EP.434 ทักษะสยบมังกร
“พวกปีศาจกำลังมาขอรับ”
เฟิงจี้สิงกล่าวอย่างเคร่งเครียด “เป็นไปตามคาด”
เขาประสานหมัดพร้อมกล่าวคำออก “ข้าแต่ฝ่าพระบาท โปรดให้กระหม่อมนำกองทัพจักรวรรดิไปป้องกันศัตรูเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม เช่นนั้นข้าจะไปด้วย” ฉินอินพยักหน้า
ซูมูหยุ่นรีบกล่าวขัดทันที “พระองค์ไปไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ เผ่าปีศาจนั้นดุร้าย อีกทั้งพละกำลังของพวกอสูรเกราะแข็งแกร่งนัก แม้แต่ทหารจักรวรรดิผู้เก่งกาจหลายนายยังต้องตายตกจากแรงขว้างดาบของพวกมัน ในจักรวรรดิแห่งนี้ไม่มีผู้ใดสำคัญกว่าฝ่าบาทแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“วางใจในตัวข้าเถิด ท่านตา”
ฉินอินลุกขึ้นและแบมือ ฉับพลันพลังโซ่เทวะควบแน่นกลายเป็นดาวมังกรทองลอยฟุ้งทั่วฝ่ามือ นางยิ้มพร้อมกล่าว “ชวีฉู่สอนให้ข้าผสานพลังโซ่เทวะกับทักษะสยบมังกรได้อย่างลงตัว ข้าอยากเห็นด้วยตาของตนเองว่าพวกปีศาจจะแข็งแกร่งสักเพียงใด”
ซูอวี่พยักหน้าพลางกล่าว “ท่านพ่อวางใจเถิดเจ้าคะ องค์จักรพรรดินีทรงปกป้องตนเองได้ และการเสด็จไปป้อมปราการคงสร้างขวัญกำลังใจแก่เหล่าทหารได้มิน้อยเช่นกัน”
ซูมู่หยุนไม่อาจเถียงคำใดได้อีก “ส่งทหารโล่หนักไปอารักขาพระองค์ด้วย”
“เจ้าค่ะ”
…
กล่องลูกศรและเครื่องยิงถูกตั้งเรียงแถวบนกำแพงหน้าด่านอย่างเพียบพร้อม มนุษย์ปกป้องเมืองได้เหนือชั้นกว่าพวกปีศาจนัก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลินมู่อวี่สามารถยึดครองเมืองหน้าด่านทั้งสามกลับมาได้
ฉินอินสวมเสื้อคลุมสีทองปักตราดอกจื่อยินก่อนเดินลงมายังกำแพงเมืองซึ่งอยู่ในการดูแลของเฟิงจี้สิง ชวีฉู่และคนอื่นๆ มองจากระยะไกล เทือกเขาของมณฑลหลิงหนานขณะนี้เต็มไปด้วยอสูรเกราะนับไม่ถ้วน เงาสีดำปกคลุมไปทั่วพื้นที่ราวกับทะเลที่เต็มไปด้วยเต่าทองสีดำกำลังกลืนกินเทือกเขา แม้เผ่าปีศาจอาจไม่มีกลยุทธ์ใดมากมาย หากแต่พวกมันก็โจมตีอย่างรุนแรงเสมอมา
ดวงตาคู่สวยของฉินอินจ้องมองไปเบื้องหน้าขณะพึมพำ “กองทัพอสูรเกราะ…”
เซี่ยงอวี้ด้านข้างกล่าวคำออก “จอมพลปีศาจเหล่ยฉงนำทัพอสูรเกราะโจมตีกองทหารม้ามังกรกว่าห้าหมื่นนายของหลงเซียนหลินในมณฑลหมิงหนานจนแตกพ่ายไปไม่กี่วันก่อนพ่ะย่ะค่ะ กองกำลังของเมืองไป๋หลิงลดลงไปกว่าครึ่ง ซึ่งอาจต้องใช้เวลาพื้นฟูกว่าหนึ่งถึงสองปี กระหม่อมคิดว่าเหล่ยฉงคงต้องการโจมตีมณฑลหลิงหนานและเทือกเขาฉินเพื่อทำลายจักรวรรดิฉินและอี้เหอในคราเดียว”
“เหล่ยฉงช่างโลภนัก อีกทั้งยังไม่กลัวที่จะพ่ายแพ้แม้แต่น้อย” ฉินอินยกยิ้ม
เซี่ยงอวี้ยิ้มพลางกล่าว “ข้าแต่ฝ่าพระบาท ภูมิประเทศบริเวณเทือกเขาฉินอันตรายนัก รอบข้างของมณฑลชางหนานและมณฑลดาราเป็นป่าลึกไม่มีที่สิ้นสุดซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์วิญญาณอายุนับหมื่นปี แน่นอนว่าทั้งกองทัพมนุษย์และปีศาจต่างก็ไม่ต้องการผ่านเส้นทางนั้น อีกทั้งถนนที่ตัดผ่านเทือกเขาก็ถูกสร้างอยู่นอกกำแพงเมืองและพวกอสูรเกราะยังปีนป่ายได้อ่อนหัดนัก ตราบใดที่มีกำแพงหน้าด่านได้ อย่างไรเมืองของเราก็ปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอินพยักหน้า “อืม ก็ถูกของท่านผิงหนานโหว”
ขณะนั้นเหล่าทหารเริ่มใช้เครื่องยิงโจมตีอสูรเกราะที่เข้ามาใกล้กำแพงเมืองหน้าด่าน แม้ความแม่นยำของมันอาจไม่สูงนัก ทว่าเมื่อยิงเข้าเป้าก็สามารถทะลุร่างของอสูรเกราะได้อย่างง่ายดาย เสียงของลูกศรกระทบเกราะแข็งดังขึ้นอย่างต่อเนื่องพร้อมเสียงโหยหวนอันน่าสังเวชก้องกังวานไปทั่วภูเขา ก่อนกองทหารจักรวรรดิจะเปลี่ยนไปใช้คันธนูเพื่อยิงศรใส่อสูรเกราะที่เริ่มเข้ามาในระยะประชิด
“ข้าเกรงว่าอาจไม่เป็นเช่นนั้น”
เฟิงจี้สิงขมวดคิ้วก่อนกล่าวต่อ “ฝ่าบาททางนั้นพ่ะย่ะค่ะ มันคือสิ่งใดกัน?”
ทุกคนต่างมองตามเฟิงจี้สิงก่อนพบว่า เหล่าอสูรเกราะกำลังเข็นเกวียนขนาดใหญ่สองสามเล่มบนถนนสู่เมืองหน้าด่านเข้ามาใกล้กำแพง
เฝิงสี่หรี่ตามองก่อนกล่าวออก “บันได…”
เซี่ยงอวี้ตกตะลึงไปชั่วขณะ “พวกปีศาจโง่เขลาถึงเพียงนั้น พวกมันจะมีบันไดได้อย่างไร!”
เฟิงจี้สิงกล่าวตอบ “เฉียนเฟิงคงจับช่างฝีมือมุนษย์จำนวนมากไปเพื่อการนี้…ดูเหมือนว่าพวกมันยังมีเครื่องยิงหินด้วย”
“โอ้” เซี่ยงอวี้กล่าวเสียงเครียด “หากพวกอสูรเกราะจำนวนมหาศาลใช้บันไดปีนกำแพงเมืองเข้ามา ไม่ว่าผู้ใดก็คงไม่อาจหยุดพวกมันได้อีก”
“อย่าห่วงเลย พวกมันเข้ามาไม่ได้แน่”
ฉินอินยกยิ้ม ขณะชวีฉู่ด้านข้างก็มีท่าทีมั่นใจไม่แพ้กัน
“พระองค์ลองใช้ทักษะสยบมังกรขั้นที่สองดูพ่ะย่ะค่ะ” ชวีฉู่ยิ้มพร้อมกล่าว
“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์”
ฉินอินส่งเสียงแผ่วเบาก่อนพลังยุทธ์พลันหมุนวนรอบกายนางจนทหารอารักขากระเด็นออกไปด้านข้าง พลังโซ่เทวะพวยพุ่งอย่างบ้าคลั่งและกลายเป็นแสงรูปมังกรลอยอยู่เหนือหัว ฝ่ามือของนางแกว่งไปมาอย่างนุ่มนวลครู่หนึ่งก่อนปล่อยพลังที่ปะทุถึงขีดสุดออกไปเบื้องหน้า พลังโซ่เทวะผสานทักษะสยบมังกร!
“ตู้ม!”
รัศมีระเบิดแผ่ไปถึงนอกกำแพงเมืองจนบันไดของพวกปีศาจแหลกเป็นผุยผง เหลือเพียงกลุ่มควันคละคลุ้งอยู่ทั่วบริเวณ
“พระเจ้า…” เซี่ยงอวี้และเหล่าผู้บัญชาการต่างตกตะลึง
แม้ทุกคนจะทราบดีว่าพลังโซ่เทวะของราชวงศ์ฉินนั้นทรงพลังยิ่ง หากแต่ก็ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าพลังโซ่เทวะขององค์จักรพรรดินีจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้หลังจากการฝึกฝน อีกทั้งนี่ยังเป็นเพียงทักษะสยบมังกรขั้นที่สองเท่านั้น!
เฟิงจี้สิงอ้าปากค้างและกล่าวออกเมื่อได้สติ “อีกหน่อยทหารอารักขาของพระองค์คงลดลงไปกว่าครึ่ง ดูจากความแข็งแกร่งของราชวงศ์ฉิน…คนทั่วไปคงไม่อาจเข้าใกล้ได้เลย”
ฉินอินยกยิ้ม “ข้าไม่ได้หวังว่าทักษะสยบมังกรจะทรงพลังถึงเพียงนี้ ต้องขอบคุณท่านชวีฉู่ที่สอนข้า”
ชวีฉู่ลูบเคราสีขาวของตนก่อนกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม “ทักษะสยบมังกรมีทั้งหมดเจ็ดขั้นซึ่งข้าได้ฝึกฝนจนบรรลุทุกขั้นแล้ว อย่างไรเสียการใช้ติ่งอัคนีของข้าเพื่อแสดงทักษะสยบมังกรก็ยังด้อยกว่าพลังโซ่เทวะของฝ่าบาทนัก เนื่องจากข้าสร้างทักษะสยบมังกรนี้ขึ้นมาเพื่อพระองค์โดยเฉพาะ สายเลือดบริสุทธิ์ของราชวงศ์ฉินทรงพลังยิ่ง เมื่อผนวกกับพลังโซ่เทวะ ทักษะสยบมังกรก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเป็นเท่าตัว พลังทำลายล้างของสายเลือดมังกรช่างน่าเกรงขามนัก”
อย่างไรก็ตาม ทักษะนี้ก็ใช้พลังยุทธ์ค่อนข้างมากจนทำให้ใบหน้าของฉินอินซีดเซียวหลังจากการโจมตีเพียงครั้งเดียว
“ระวัง พวกอสูรเกราะเปิดฉากโจมตีแล้ว!” เฟิงจี้สิงกระโดดพร้อมขว้างดาบสะบั้นวาโยเพื่อสกัดหอกของเหล่าอสูรเกราะที่พุ่งตรงมา “เคร้ง!”
ทว่าอสูรเกราะซึ่งอยู่ห่างจากกำแพงเมืองเพียงหนึ่งร้อยเมตรยังคงขว้างอาวุธเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เกิดเสียงร้องโหยหวนในกำแพงครั้งแล้วครั้งเล่า เหล่าทหารจักรวรรดิได้รับบาดเจ็บและตายตกไปเป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
“ฟิ้ว”
ขวานศึกพุ่งแหวกอากาศตรงมาหาฉินอิน
“ฝ่าบาท! ระวังพ่ะย่ะค่ะ!”
“อย่าห่วงเลยท่านผิงหนานโหว”
ฉินอินยกยิ้ม ฉับพลันพลังโซ่เทวะพวยพุ่งรอบกายนางดั่งเงามังกรปกคลุม ก่อนควบแน่นเป็นโล่ผลึกในพริบตา “ตู้ม!” ขวานเล่มนั้นกระเด็นตกลงไปอย่างรวดเร็ว ฉินอินโบกมือไปมาแผ่วเบา ไม่นานโล่ผลึกก็สลายเข้าไปในร่างกลับไปเป็นพลังโซ่เทวะดังเดิม นางยิ้มพร้อมกล่าว “โล่มังกรศักดิ์สิทธิ์ของทักษะสยบมังกรขั้นที่สามช่างแข็งแกร่งไร้เทียมทานนัก…”
ชวีฉู่ยิ้มอย่างภูมิใจ “เป็นเพราะพลังของฝ่าบาทบริสุทธิ์มากพ่ะย่ะค่ะ ทว่าก็ยังต้องฝึกฝนอย่างหนักเพื่อบรรลุทักษะสยบมังกรทั้งเจ็ดขั้น ซึ่งจะช่วยให้พระองค์ทะลวงสู่ขอบเขตปราชญ์และมีรูปลักษณ์งดงามเช่นนี้ตลอดกาลพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอินกัดปาดสีแดงก่ำของตนก่อนกล่าวตอบพร้อมใบหน้าขึ้นสี “อืม ข้าจะพยายาม”
เฟิงจี้สิงยกยิ้มก่อนกล่าวออกขณะเช็ดคราบสีเทาบนดาบสะบั้นวาโยของตน “น่าเสียดายนักที่อาอวี่ไม่ได้เห็นฉากเมื่อครู่ เขาต้องทึ่งกับพลังยุทธ์ของฝ่าบาทมากแน่”
เฝิงสี่ยิ้มพลางกล่าว “จริงพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอินไม่ได้เอ่ยตอบสิ่งใดอีก หัวใจของนางเต้นรัวอย่างภาคภูมิด้วยไม่คาดฝันมาก่อนว่านางจะสามารถปกป้องหลินมู่อวี่ได้…
…
แม้การโจมตีของเหล่าอสูรเกราะจะรุนแรงเพียงใด หากแต่ก็ไม่เกินกว่าฝีมือของพลธนูกองทัพทหารมังกรซึ่งประจำการอยู่ที่เมืองหน้าด่านแห่งนี้ ศรเศวตรมณีถูกใช้เพื่อปลิดชีพอสูรเกราะตนแล้วตนเล่า ทว่ายิ่งเวลาล่วงเลยไป เกวียนขนอุปกรณ์รบของเหล่าอสูรเกราะถูกเข็นเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที
ขณะที่ฉินอินเตรียมตัวใช้ทักษะมังกรฟาดหางอีกครั้ง ชวีฉู่แตะไหล่ของนางก่อนกล่าวคำออก “เดี๋ยวกระหม่อมจัดการเองพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม ท่านชวีฉู่โปรดระวังตัวด้วย”
“วางใจเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ชวีฉู่หัวเราะก่อนลอยตัวออกจากเมืองไป ขณะติ่งอัคนีปรากฏขึ้นรอบกายพร้อมกับเปลวเพลิงลุกโชน เขาพุ่งปล่อยพลังห้าหนติดต่อกันกลางอากาศ ฉับพลันฝ่ามือเปลวเพลิงขนาดมหึมาลอยสู่ท้องฟ้า “ตู้ม ตู้ม ตู้ม!” เสียงระเบิดดังก้องกังวานไม่รู้จบ บันไดและเครื่องยิงของพวกปีศาจแหลกสลายเป็นจุณ เปลวไฟอันลุกโชนแผดเผาอสูรเกราะที่อยู่รายรอบเมืองอย่างบ้าคลั่ง
นี่คือพลังของขอบเขตปราชญ์ขั้นที่สามงั้นหรือ?
เฟิงจี้สิง เซี่ยงอวี้ ฉินเหยียนและคนอื่นๆ ตกตะลึงกับภาพเบื้องหน้า พลังของขอบเขตปราชญ์น่าสะพรึงกลัวนัก และหากพูดถึงขอบเขตเทวะ แน่นอนว่าทุกคนต่างต้องนึกถึงลั่วหลาน พลังเทพเจ้าของเขาเหนือชั้นกว่ามนุษย์ทั่วไปยิ่ง เช่นนั้นแล้วจอมยุทธ์ขอบเขตเทวะขั้นแรกก็คงสามารถครอบครองอาณาจักรมนุษย์ได้อย่างง่ายดายเลยงั้นหรือ?
ชวีฉู่บินกลับมาด้วยพลังแห่งจักรวาล ด้านหลังของเขาเต็มไปด้วยอสูรเกราะนับร้อยตนที่กำลังร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนาในทะเลเพลิง อุปกรณ์รบทั้งหมดถูกเผาจนวอดวาย แม้พวกมันจะโง่เขลาเพียงใดก็ไม่ถึงขั้นวิ่งหาความตาย เมื่อรู้แน่ชัดว่าพ่ายแพ้ในศึกครั้งนี้ พวกมันตีกลองส่งสัญญาณและถอยทัพกลับในทันที
“เผ่าปีศาจถอยทัพแล้ว”
ถังหลานทอดสายตามองไปเบื้องหน้าด้วยความภาคภูมิใจ เขายิ้มพร้อมกล่าวคำออก “ขอแสดงความยินดีกับองค์จักรพรรดินี จากการพ่ายแพ้ในศึกครั้งนี้เผ่าปีศาจคงไม่กล้าโจมตีเมืองหน้าด่านโม่ซงอีกแน่พ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยงอวี้ประสานหมัดพร้อมกล่าว “ข้าแต่ฝ่าพระบาท กระหม่อมจะกลับไปที่มณฑลชางหนานโดยเร็วที่สุด ยุทธวิธีที่พวกปีศาจใช้ครานี้คือยุทธการเดินเรือพ่ะย่ะค่ะ พวกมันกระจายกองกำลังกันไปหวังทำลายเมืองทั้งหมดพร้อมกัน กระหม่อมต้องปกป้องป้อมปราการไว้ให้ได้”
“อืม ข้าฝากด้วยนะท่านผิงหนานโหว” ฉินอินพยักหน้า
เมื่อได้รับอนุญาต เซี่ยงอวี้รีบขี่ม้านำเหล่าทหารใต้บังคับบัญชาออกไปทันที
เฟิงจี้สิงมองไปยังกองทัพอสูรเกราะที่กำลังถอยทัพจากไปโดยไม่กล่าวคำใด
“ผู้บัญชาการเฟิง ท่านต้องการกล่าวสิ่งใดหรือไม่?” ฉวีชู่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
เฟิงจี้สิงเกาจมูกแก้เขินขณะกล่าวออก “ท่านอาวุโสชวีสอนทักษะสยบมังกรให้ข้าบ้างได้ไหมขอรับ?”
“ย่อมได้ ข้าจะคิดค่าเล่าเรียนเป็นเงินหมื่นเหรียญทอง เจ้าตกลงหรือไม่?”
“ไม่มีปัญหาขอรับ”
เฟิงจี้สิงประสานหมัดอย่างหนักแน่นพร้อมแววตาลุกโชน