ตอนที่ 265 หงซิ่วผู้แข็งแกร่ง
“หา?”
แม่เล้าอึ้งงันครู่หนึ่ง เมื่อเห็นผู้สูงศักดิ์ท่านนี้ทำท่าจริงจัง นางจึงแน่ใจว่าตนไม่ได้ฟังผิด
สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างยากสังเกตเห็นพลางยิ้มกล่าว
“คุณชาย ลูกสาวคนนี้ของข้าไม่รู้ว่ามีผู้ทรงอำนาจมากอิทธิพลเท่าไหร่เฝ้าฝันถึงนาง แน่นอนว่าฐานะของท่านสูงส่ง แต่ผู้สูงศักดิ์แห่งเมืองหลวงที่ชอบนางก็มีไม่น้อย”
แม่เล้ามองหงซิ่วซึ่งเป็นจางหรุ่ยปลอมตัว พอคาดเดาสาเหตุที่นางทำตัวผิดปกติออกแล้ว
“อีกอย่างแม่เล้าแบบข้าชุบเลี้ยงลูกสาวคนนี้มาอย่างยากลำบาก แม้ว่าเป็นคนชั้นต่ำ แต่อย่างไรก็อยากเห็นนางได้ดี เป็นห่วงว่าถูกไถ่ตัวแล้วจะลำบากหรือไม่ ทั้งหลายเรื่องยังต้องดูความสมัครใจของเหล่าลูกสาว…”
จี้หยวนเห็นแม่เล้าตั้งท่าจำนรรจาไม่หยุด ทั้งยังสลับกับการหยั่งเชิงเล็กน้อย เขาตัดบทนางทันที
“แม่เล้า แม่นางหงซิ่วต้องยินยอมแน่ ท่านบอกจำนวนมาเถอะ”
แม่เล้าขมวดคิ้ว แอบมองหงซิ่วเล็กน้อย คิดหานัยอะไรจากสีหน้าของนาง แต่หงซิ่วกลับไม่มองนางเลย
‘หึ ดูท่าว่าอีกฝ่ายฐานะสูงส่งจริง นางหนูนี่คงพึ่งพาได้ เตรียมปลีกตัวแล้ว!’
แม่เล้าทำหน้าโอดครวญมองจี้หยวนอีกครั้ง
“คุณชาย เรื่องนี้ใช่ว่าข้าจะกล่าวตกลงได้ ท่านเองก็รู้ ขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่ชอบลูกสาวคนนี้ของข้ามีนับไม่ถ้วน หากนางตามท่านไป ถึงตอนนั้นเรือวิจิตรของข้าคงรับผิดชอบไม่ไหว!”
ในใจรู้สึกว่าบรรยากาศแปลกเกินไป ด้านหนึ่งแม่เล้าโอดครวญอีกด้านยื่นมือดึงตัวหงซิ่วมา
“คุณชาย ข้าขอเปิดอกคุยกับลูกสาวสักสองสามประโยค เชิญท่านพักผ่อนก่อน”
เมื่อพูดจบนางลากหงซิ่วไปนอกห้อง จางหรุ่ยมองจี้หยวนเล็กน้อย เห็นอีกฝ่ายพยักหน้าจึงลุกขึ้นตามแม่เล้าออกไป
รอเมื่อทั้งสองคนออกไป ตู้ก่วงทงปรากฏตัวอีกครั้ง หวังลี่เอ่ยปากถามทันที
“ท่านจี้ แม่นางจางถูกพาออกไปแล้ว คงไม่เป็นเรื่องกระมัง”
จี้หยวนมองเขาเล็กน้อย
“เรื่องอะไร นางไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแอ”
หวังลี่ปิดปากทันที เขามัวแต่มองภายนอก ตอนนี้นึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดา
ข้างนอกแม่เล้าลากหงซิ่วจนไปถึงระเบียงเรือ เดินมาถึงห้องรับรองอีกห้องก่อนปิดประตูเอ่ยปาก
“ลูกเอ๋ย ทำไมเจ้าถึงดึงดันตามเขาไป เมื่อขุนนางผู้สูงศักดิ์พวกนั้นไถ่ตัวเจ้าออกไป อย่างมากก็แค่รับเจ้าเป็นอนุภรรยา แปลกใหม่ไม่กี่ปีก่อนพบฉากจบมืดมน…”
จางหรุ่ยฝืนยิ้มเล็กน้อย
“คุณชายไม่เหมือนกัน”
“ไม่เหมือนกัน เจ้ายิ้มไม่ออกด้วยซ้ำ! ถ้าเจ้าไปแม่จะทำอย่างไร หอวิจิตรของพวกเราจะทำอย่างไร…”
จางหรุ่ยแค่รู้สึกว่าไม่เหมาะ แต่ไม่ใช่หญิงสาวปุถุชน ทั้งเคยรู้จักใจคน เมื่อได้ยินคำพูดของแม่เล้า สีหน้านางเย็นชาลง
“ทำไม หากขาดบ่อเงินบ่อทองอย่างหงซิ่วจะผ่านวันเวลาอย่างยากลำบากหรือ หลายปีนี้หาเงินได้ไม่น้อยแล้วกระมัง ไม่รู้จักพออีกหรือ”
“เจ้า… ได้ นางหนูอย่างเจ้าปีกกล้าขาแข็งแล้วใช่หรือไม่ คำพูดที่ข้ากล่าวก่อนหน้านี้ไม่ได้โกหก ขุนนางผู้สูงศักดิ์พวกนั้นชาติกำเนิดสูงส่ง เจ้าอย่าคิดว่าพูดคุยสนุกสนานกับพวกเขาบนเรือวิจิตรได้แล้วเท่าเทียมกับพวกเขา ในสายตาพวกเขาเจ้าก็เป็นแค่ของเล่นเท่านั้น!”
แม่เล้าพลันหรี่ตา เอ่ยวาจาจาบจ้วงประโยคหนึ่ง
“เหมือนอย่างคุณชายเซียวก่อนหน้านี้ เจ้าก็คิดว่าเจอรักแท้ไม่ใช่หรือ ผลลัพธ์เล่า เบื่อเล่นกับเจ้าแล้วไม่ปรากฏตัวอีก น่าจะสองปีแล้วกระมัง”
แม่เล้าจำได้อย่างชัดเจน ตั้งแต่ตอนนั้นลูกสาวคนนี้ของตนจึงสงวนท่าทีในที่สุด
แต่นางกลับไม่เห็นสีหน้าเฝ้ารออะไรจากหงซิ่ว
“หึ ท่านพูดมาให้ชัดยังได้เงินบ้าง มิฉะนั้นเมื่อถึงเวลาจะคว้าน้ำเหลว!”
จางหรุ่ยไม่มีความอดทนมาพูดช้าๆ ถ้าไม่ได้จริงนางก็คิดตีฝ่าออกไป หญิงสาวซึ่งหนีออกจากหอนางโลมถือว่าไม่น้อย
ท่าทางดื้อดึงข่มขู่คนอื่นของหงซิ่วทำให้แม่เล้าอึ้งงัน เหตุใดวันนี้หงซิ่วเหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคน มีที่พึ่งจนเปลี่ยนแปลงกระทั่งนิสัยหรือ
แม่เล้าครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนกล่าวอย่างอ่อนโยน
“เจ้าบอกแม่มาตามตรง คนผู้นั้นมีอำนาจมากแค่ไหนกันแน่ ความเป็นมายิ่งใหญ่กว่าคุณชายตระกูลเซียวนั่นหรือ”
จางหรุ่ยยิ้มหยันคราหนึ่ง คุณชายตระกูลเซียวนั่นเป็นคนอย่างไรนางไม่รู้ แต่ท่านจี้เป็นคนแบบไหนนางพอรู้อยู่บ้าง
นางถือโอกาสกล่าวอย่างจริงครึ่งไม่จริงครึ่ง
“ตระกูลเซียว? หึๆ ในสายตาคุณชายอำนาจทางโลกนับเป็นอะไรได้”
แม่เล้าตกตะลึง
“หรือว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ แต่ร่างกายเจ้าไม่สมบูรณ์แบบ เชื้อพระวงศ์จะยอมรับเจ้าได้อย่างไร”
จางหรุ่ยข่มกลั้นความอยากตบหน้านาง เปิดประตูเตรียมออกไปทั้งอย่างนั้น
ผลคือเพิ่งเปิดประตูก็พบว่าด้านนอกมีหญิงร่างใหญ่สองคนกับบ่าวชายร่างกำยำสองคนยืนอยู่
“ลูกเอ๋ย การเชื่อมสัมพันธ์กับผู้มีอิทธิพลไม่ใช่หนทางของเจ้า เมื่อแตกหักย่อมไม่สนใจใครหน้าไหน ผู้สูงศักดิ์คนนั้นแม่จะไปพูดด้วยเอง เจ้ากลับห้องไปพักผ่อนก่อนเถอะ พวกเจ้า ส่งแม่นางหงซิ่วกลับห้อง!”
“เจ้าค่ะ”
ด้านนอกหญิงร่างใหญ่คนหนึ่งรับคำเตรียมใช้กำลัง
“รนหาที่ตาย!”
จางหรุ่ยบันดาลโทสะ ตบหน้าหญิงแต่งงานแล้วสองคนดังเผียะๆ
หญิงร่างใหญ่น้ำหนักเท่าหงซิ่วสองคนถูกตบจนซวนเซถลาไปสองด้าน ย่ำเท้าเจ็ดแปดก้าวแต่สุดท้ายยังไม่อาจทรงตัว
เสียงล้มดังตึงๆ ทำให้เรือส่ายสั่น
บ่าวชายร่างกำยำสองคนอึ้งงัน หันกลับมายังไม่ทันลงมือ เพียงพริบตาเดียวหว่างขาพลันถูกเท้าเตะราวสายฟ้าแลบ
“อ๊าก…”
“อึก…”
บ่าวชายสองคนสีหน้าซีดเผือด กุมหว่างขาค้อมตัวล้มลงไป
“หึ! ขอเตือนเจ้าว่าอย่ามาหาเรื่องข้า!”
จางหรุ่ยแค่นเสียงเย็นชา สะบัดแขนเสื้อจากไป
เหตุการณ์นี้ทำให้แม่เล้าตกใจ มองหงซิ่วจากไปตาปริบๆ แต่กลับไม่กล้าขวาง
ไม่นานจางหรุ่ยกลับมาถึงห้องรับรองที่จี้หยวนอยู่ เปิดประตูเอ่ยปากกล่าว
“ท่านจี้ ข้าคิดมาแล้ว พวกเราต้องไว้หน้าคนธรรมดาด้วยหรือ อย่างมากแค่ตีฝ่าออกไป ถึงอย่างไรขอแค่มีร่องรอยว่าหงซิ่วออกจากหอนางโลมไปก็พอแล้ว”
ความจริงบอกให้พวกจี้หยวนไปก่อน จากนั้นจางหรุ่ยค่อยหนีไปก็ได้ แต่นางไม่อยากอยู่ที่นี่ต่ออีกแม้แต่ครู่เดียว
จี้หยวนประสานมือไปทางจางหรุ่ยอย่างขออภัย
“แม่นางจางวางใจเถอะ การก่อเรื่องเมื่อครู่ของเจ้ายังมีผลอัศจรรย์ ออกไปอย่างสงบโดยไม่ก่อเรื่องใหญ่ย่อมดีที่สุด ขอกล่าววาจาไม่น่าฟังสักประโยค ในสายตาแม่เล้าหญิงสาวที่นี่ล้วนเป็นสินค้าโก่งราคา ราคาถูกใจแน่นอนว่าพูดด้วยง่าย”
“ถ้านางเรียกร้องมากเกินไป กล้าเสนอราคาสูงลิ่วเข้าจริงเล่า”
หวังลี่เอ่ยปากถามตามจิตใต้สำนึก
“เงินนี้พวกเราแค่แสร้งทดรอง หลังจากนี้ย่อมมีคนมาจ่าย ทั้งสมควรให้เขาเป็นคนจ่าย!”
จี้หยวนใคร่ครวญพลางกล่าว ก่อนหันกลับไปประสานมือให้เทพวารีตู้ก่วงทง
“เทพวารีตู้ ครั้งนี้ฝากท่านด้วย”
ตู้ก่วงทงดื่มน้ำชาในถ้วยตรงหน้าตนจนหมด ลุกขึ้นมาคารวะตอบ
“ท่านจี้โปรดวางใจ ข้าคนแซ่ตู้ย่อมจัดการให้เรียบร้อย ขอลาก่อน!”
“ได้ เชิญเทพวารีตามสบาย!”
ตู้ก่วงทงประสานมือให้จางหรุ่ยและหวังลี่เล็กน้อย ไม่รอทั้งสองคารวะตอบก็กลายเป็นแสงวารีออกไปทางหน้าต่าง
“ท่านจี้ ใต้เท้าเทพวารีไปทำอะไรหรือ”
จางหรุ่ยเพิ่งกลับมา ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาเจรจาอะไรจึงอยากรู้นัก หวังลี่กระแอมคราหนึ่ง กล่าวด้วยเสียงของนักเล่าเรื่อง
“ครั้งนี้ใต้เท้าเทพวารีไปพาปีศาจดีในน้ำมา ขึ้นฝั่งแปลงเป็นกำลังคนขบวนหนึ่ง นำทรัพย์สินมาไถ่ตัวแม่นางหงซิ่ว”
ดูท่าว่าต้องเล่นละคร จี้หยวนคนเดียวย่อมไม่เหมาะจะนำทรัพย์สินมากมายมา
คืนนี้สำหรับหอวิจิตรถือว่าเกิดเรื่องมากมายนัก
มีแขกผู้สูงส่งและลึกลับหาใดเปรียบคนหนึ่งมาเยือน หมายตาหงซิ่วต้องการไถ่ตัวนาง
จากนั้นมีคนรับใช้หน้าตาเหมือนเทพดุอสูรร้ายขบวนใหญ่มา แค่ถูกพวกเขามองคราหนึ่ง พวกบ่าวชายร่างกำยำในหอวิจิตรต่างเหงื่อซึมสันหลัง
แต่ผู้ดุร้ายที่สุดกลับไม่ใช่คนนอก หากแต่เป็นแม่นางหงซิ่ว หญิงสาวซึ่งเชี่ยวชาญพิณหมากพู่กันจิตรกรรมทุกอย่างนี้ คืนนั้นถึงกับดุดันจนกำราบหญิงสาวทุกคนบนหอวิจิตร ไม่ใช่แค่คนเดียวที่รู้สึก แม้แต่แม่เล้ายังกลัวนางอยู่บ้าง
แน่นอนว่าสุดท้ายหอวิจิตรย่อมไม่เสียเปรียบ ทรัพย์สินซึ่งได้มาทำให้แม่เล้าพอฝืนยิ้มได้ แม้ไม่มีไก่ออกไข่ทองคำแล้ว แต่สุดท้ายยังได้ทรัพย์สินบานตะไท
แต่เจอฉากตบหน้าของลูกสาวตน ทำให้แม่เล้ายิ้มอย่างเจ็บปวด
ทองคำหนึ่งหีบเล็ก ไข่มุกหนักอึ้งหนึ่งหีบ ทองคำประมาณห้าร้อยตำลึง แน่นอนว่าจำนวนไม่ใช่น้อย แต่สิ่งล้ำค่าอย่างยิ่งคือไข่มุกพวกนั้น แต่ละเม็ดเกลี้ยงกลมใหญ่โต มีเงินยังหาซื้อยากจริงๆ ทำให้หญิงสาวส่วนใหญ่คลุ้มคลั่งได้
บนเรือวิจิตรของหอวิจิตรยังมีหญิงสาวชื่อเสียงโด่งดังไม่น้อยเช่นกัน ไม่ได้ยืนหยัดขึ้นมาเพราะพึ่งพาหงซิ่วคนเดียว ขาดหงซิ่วคนหนึ่งย่อมไม่ถึงขั้นสาหัส พวกนางซึ่งถูกอบรมมาเหมือนกันย่อมปั้นคนใหม่ขึ้นมาได้ทันที
วันที่สองตอนกลางวัน บนแม่น้ำระเบียบซึ่งอยู่ห่างจังหวัดเฉิงซู่ไปสิบลี้ มีเรือเล็กลำหนึ่งกำลังมุ่งไปข้างหน้า จี้หยวน ตู้ก่วงทง จางหรุ่ย หวังลี่ล้วนยืนอยู่บนนั้น
เรือลำนี้รูปแบบเหมือนเรือซึ่งเคยนั่งตอนอยู่บนแม่น้ำวสันต์ นั่งกันเจ็ดแปดคนได้สบายมาก ส่วนคนพายเรือคือจี้หยวน
“ดังคำกล่าวว่านำตาปลามาปลอมปนกับไข่มุก เมื่อคืนถือว่าเปิดประสบการณ์แล้ว”
จี้หยวนยิ้มพลางพูดเรื่องเมื่อคืนกับตู้ก่วงทงซึ่งยืนถ่อมตนอยู่ด้านข้าง เทพวารีคนนี้ทำงานรอบคอบนัก ต่อมาจี้หยวนไม่ต้องลงมืออะไรเลย
“แหะ ท่านจี้กล่าวชมเกินไปแล้ว ระหว่างทางข้าไปหาคนของศาลมืดจังหวัดเฉิงซู่ ตรวจสอบค่าไถ่ตัวหญิงคณิกาบางคนของหอวิจิตรช่วงหลายปีนี้ ทองคำหลักร้อยตำลึงถือว่าราคาสูงลิ่วแล้ว หากเป็นคนอายุมากหมดความสวยยิ่งราคาต่ำ ทองคำที่พวกเรามอบให้ถือว่าไม่ทำให้หอวิจิตรนั่นขาดทุนแล้ว”
ทองคำซึ่งมอบให้เป็นทองจริง ส่วนไข่มุกกลับไม่ใช่ทั้งหมด
ทองคำหนึ่งหีบตู้ก่วงทง ‘ยืม’ มาจากโถงใต้ดินของร้านแลกเงินบางแห่งในจังหวัดเฉิงซู่ แน่นอนว่าจี้หยวนย่อมไปหาคนที่ซ่อนหงซิ่วตัวจริงไว้มาชดเชย
แต่ไข่มุกหีบนั้น เดิมไม่ใช่สิ่งที่หอวิจิตรควรได้รับ อีกสองสามวันตู้ก่วงทงค่อยไปนำกลับมาด้วยตัวเอง
ตู้ก่วงทงหวังว่าคนที่ตามหาจะไม่มีเงินจ่าย จากนั้นเขาค่อยช่วยท่านจี้แก้ปัญหา คิดหาวิธีจัดการเรื่องนี้อย่างเหมาะสม เมื่อเป็นเช่นนี้วาสนาของเขากับท่านจี้ก็จะมั่นคงขึ้นหน่อย
แม้ว่าแม่น้ำระเบียบไม่ได้เชื่อมต่อกับแม่น้ำเทียมฟ้าโดยตรง แต่กลับมีคลองสายเล็กซึ่งสะดวกต่อการขนส่งสินค้าและเดินทางสองสามสายคดเคี้ยวติดกับแม่น้ำเทียมฟ้า จี้หยวนเองไม่รีบร้อน คิดพายเรือไปจังหวัดจิงจีเช่นนี้ อาศัยความเร็วในการพายเรือของเขา ไม่เกินครึ่งเดือนย่อมไปถึงเมือง
พูดคุยกับเทพวารีสองสามประโยค สุดท้ายอีกฝ่ายค่อยขอตัวจากไป จี้หยวนมองหวังลี่ซึ่งงีบหลับอยู่ในห้องโดยสาร คิดดูครู่หนึ่งค่อยกล่าว
“คุณชายหวัง เมื่อวานไม่ได้นอนทั้งคืน เชิญพักผ่อนก่อนเถอะ รอเจ้าตื่นขึ้นมา ข้าคนแซ่จี้ยังมีเรื่องเล่าให้เจ้าฟังหน่อย บางทีอาจเรียบเรียงเป็นตำราได้”
หวังลี่ขานรับอย่างมึนงงก่อนพิงห้องโดยสารงีบต่อ ไม่นานก็หลับสนิท