลังอยู่ เป็นกลุ่มอำนาจที่หากเป็นสมัยก่อนจีเฉิงเสวี่ยเองก็ยังไม่กล้าที่จะนึกถึงด้วยซ้ำ
วิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏ สำนักเมฆาขาวแห่งหนองน้ำปราณมายา สำนักเจดีย์นภากระจ่างแห่งดินแดนแสนภูผา และกลุ่มอำนาจที่ยิ่งใหญ่ในตำนานอีกมากมาย ล้วนส่งผู้ฝึกตนฝีมือดีมาช่วยจักรวรรดิวายุแผ่วกันทั้งนั้นในตอนนี้
ถือเป็นโชคดีที่ได้มาอย่างไม่คาดคิดโดยแท้ จักรวรรดิวายุแผ่วกำลังเผชิญกับอันตรายใหญ่หลวง หลายมณฑลและหลายเมืองในอาณาจักรถูกกองทัพของราชาอวี่ยึดไว้ได้ เหตุผลเดียวที่ราชาอวี่กำชัยซ้ำแล้วซ้ำเล่าในการศึก เป็นเพราะมีกลุ่มอำนาจทรงพลังหนุนหลังเขาอยู่เช่นกัน
ผู้ฝึกตนจากจักรวรรดิวายุแผ่วแข็งแกร่งไม่พอที่จะต้านทานอำนาจของกองทัพราชาอวี่ แม้แต่เซียวเหมิงเองก็ยังพ่ายแพ้ย่อยยับในการต่อกรกับกองทัพของจีเฉิงอวี่ครั้งแรก
จีเฉิงเสวี่ยเพิ่งได้รู้แผนการของราชาอวี่เมื่อไม่นานมานี้ ดูเหมือนว่าราชาอวี่จะเข้าร่วมกับกลุ่มอำนาจชั่วร้ายต้องห้าม ซึ่งเป็นลัทธิที่ร้ายกาจมาก จนทำให้ทั้งวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏและสำนักทรงอำนาจอื่นๆ ต้องร่วมมือเพื่อจุดประสงค์เพียงหนึ่งเดียว นั่นคือการโค่นล้มลัทธิชั่วร้ายนั้นให้หายไปจากโลกใบนี้จนสิ้นซาก
ในตอนนี้ท้องพระโรงได้รับการคุ้มกันโดยกลุ่มอำนาจที่ทรงพลังเรียบร้อยแล้ว ความคุ้มครองนี้ทำให้สีหน้าของจีเฉิงเสวี่ยผ่อนคลายลง
แต่ละกลุ่มอำนาจส่งผู้ฝึกตนมาปกป้องนครหลวงอย่างน้อยหนึ่งคน แม้แต่คนที่อ่อนแอที่สุดยังมีปราณระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการเลยทีเดียว และมีหลายคนที่เป็นถึงขั้นเทพแห่งสงคราม ด้วยจำนวนของผู้ฝึกตนที่อยู่ในนครหลวงตอนนี้ จีเฉิงเสวี่ยจึงรู้สึกมั่นคงเหมือนดังภูเขาสูงใหญ่
“องค์จักรพรรดิ ท่านตรึกตรองเรื่องนั้นดีแล้วหรือ…”
ชายที่ร่างทั้งร่างปูดโปนไปด้วยมัดกล้ามมองจีเฉิงเสวี่ยซึ่งกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ดวงตาของคนผู้นั้นเป็นประกายราวกับมีสายฟ้าแล่นพัวพันอยู่ภายใน
เจ้าของคำถามคือผู้ฝึกตนจากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏ คนผู้นี้มีพลังปราณอยู่ในขั้นเทพแห่งสงคราม ใบหน้าของเขายามมองไปที่จีเฉิงเสวี่ยไม่ได้มีแววเกรงกลัวหรือริษยาแต่อย่างใด เรื่องราวทางโลกนั้นไม่อาจทำให้คนของวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏสนใจได้แม้แต่น้อย
“ผู้อาวุโสซุน ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากทำตามคำขอของท่าน แต่ว่า… ร้านเล็กๆ ของฟางฟางนั้นไม่มีใครเข้าไปยุ่มย่ามด้วยได้จริงๆ” ความจนปัญญาฉายชัดอยู่บนใบหน้าของจีเฉิงเสวี่ย
“องค์จักรพรรดิ ความตายของผู้อาวุโสเซี่ยอวี่จากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏเกี่ยวข้องกับร้านนั้น มีหลายคนเห็นผู้อาวุโสเซี่ยอวี่ต่อสู้กับผู้ฝึกตนจากร้านแห่งนั้น” ผู้อาวุโสซุนมีสีหน้าเย็นชา ในฐานะผู้อาวุโสคนหนึ่งจากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏ เขาจะมองข้ามความจริงที่ว่าผู้ฝึกตนสองคนจากสำนักตนเองเสียชีวิตลงเพราะร้านอาหารแห่งนี้ไม่ได้โดยเด็ดขาด
วิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏส่งเขามาเพื่อปกป้องจักรพรรดิแห่งอาณาจักรวายุแผ่วก็จริง แต่ตัวเขาเองยังได้รับอีกภารกิจหนึ่งด้วย นั่นคือการสืบสวนหาสาเหตุการตายของผู้อาวุโสทั้งสอง
วิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏจะถูกหยามเหยียดไม่ได้โดยเด็ดขาด ในเมื่อร้านแห่งนั้นกล้าสังหารผู้ฝึกตนขั้นเทพแห่งสงครามไปถึงสองคน โดยที่หนึ่งในนั้นยังมีร่างกายอยู่ในขั้นเซียนเทพด้วย ร้านแห่งนั้นจึงควรเตรียมตั้งรับการตอบโต้จากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏให้ดี
จีเฉิงเสวี่ยเองก็รู้เรื่องนี้ดี เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าเสียเหลือเกิน ในสายตาของเขา ร้านของปู้ฟางเปรียบเสมือนระเบิดเวลาที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ ใครก็ตามที่ไปขวางทางเถ้าแก่ปู้ย่อมจบไม่สวยทุกรายไป เขาไม่ต้องการให้วิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏเข้าไปยุ่มย่ามกับร้านนั้นอีก
“องค์จักรพรรดิ ข้าไม่สนใจหรอกว่าท่านมีความเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ ในเมื่อเจ้าของร้านที่ว่านั่นเพิ่งกลับเข้าเมืองมา ข้าก็จะไปคาดคั้นเอาคำอธิบายจากเขาเองก็แล้วกัน ต่อให้ร้านนั้นมีอสูรเวทในตำนานปกป้องอยู่ ก็จะมาหยามวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏของข้าตามใจชอบไม่ได้” ผู้อาวุโสซุนพูดเสียงเย็น
ดูก็รู้ว่าชายผู้นี้ไม่ได้สนใจสิ่งที่จีเฉิงเสวี่ยพูดแม้แต่น้อย พอพูดจบ ชายร่างกำยำก็หันหลังแล้วเดินออกจากท้องพระโรงไปทันที จีเฉิงเสวี่ยที่นั่งอยู่ในท้องพระโรงรู้สึกกระอักกระอ่วนและไม่พอใจเล็กน้อยที่ผู้อาวุโสซุนไม่ยอมฟังตน
ในท้องพระโรงหลวงตอนนี้มีผู้ฝึกตนจากกลุ่มอำนาจอื่นอยู่ด้วยเช่นกัน อย่างเช่น จ้านคงจากสำนักเมฆาขาว ผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการจากดินแดนแสนภูผา และผู้ฝึกตนคนอื่นๆ
จีเฉิงเสวี่ยรู้สึกโกรธแต่ก็ทำอะไรไม่ได้แม้แต่น้อย เนื่องจากเขาไม่มีอำนาจพอที่จะไปห้ามผู้ที่แข็งแกร่งกว่าได้
….
รุ่งอรุณมาเยือน
ปู้ฟางตื่นขึ้น อาบน้ำอาบท่า จากนั้นก็เดินเข้าห้องครัวมา อวี่ฝูตื่นแล้วและกำลังฝึกทักษะการใช้มีดของตนเองอยู่ เมื่อนางเห็นปู้ฟางเดินเข้ามาก็ทักทายอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มทันที
ปู้ฟางพยักหน้าให้นางก่อนจะเดินไปที่เตาของตน ชายหนุ่มหยิบมีดทำครัวหนักอึ้งออกมาแล้วเริ่มฝึกทักษะการใช้มีด แม้เขาจะอยู่ในจุดสูงสุดของทักษะนี้แล้ว แต่ก็ยังคงฝึกซ้อมเป็นประจำเหมือนอย่างเคย
พอฝึกการใช้มีดเสร็จ ชายหนุ่มก็เริ่มฝึกการแกะสลักต่อ ทักษะการแกะสลักกลุ่มดาวกระบวยใหญ่ของเขายังไม่นับว่ายอดเยี่ยม ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงตั้งใจกับการพัฒนาทักษะนี้เป็นพิเศษ
หลังจากฝึกไปสักพัก เขาก็เริ่มเตรียมซี่โครงเปรี้ยวหวานตามกิจวัตร
สิ่งที่ได้เรียนรู้ในกองทัพทำให้ทักษะการทำอาหารของชายหนุ่มดีขึ้นพอสมควร เขารู้ว่าตนเองยังมีข้อบกพร่องอยู่ไม่น้อย จึงทำให้รู้สึกว่าต้องตั้งใจมากกว่าที่เคย
ไม่นานนักกลิ่นซี่โครงเปรี้ยวหวานก็หอมฟุ้งไปทั้งครัว
เมื่อปู้ฟางบีบส้มลงบนซี่โครง อาหารทั้งจานก็ส่งกลิ่นหอมชวนหลงใหลออกมา กลิ่นนั้นสามารถทำให้ทุกคนที่อยู่ในร้านท้องร้องโครกได้
เขาเปิดประตูร้านออกมาแล้ววางจานซี่โครงเปรี้ยวหวานลงตรงหน้าเจ้าดำ
สองวันที่ผ่านมาเป็นวันที่เจ้าดำมีความสุขที่สุด ตอนที่ปู้ฟางไปทำภารกิจในกองทหารอยู่ครึ่งเดือน ปากของเจ้าดำนั้นแทบไม่ได้ใช้งาน มันอยู่โดยไม่มีซี่โครงเปรี้ยวหวานไม่ได้จริงๆ
ปู้ฟางลูบขนนุ่มของเจ้าดำเล็กน้อยก่อนจะเดินกลับเข้าร้านไป เขาไปนั่งเหยียดอยู่บนเก้าอี้ รอให้เซียวเสี่ยวหลงมาถึง วันนี้ปู้ฟางจะตรวจความคืบหน้าเรื่องทักษะการทำอาหารของทั้งเซียวเสี่ยวหลงและอวี่ฝู ตอนที่เขาเดินเข้าไปในครัว ทั้งสองก็พร้อมที่จะแสดงฝีมือการใช้มีดและการแกะสลักให้ดูแล้ว
เซียวเสี่ยวหลงรู้สึกคับแค้นแน่นอกที่ตนเองพ่ายแพ้ในครั้งที่แล้ว คราวนี้เขามีเพียงเป้าหมายเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือการเอาชัยชนะมาครอบครองให้ได้
“บททดสอบวันนี้ไม่มีอะไรมาก จงใช้ทักษะการใช้มีดและการแกะสลักของเจ้าทำเต้าหู้บุปผาพันชั้น”
เขาเอามือไพล่หลัง มองทั้งสองด้วยสีหน้าสงบพลางประกาศบททดสอบออกมา
เต้าหู้บุปผาพันชั้นรึ
เซียวเสี่ยวหลงและอวี่ฝูเหม่อไปชั่วครู่ นั่นมันอาหารที่ทำให้ทักษะการใช้มีดอันแสนยอดเยี่ยมของเถ้าแก่ปู้เป็นที่รู้จักไปทั่วนครหลวงมิใช่หรือ อาหารจานนี้ไม่เพียงทดสอบทักษะการใช้มีดของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังวัดทักษะการแกะสลักอีกด้วย
ใครจะไปคิดว่าเถ้าแก่ปู้จะตั้งมาตรวัดเอาไว้สูงถึงเพียงนี้
เซียวเสี่ยวหลงและอวี่ฝูหันมามองหน้ากัน พอสายตาของทั้งสองสบกัน พวกเขาก็เห็นแววนักสู้ในดวงตาของอีกฝ่ายทันที
พอปู้ฟางหยิบเต้าหู้อุ่นๆ ออกมาจากตู้ ทั้งสองก็เริ่มแข่งขันกันอย่างจริงจัง
ครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้เซียวเสี่ยวหลงไม่ได้แอบอู้เลยแม้แต่น้อย ปู้ฟางเห็นสิ่งนี้ได้จากทักษะการใช้มีดว่าชายหนุ่มมุ่งมั่นตั้งใจมากเพียงใด เนื่องจากมันไม่ได้ดูยิ่งหย่อนไปกว่าอวี่ฝูเลย
ส่วนอวี่ฝูเองก็จัดว่าน่าประทับใจไม่น้อย มนุษย์อสรพิษหญิงตนนี้มีความมุ่งมั่นแรงกล้า นางตั้งใจเป็นอย่างมากที่จะศึกษาศิลปะการทำอาหาร นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการใช้มีดที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย
ทั้งสองทำจิตใจให้สงบแล้วเริ่มเพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่การทำเต้าหู้บุปผาพันชั้น
นี่เป็นการแข่งขันที่จะทดสอบความสามารถในการใช้มีดและการแกะสลักของพวกเขาไปในเวลาเดียวกัน
แม้การทดสอบนี้จะยาก แต่ไม่นานทั้งสองก็ทำเสร็จ ถึงจะมีข้อผิดพลาดอยู่บ้าง แต่ก็ยังจัดว่ายอดเยี่ยมดีงาม เต้าหู้บุปผาพันชั้นของคนทั้งคู่สวยงามละเอียดลออมากทีเดียว
เต้าหู้ที่อ่อนนุ่มเป็นชั้นๆ เหมือนขนสัตว์ลอยอยู่ในน้ำ ความงามของมันเรียกได้ว่าสวยจนแทบจับใจ
แต่ผลที่ออกมาก็ทำให้เซียวเสี่ยวหลงต้องเข่าทรุดด้วยความสิ้นหวัง เขาแพ้ให้อวี่ฝูซึ่งมีทักษะการใช้มีดที่ละเอียดอ่อนงดงามกว่าเล็กน้อย
บทลงโทษก็คือ ต่อไปนี้ชายหนุ่มจะต้องใช้มีดแสนหนักอึ้งของปู้ฟางในการฝึกทักษะการทำอาหาร
พออวี่ฝูเห็นสีหน้าบอกบุญไม่รับของเซียวเสี่ยวหลง นางก็หัวเราะคิกคักออกมา
“วันนี้พอแล้ว! แข่งเสร็จแล้ว เจ้าทั้งสองคนไปฝึกการทำอาหารต่อได้” ปู้ฟางพูดด้วยน้ำเสียงสงบ จากนั้นก็หันหลังกลับตั้งท่าจะออกจากครัวไป
แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินออกไป อวี่ฝูก็พูดบางอย่างขึ้นมา
“เถ้าแก่ปู้… ข้า… ข้ามีเรื่องเล็กน้อยอยากจะขอร้องเจ้าค่ะ” อวี่ฝูพูดด้วยน้ำเสียงลังเลเล็กน้อย
“หืม” ปู้ฟางหันกลับมามองหญิงสาวด้วยสายตางุนงง
“เมื่อสองสามวันก่อนข้าได้รับจดหมายจากท่านพ่อ ท่านอยากให้ข้ากลับไปที่เผ่ามนุษย์อสรพิษเนื่องจากมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น…”
ปู้ฟางเข้าใจทันที ดูเหมือนว่านางจะอยากพักสักหน่อย
แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาอยู่แล้ว ปู้ฟางไม่ใช่พ่อครัวชั่วร้ายที่จะกักขังมนุษย์อสรพิษหญิงเอาไว้ให้เป็นทาสไปตลอดเสียหน่อย
“เช่นนั้นก็รีบไปแล้วจะได้รีบกลับมา แม้จะอยู่ที่เผ่าก็อย่าลืมฝึกฝนทักษะการทำอาหารอยู่เสมอเล่า เจ้ายังต้องแข่งกับเสี่ยวหลงอยู่” ปู้ฟางพูดอย่างจริงใจ
ความกระวนกระวายพลันหายไปจากใบหน้าของอวี่ฝู นางผ่อนลมหายใจยาวออกมา จากนั้นก็พยักหน้าหงึกหงักอย่างตื่นเต้น
แต่ภายใต้ท่าทางตื่นเต้นดีใจของอวี่ฝูกลับแฝงไปด้วยความกังวล บิดาของนางอยากให้นางกลับไปทั้งที่รู้ว่านางกำลังฝึกวิชากับเถ้าแก่ปู้อยู่ แปลว่าเรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องเร่งด่วนและสำคัญจริงๆ
แล้วเรื่องใดกันที่ทำให้บิดาของนางถึงกับต้องเรียกนางกลับไป
ปู้ฟางหันหลังเดินออกจากครัวไป ลูกค้าเริ่มหลั่งไหลเข้าร้านมา เนื่องจากถึงเวลาเปิดร้านแล้ว
วันนี้โอวหยางเสี่ยวอี้ไม่ได้มาที่ร้านอย่างผิดวิสัย น่าจะเป็นเพราะเมื่อวานนางกินกระทะเทพแห่งโชคชะตาเข้าไป ตอนนี้จึงกำลังพยายามบรรลุขั้นปราณอยู่
แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไร
ปู้ฟางเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าสบายใจ นานๆ ทีจะลุกขึ้นเพื่อทำอาหารที่เตรียมยาก หลังจากทำเสร็จเขาก็จะกลับมานั่งเล่นที่เก้าอี้ทันที
เนื่องจากอาหารที่ทำยากทั้งหลายมีราคาแพง จึงไม่ค่อยมีคนสั่งเท่าไร
ชายหนุ่มรู้สึกดีใจที่ตนเองมีเวลาว่าง เขาเลื้อยตัวไปบนเก้าอี้ นึกถึงวิธีการพัฒนาอาหารจานต่างๆ ในร้าน นอกจากนี้ยังนึกถึงการทำให้รสชาติของแต่ละจานดีขึ้น และวางแผนเรื่องอื่นๆ ด้วย
ดูจากจำนวนคนที่เข้ามาในร้าน ดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะขายดีพอตัว
ทันใดนั้นคนกลุ่มใหญ่ก็เดินมาถึงหน้าร้านของเขา
ดวงตาที่ปิดอยู่ครึ่งหนึ่งของปู้ฟางเปิดกว้างทันทีแม้เจ้าตัวจะยังคงเลื้อยอยู่บนเก้าอี้ก็ตาม ดวงตาของเขามองไปที่กลุ่มคนเหล่านั้น รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
นั่นเพราะกลุ่มคนตรงหน้าเป็นองครักษ์ในชุดเกราะ คนเหล่านี้เคารพปู้ฟางพอตัวเลยทีเดียว เพราะชื่อเสียงของร้านเขาเป็นที่รู้จักกันดีในนครหลวง
แต่เมื่อมองดูอีกครั้ง ปู้ฟางก็เห็นชายร่างกำยำที่ยืนอยู่ด้านหน้า ชายผู้นั้นมองเขาด้วยสีหน้าเย็นชา
หือ ปู้ฟางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยพลางจ้องกลับไปเช่นกัน
เมื่อทั้งสองประสานสายตากัน ก็ราวกับกำลังเกิดการต่อสู้ปลุกปล้ำขึ้นกลางอากาศ แม้คนหนึ่งจะยืนตรงอีกคนนอนอืดอยู่บนเก้าอี้ แต่ทั้งสองก็ดูเหมือนจะพร้อมเข้าห้ำหั่นกันทันที
หลังจากมองชายร่างกำยำด้วยมัดกล้ามอยู่นานสองนาน ปู้ฟางก็กลอกตาบนแล้วตัดสินใจเลิกสนใจอีกฝ่าย
ตอนนั้นเองคนผู้นั้นก็เปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงที่ต่อให้บรรยายว่าหยาบคายไร้มารยาทก็ยังฟังดูดีเกินไป
“เจ้าน่ะหรือเจ้าของร้านอาหารที่สังหารผู้อาวุโสสองคนจากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏ ในเมื่อเจ้ากล้าฆ่าคนจากสำนักข้า จะไม่คิดชดใช้อะไรหน่อยรึ”