ตอนที่ 264 คุณหนูสามลู่
ท่านยายกัวยืดตัวตรงเข็นรถ ท่านยายฉีพูดว่า “รีบปล่อยเถอะ ข้าเข็นคนเดียว เจ้าเดินเกร็งหมดแล้ว”
นั่นสิ เกร็งหมดแล้ว เครียดน่าดู
แค่กลัวว่าเหตุการณ์อย่างที่ย่าหม่าพูดจะเกิดขึ้น สะดุดหกล้ม ตัวเองหกล้มหน้าคะมำยังไม่เท่าไร แต่อย่าทำเค้กเละด้วยแล้วกัน
“เจ้าเข็นไม่ไหว”
“ข้าเข็นได้เท่าไรก็เท่านั้นแล้วกัน ตอนหนีภัยพวกเราเข็นของเยอะกว่านี้อีก”
กลุ่มของท่านยายหวังก็ระมัดระวัง ท่าทางประมาณว่าตัวเองเกิดเรื่องได้ แต่ห้ามเกิดอะไรขึ้นกับขนมเค้ก
ทางด้านกลุ่มเก่อเอ้อร์นิวพอไหว ขนมที่พวกนางเข็นคือขนมเค้กทั่วไป
ออกเดินทางพร้อมกัน ต่างใช้เส้นทางตรงกลาง
ถนนด้านหน้าที่หิมะตกก็ราบเรียบก่อนแล้ว กอปรกับต่อให้หมู่บ้านเหรินจยาจะไม่ดีอย่างไรก็ต้องขอบอกว่าทำเลดีมากทีเดียว ใกล้เมือง ถนนหนทางยังถือว่าใช้ได้
ถ้าอาศัยอยู่ในหุบเขา ไอ๊หยาแม่จ๋า ต่อให้มีหมุดเหล็กก็ปีนเขาจนรากเลือด
ก็แค่กระอักกระอ่วนอยู่นิดหน่อย โดยเฉพาะท่านย่าหม่า พอผ่านถงเหยาเจิ้น ท่านยายกัวรวมถึงสะใภ้ใหญ่ต่างเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวากันไปแล้ว นางยังต้องมุ่งหน้าไปยังเมืองเฟิ่งเทียนต่ออีกไกลพอสมควร
เวลานี้ท้องฟ้าสว่างแล้ว
เมืองเฟิ่งเทียน นั่นเป็น ‘เมืองหลวง’ ที่ท่านอ๋องเยี่ยนอยู่เชียวนะ ย่อมต้องมีรถจากแต่ละอำเภอปรากฏ มีชาวบ้านทั่วไป ยิ่งไปกว่านั้นต้องมีคนสูงศักดิ์ขุนนางน้อยใหญ่
ถนนสองข้างทางเดินยากอีกแล้ว เดินตรงกลางแล้วกัน ด้านหลังมีล่อลากรถมา ท่านย่าหม่ากับท่านยายเถียนต้องรีบเข็นรถหลบไปด้านข้างเพื่อหลีกทางให้
ล่อกับวัวลากรถยังดีหน่อย กลัวที่สุดก็รถม้าที่วิ่งเร็วมาก บางครั้งหันไปยังตกใจ แส้เฆี่ยนม้าสะบัด วิ่งหน้าตั้งมาทางพวกนาง
ทำเอาท่านย่าหม่าตกใจเหงื่อแตกสองครั้ง คิดในใจ ข้าเข็นขนมเค้กเลยนะ ทำข้าใจหายใจคว่ำหมด
ย่าหม่ากัดฟันพูด “ยายเถียน”
“หืม?”
“พวกเราซื้อวัวสักตัวเถอะ”
ทำไมจะซื้อวัวอีกแล้ว เพิ่งจะซื้อวัวนมแถมยังติดเงินฝูเซิงอยู่มิใช่รึ
“ไม่ใช่วัวนม จะเอามาลากรถ พอถึงตอนนั้นข้าบังคับรถ เจ้านั่งบนรถจับเข่งไว้ จะเอาเงินจากไหนน่ะเหรอ” เก็บไง ถ้าเก็บไม่พอ งั้นเงินที่ติดลูกสามไว้ก็ยังไม่ต้องคืน ไหนจะบ้านลูกใหญ่กับลูกรองอีก ใกล้ถึงเวลาจ่ายค่าแรงแล้วมิใช่รึ
ท่านย่าหม่าคิดจะเอาเงินไปใช้อีกแล้ว
ดูเหมือนท่านยายเถียนจะรู้จัก ‘หัวหน้า’ ดีขึ้นทุกวัน นางบอกว่าอย่าได้คิดจะใช้เงินของฝูไฉกับฝูสี่ และก็ต้องรักษาคำพูดคืนเงินให้ฝูเซิงไป พวกเราทำด้วยกันไม่ใช่หรือ เอาเงินรวมกัน น่าจะพอได้อยู่ นางถามขึ้นมาอีก “เจ้าบังคับรถเป็นรึ”
“มันจะไปยากตรงไหน กุกๆๆ เอ้าเดิน ชู่ๆๆ เอ้าไป ก็แค่ทำให้มันเดินหน้า”
ท่านยายเถียน มีความจริงอยู่อย่างที่ไม่รู้ว่าควรพูดหรือเปล่า ไม่สู้เข็นมันไปแบบนี้ รู้สึกได้ลางๆ ว่าถ้าท่านย่าหม่าคุมรถ เดี๋ยวคงได้พลิกคว่ำ
สรุปก็คือ วันนี้เหล่าหญิงสูงวัยต่างเดินกันช้าเพื่อให้เอาของไปส่งได้อย่างปลอดภัย แต่ละคนต่างบอกตัวเองอยู่ในใจไม่หยุดว่า อดทน อดทน นิ่งๆ นิ่งๆ ถึงปุ๊บได้เงินปั๊บ ขาดก็แค่อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกสาย
คนกินกลับเป็นแบบนี้
“ว้าว” ฝูหรงมองขนมเค้กที่ประดับตกแต่งด้วยรูปหัวใจขอบขาวโดยรอบ ชั้นบนสุดเป็นดอกฝูหรงที่บานสะพรั่งหนึ่งดอก
นางสะบัดผ้าเช็ดหน้าใส่พี่ๆ น้องๆ พลางพูด “พวกเจ้าดูสิ พวกเจ้าดูสิ นี่เป็นขนมที่คหบดีเฝิงให้ข้า สามชั้นเชียวนะ”
“น้องหลิ่วเยี่ย เจ้าว่ามันสวยหรือไม่”
หลิ่วเยี่ยเดินเชิดหน้าขึ้นชั้นบนพร้อมสาวใช้ ไม่อยากอยู่ร่วมชื่นชมด้วยแล้ว นางคิดในใจ ในอนาคตอันใกล้ นางจะต้องสั่งแบบสี่ชั้นให้ได้
ฝูหรงทำสีหน้ากึ่งยิ้มให้หลิ่วเยี่ยที่เดินขึ้นชั้นบน
ทางด้านขนมเค้กของท่านยายหวัง
ความสุขแห่งการได้ลูกชาย เต็มไปด้วยเสียงยินดี
ครอบครัวเจ้าของบ้านทุ กคนต่างยกมือคารวะแสดงความขอบคุณ
เมื่อเปิดขนมเค้กออก บ้างก็หรี่ตาเพ่งมอง บ้างก็แสดงความตกใจ บ้างก็หันไปกระซิบกระซาบ ถามว่าสิ่งนี้คืออะไร แต่สุดท้ายต่างก็พูดแสดงความยินดีอย่างพร้อมเพรียง เพราะบนขนมเค้กเขียนว่า ‘ฟ้าประทานบุตร’
กิน ‘ฟ้าประทานบุตร’ ลงท้องได้ด้วย น่าประหลาดเสียจริง ประหลาดมาก
ส่วนขนมเค้กเก้าก้อนที่ย่าหม่าขายได้ นางไม่รู้เลยว่าขายไปให้ใคร
ทางโรงเตี๊ยมไปแจ้งทันที
ขายให้ใครน่ะหรือ
พวกท่านย่าหม่าเพิ่งจะรับเงินเดินออกด้วยความดีอกดีใจ อยากไปซื้อเนื้อหมูสามชั้นสักหน่อย จากนั้นก็ซื้อผ้าแถบที่หลานสาวบอกกับนางว่าอยากได้ เห็นว่าจะเอาไปผูกเข่ง ไม่ก็เย็บเป็นดอกไม้ พอพวกนางออกไป ขนมเค้กเก้าก้อนก็ถูกขนไปยังบ้านผู้ว่าการเขตเฟิ่งเทียน จวนอวี๋
เวลานี้บ้านสกุลอวี๋มีแขกสตรีเป็นจำนวนมาก
ซ่งฝูเซิงใช้กระดาษชนิดพิเศษสร้างเป็นกระโจม ซึ่งข้างในปลูกพริกไว้ทั้งหมด
สกุลอวี๋ก็มีกระโจมที่ใหญ่มากเหมือนกัน และก็ใช้กระดาษชนิดนี้ทำเช่นกัน แต่ข้างในเต็มไปด้วยดอกไม้นานาชนิดหลากสีสัน ทำกำแพงอุ่นเหมือนกัน ใช้ถ่านที่ไม่ทำให้สำลักควันทั้งยังมีกลิ่นหอม
บรรดาแขกสตรีนั่งจิบชาพลางสนทนา
เห็นเพียง หลังจากสาวใช้ที่ดูเป็นการเป็นงานเข้ามาก็ทำความเคารพบรรดาแขกสตรีก่อน จากนั้นก็รีบเข้าไปหานายหญิงสกุลอวี๋ กระซิบบอกเล็กน้อย นายหญิงของบ้านท่านนี้ถือไม้เท้า ยิ้มพลางยืนขึ้น
เหล่าแขกสตรีก็ยืนตามแล้วเดินออกไปข้างนอก
เพราะไม่ต้องถามก็รู้ว่าจะต้องมีคนมาแน่นอน อีกทั้งคนที่มายังเป็นถึงสะใภ้ใหญ่ของผู้บัญชาการใหญ่ ขณะเดียวกันก็เป็นคุณหนูสามลู่ของจวนผู้สำเร็จราชการ
ตอนที่ 265 ยินดีอะไร
ผู้บัญชาการใหญ่ ขุนนางขั้นสอง แม่ทัพผู้ดูแลความสงบเรียบร้อยภายในเมืองเฟิ่งเทียนโดยเฉพาะ
แม่ทัพท่านนี้เป็นพ่อสามีของลู่จือหว่าน พี่สาวคนที่สามของลู่พั่น
นี่ก็คือฮูหยินของผู้ว่าการเขตเฟิ่งเทียน เห็นๆ อยู่ว่าถึงวัยที่ต้องใช้ไม้เท้าแล้ว ทว่านางกลับยังคงต้องไปต้อนรับลู่จือหว่านด้วยตัวเอง
แน่นอนว่าสาเหตุสำคัญเป็นเพราะครอบครัวฝ่ายลู่จือหว่านคือจวนกั๋วกง ท่านปู่ ท่านย่า และท่านพ่อของนางต่างไม่ธรรมดาทั้งนั้น
ลู่จือหว่านมาครั้งนี้ก็เพราะมีภารกิจที่แม่สามีมอบให้ อีกทั้งนางเป็นสะใภ้ใหญ่ จะไม่รับหน้าที่นี้ก็ไม่ได้
นางพาคุณหนูญาติผู้น้องออกมาเพื่อดูว่ามีคนที่เหมาะสมหรือไม่ จะได้รีบจัดการเลือกสักคน อายุอานามก็สิบหกปี ถึงเวลาแล้ว กว่าจะตระเตรียม อายุสิบเจ็ดก็ต้องแต่งแล้ว
ญาติผู้น้องคนนี้นามว่า เสิ่นเทียนอี เป็นบุตรสาวของครอบครัวน้องสาวแม่สามีของลู่จือหว่าน
ก่อนหน้านี้ลู่จือหว่านพานางกลับไปบ้านมารดาตัวเอง ใช่ว่าจะไม่เข้าใจความคิดของเสิ่นเทียนอี และก็ใช่ว่าจะไม่รู้ความนัยที่แม่สามีต้องการสื่อ อันที่จริงก็น่ารำคาญนัก เห็นจวนกั๋วกงเป็นสถานที่แบบไหน หมาแมวที่ไหนก็อยากจะยุ่งกับน้องชายของนางก็ได้อย่างนั้นหรือ
เพียงแต่พวกนางที่เป็นพี่สาวกับเหล่าญาติๆ ต่างก็มีความคิดแบบเดียวกัน ร้อนใจเรื่องคู่ครองของน้องชายเหลือเกิน
คิดว่าเกิดน้องชายเส้นประสาทพลิก เกิดหลงรักเสิ่นเทียนอีตั้งแต่แรกเห็น ถ้าเกิดว่าเขาก็คิดแบบเดียวกัน
อย่างไรเสีย เสิ่นเทียนอีก็หน้าตาใช้ได้ อย่างไรเสียพวกเขาอาจจะถูกใจกันก็ไม่แน่ ถ้าเช่นนั้นก็จะได้รีบจัดแจงให้ร่วมเรียงเคียงหมอนกัน
ต้องทราบก่อนว่าพวกนางที่เป็นพี่สาวและบรรดาญาติๆ กลัวเหลือเกินว่าน้องชายคนนี้จะคิดไม่ได้ ไม่ให้แม้แต่สตรีสักคนเข้าใกล้ งานพับเสื้อผ้าพับผ้าห่ม เขาก็ไม่ให้สตรีแตะต้อง ราวกับว่าหากมีคนสัมผัสถูกเสื้อผ้าของเขา ผ้าห่มของเขา จะเป็นการเสียเปรียบ จวนกั๋วกงก็มีผู้สืบทอดสกุลอยู่แค่คนเดียวเสียด้วย
หากมีใครสักคนมาร่วมเรียงเคียงหมอน นั่นก็เท่ากับเติบโตแล้วมิใช่หรือ ค่อยๆ คิดได้ก็เป็นเรื่องที่ดี ก็จะสามารถจัดแจงเรื่องแต่งงานได้แล้ว
ความจริงเป็นที่ประจักษ์ว่า น้องชายของนางปกติดี ไม่ได้มีเส้นประสาทพลิก และก็ไม่มีเค้าลางว่าจะถูกใจใครทั้งนั้น ยังคงใช้ชีวิตประหนึ่งนักบวชอยู่ในเรือน ยังคงขี้คร้านจะสนใจพี่สาวอย่างพวกนาง ยังคงรังเกียจที่พี่สาวอย่างพวกนางกลับมาบ้านบ่อยครั้ง ถึงขนาดที่นางเดาว่าน้องชายรู้สึกรำคาญพี่สามอย่างนางมากกว่าเดิมแล้ว
รำคาญก็รำคาญไป อย่างไรเสียก็ทำอะไรนางไม่ได้
“โอ๊ะ” ลู่จือหว่านเดินเข้าไปหาขนมเค้กก้อนหนึ่ง ใช้มือที่พันผ้าเช็ดหน้าแตะลงบนขนมเบาๆ ช่างงดงามเสียจริง
แสดงให้เห็นว่าซ่งฝูหลิงไม่ได้ทำอะไรแบบขอไปที พอมีความสามารถอยู่บ้าง ความพยายามและความตั้งใจของนางไม่ได้สูญเปล่า
ถึงแม้จะรีบร้อนทำ ทว่าแต่ละอย่างล้วนตั้งใจทำอย่างสุดความสามารถ พยายามทำออกมาให้สวยงาม เวลานี้จึงได้รับการยอมรับเป็นอย่างมาก
ลู่จือหว่านมองพลางชี้ขนมเค้ก ด้านบนมีเพียงดอกกุหลาบสีเหลืองอ่อนและสีขาว ซ้อนกันเป็นชั้นๆ เหมือนช่อดอกไม้
ขนมเค้กก้อนนี้
เฉียนเพ่ยอิงได้พูดว่า ‘ลูกแม่ เจ้าทำแค่พอประมาณก็พอแล้ว จะลำบากไปทำไม ปากบอกว่าเหนื่อย แต่มือก็ทำดอกไม้ไม่จบไม่สิ้น’
ซ่งฝูเซิงพูดว่า ‘ลูกพ่อ เจ้าใส่ดอกไม้พวกนี้ ใช้เนยพวกนี้จนหมด กว่าลูกจะสะสมเนยพวกนี้มาได้ไม่ใช่ง่ายๆ เจ้าจะเอาแต่คิดถึงความสวยงามไม่ได้ ช่วยคำนึงถึงต้นทุนด้วยได้หรือเปล่า เขาให้ราคาสูงรึ’
พอทำขึ้นมา ใครจะคำนึงถึงอะไรมากมายขนาดนั้น มัวแต่คิดนั่นคิดนี่ก็จะทำออกมาไม่สวย อีกอย่างถ้าทำขนมเค้กแบบที่ว่า ทำออกมาก็ไม่ใช่ในแบบที่ตัวเองชอบ แบบนั้นก็น่าเบื่อ
“สวย อืม สวยมากจริงๆ” ตรงส่วนอื่นดูแล้วให้ความแปลกใหม่ ลู่จือหว่านชอบอันนี้มากที่สุด ดอกไม้สีขาวกับสีเหลืองอยู่ด้วยกัน ดูแล้วสะอาดตา นางเม้มริมฝีปากยิ้มเผยให้เห็นลักยิ้ม
นางแสดงสีหน้าเช่นนี้ เล่นเอาสกุลอวี๋ก็ไม่กล้าตัดกิน ช่างเถอะ วางกับดอกไม้ที่อยู่ในแปลงก็แล้วกัน
“เชิญมาจากที่ใดหรือ”
นางคิดว่าสกุลอวี๋เชิญพ่อครัวทำขนมมาใหม่
อีกฝ่ายบอกว่าสั่งจองมาจากโรงเตี๊ยม แรกสุด สาวใช้ใหญ่ที่ชำนาญงานเป็นคนสังเกตเห็น จากนั้นพอกลับมาก็คุยให้บรรดาฮูหยินฟังแล้วถึงเรียกให้พ่อบ้านไปสั่งจอง
บรรดาฮูหยินหลายคนต่างคิดว่า ถ้าเช่นนั้นวันหน้าพวกนางก็จะสั่งมารับรองแขกสตรีบ้าง
ลู่จือหว่านกลับคิดในใจว่า อีกประเดี๋ยวนางออกจากบ้านสกุลอวี๋จะไปสั่งจองหลายชิ้นหน่อย เอาไปให้บ้านท่านแม่
วันต่อมา
พอย่าหม่าเอาของมาส่ง เถ้าแก่ร้านก็พูดว่า “ท่านยาย ขอแสดงความยินดีด้วย”
“ยินดีอะไรรึ”
“เจ้านายเรียนเชิญ ตามข้ามาสิ”