การลอบจู่โจมนี้เป็นไปอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความตกใจ และประหลาดใจของทุกคนในห้อง!
และก็ไม่ใช่ฝีมือของใครอื่น แต่เป็นฝีมือของอีกาดํานั่นเอง!
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ทําให้เขารู้สึกเสียหน้ามาก อาจพูดได้ว่า หน้าตา เกียรติยศ และศักดิ์ศรีที่เขาเฝ้าสั่งสมมานานหลายปีนั้น ได้ถูกชายหนุ่มผู้นี้ทําลายจนป่นปี้หมด
หลังจากคืนนี้ไป เขาจะสามารถมองหน้าผู้คนได้อย่างไรกัน? ผู้คนจะไม่พากันหัวเราะเยาะเขาอย่างนั้นหรือ?
ในสังคมทุกวันนี้ หน้าตาเป็นเรื่องสําคัญที่สุด!
ด้วยเหตุนี้ อีกาดําจึงไม่อาจอดรนทนต่อไปได้อีก เขาโกรธมากจนต้องหยิบมีดสั้นที่ซ่อนอยู่ใต้สันรองเท้าหนังมาร์ตินของตนเองออกมา และพุ่งแทงเข้าใส่ร่างของหลินหนานทันที
“ระวัง!”
หลิวหยิงหยิงต้องการที่จะห้ามไว้ แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว เธอจึงทําได้เพียงแค่ร้องตะโกนบอกหลินหนานเท่านั้น
แต่ดูเหมือนว่า หลินหนานเองก็ได้เตรียมพร้อมที่จะรับมือกับการลอบจู่โจมนี้ไว้แล้วเช่นกัน ท่าทางของเขาจึงดูไม่รีบร้อนนัก มือข้างหนึ่งยกขึ้น และพุ่งออกไปโดยไม่มีอาการร้อนรน
เพียะ!!
ฝ่ามือของหลินหนานฟาดเข้ากับใบหน้าของอีกาดําอย่างแม่นยํา ร่างกํายําเต็มไปด้วยกล้ามเนื้องของอีกาดําพุ่งทะยานออกไปกลางอากาศ ราวกับว่าวที่ขาดจากเชือก
ร่างของอีกาดําลอยละลิ่วออกไปไกลถึงห้าหกเมตร ก่อนจะร่วงลงไปกระแทกกับพื้นเสียงดังปัง!
อีกาดําถึงกับกระอักเลือดสีแดงออกมา ไม่ใช่เพียงเลือดที่พุ่งออกมาจากปากของอีกาดํา แต่ยังมีพันอีกหลายซี่ที่หลุดติดออกมาด้วย
อีกาดําพยายามที่จะลุกขึ้นยืนหลายต่อหลายครั้ง แต่เขาก็ไม่สามารถทําได้สําเร็จ และในที่สุดก็สลบไป
หลิวหยิงหยิงแอบหันไปส่งสัญญาณให้กับอาให้ที่ยืนอยู่ด้านข้าง และอาใส่ก็สามารถเข้าใจความต้องการของเธอได้ในทันที เขาและลูกน้องอีกสองสามคน ได้เข้าไปช่วยกันลากร่างที่หมดสติของอีกาดําออกไปจากบริเวณนั้น
และเป็นอีกครั้ง ที่ภายในห้องจัดเลี้ยงเงียบสงัด แทบไม่ได้ยินแม้แต่เสียงหายใจ
สีหน้าของทุกคนที่อยู่ในห้อง บ่งบอกว่ากําลังตกใจสุดขีด!
ทุกคนต่างก็กําลังจินตนาการว่า ฝ่ามือที่ตบเข้ากับใบหน้าของอีกาดํานั้น จะต้องมีพลังรุนแรงมากเพียงใด จึงจะสามารถทําให้อีกาดําหมดสติไปในทันทีเช่นนั้นได้!
ทุกคนต่างก็มีคําถามอยู่ในใจว่า แม้กระทั่งยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์ครึ่งระดับอย่างอาวุโสหยาน จะมีความสามารถทําได้เช่นเดียวกันนี้หรือไม่?
ภาพลักษณ์ภายนอกของผู้ชายคนนี้ ดูไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไปเลยแม้แต่น้อย!
หรือหมอนี่จะแกลังเล่นเป็นหมู เพื่อหลอกกินเสือกันแน่?
แม้กระทั่งหลิวหยิงหยิงเองก็ยังได้แต่แอบครุ่นคิดอยู่ในใจว่า หลินหนานเป็นใครกันแน่ และมีความสามารถเก่งกาจมากเพียงใดกัน?
แต่สิ่งหนึ่งที่หลิวหยิงหยิงมั่นใจเป็นอย่างมากก็คือ ด้วยความแข็งแกร่งที่หลินหนานที่แสดงออกมานั้น ผลลัพธ์ในคืนนี้จะต้องออกมาดีแน่!
หลินหนานที่ยืนอยู่นั้น กวาดสายตามองไปทั่วทั้งห้อง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ขออภัยนะครับ…. ไม่ทราบว่ายังจะมีใครคลางแคลงใจในตัวผม และอยากจะมาทําการตรวจสภาพสินค้าด้วยตัวเองอีกบ้างมั้ยครับ?”
และเมื่อได้เห็นสีหน้าท่าทางยียวนของหลินหนานแล้ว แม้ทุกคนจะไม่พอใจ แต่ก็ไม่มีใครกล้าแสดงกิริยาอะไรออกไป
น่าขํา!!
แม้แต่อีกาดําที่เป็นถึงนักสู้ดอกไม้แดง ยังมีสภาพที่น่าสมเพชเวทนาขนาดนั้น ยังจะมีใครกล้าเสนอหน้าออกไปอีกเล่า?
อาวุโสหยานจ้องมองหลินหนานแน่นิ่ง คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย และดูเหมือนกําลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
หลิวหยิงหยิงเองก็แอบมอง และเฝ้าสังเกตปฏิกิริยาของหยานลู่เฟิงอยู่เช่นกัน เพราะภายในห้องจัดเลี้ยงเวลานี้ ไม่มีใครที่จะแข็งแกร่งไปกว่าหยานลู่เฟิงอีกแล้ว และหากหยานลู่เฟิงคิดที่จะลงมือ สถานการณ์อาจจะพลิกกลับก็เป็นได้
ฉะนั้น นี้เป็นเรื่องที่หลิวหยิงหยิงจะต้องพยายามหลีกเลี่ยง และปล่อยให้เกิดขึ้นไม่ได้โดยเด็ดขาด!
ดูเหมือนหลิวหยิงหยิงจะคิดแผนการดีๆ ขึ้นมาได้ เธอยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะเป็นฝ่ายพูดขึ้นว่า
“ในเมื่อคุณชายหลินเป็นฝ่ายชนะ ทุกคนควรจะต้องยอมรับคุณชายหลินเป็นสมาชิกได้แล้ว อาวุโสหยาน คุณเป็นผู้ที่เพียบพร้อมด้วยคุณวุฒิและวัยวุฒิ คําพูดของคุณจึงเป็นที่น่าเชื่อถือที่สุด!”
หยานลู่เฟิงถึงกับนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย แต่แล้วก็พูดขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มว่า “ถึงแม้ฉันจะไม่ใช่สมาชิกของสมาคมเมิ่งหลาน แต่ในเมื่อเป็นข้อตกลงร่วมกัน และผลก็ได้ประจักษ์แก่สายตาทุกคนแล้ว ฉันคงไม่มีอะไรจะพูด!”
หลังจากที่อาวุโสหยานพูดจบ ทุกคนในห้องก็ได้แต่นิ่งเงียบ และไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้านเลยแม้แต่คนเดียว!
นี่เป็นคําพูดของยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์ครึ่งระดับ คําพูดของเขาจึงไม่ต่างจากกฎเหล็ก ที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติตาม!
ต่อให้ไม่เห็นด้วย แต่จะมีใครบ้างเล่าที่กล้าแสดงออกมาตรงๆ!
ดูเหมือนหลิวหยิงหยิงจะพอใจกับคําตอบของอาวุโสหยานมาก และนั่นเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเธอได้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการแล้ว หลิวหยิงหยิงจึงได้แต่ยิ้มออกมา พร้อมกับหันไปบอกหลินหนานว่า
“ขอเชิญคุณชายหลินไปนั่งที่โต๊ะได้แล้วค่ะ!”
หลินหนานพยักหน้า และกําลังจะเดินไปนั่งที่โต๊ะด้านหน้า แต่แล้วเสียงของใครบางคนก็ดังขึ้น
“เดี๋ยวก่อน!”
หลินหนานชะงักฝีเท้า พร้อมกับหันมองไปทางต้นเสียงทันที และพบว่าเป็นจางเฉิงที่ร้องตะโกนห้ามไว้
“คุณจาง ไม่ทราบว่าคิดเห็นขัดแย้งหรืออย่างไร?” หลิวหยิงหยิงหันไปถามด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าไม่พอใจนัก
จางเฉิงตอบกลับไปทันที “เถ้าแก่หลิว ผมไม่ได้มีปัญหาเรื่องที่คุณชายหลินจะเข้าร่วมสมาคมเมิ่งหลาน เพียงแต่ฐานะของเขา ไม่เหมาะที่จะนั่งโต๊ะแขกวีไอพี”
“ไม่เหมาะยังไง?” หลิวหยิงหยิงย้อนถาม
“โต๊ะนี้เป็นโต๊ะสําหรับผู้ก่อตั้งสมาคมเมิ่งหลานทั้งเก้าคน นอกเหนือจากอาวุโสหยานที่ทุกคนเคารพแล้ว เถ้าแก่หลิวคิดว่าคุณชายหลินเหมาะที่จะนั่งร่วมโต๊ะนี้งั้นรึ? คุณจะให้เขานั่งในฐานะอะไร?” จางเฉิงอธิบายยืดยาว
“นั่นน่ะสิเถ้าแก่หลิว! การที่พวกเรายอมให้เขาเข้าร่วมเป็นสมาชิกของสมาคม ก็นับว่าให้หน้าเขามากพอแล้ว แต่การที่จะให้เขานั่งร่วมโต๊ะแขกวีไอพีเช่นนั้น ผมเกรงว่าจะไม่สมเหตุสมผลนัก” หนึ่งในผู้ที่เป็นสมาชิกดั้งเดิมทั้งเก้าคนเอ่ยขึ้นเช่นกัน
“ถ้าเถ้าแก่หลิวจะให้เขานั่งที่โต๊ะนั่น พวกเราก็จะกลับ!” หลิวจื่อหยานพูดขึ้นด้วยใบหน้าที่บ่งบอกว่าไม่พอใจอย่างมาก
แม้ทุกคนในที่นี้จะคิดไม่เหมือนกันหมดทุกเรื่อง แต่พวกเขาก็มีจุดประสงค์เกี่ยวกับหลินหนานที่ตรงกัน
หลิวหยิงหยิงตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก หากเธอยังยืนกรานจะให้หลินหนานนั่งที่โต๊ะนี้ ทุกคนในห้องจัดเลี้ยงก็จะลุกออกไปจากห้องทันที หลิวหยิงหยิงจึงได้แต่หันไปมองหน้าหลินหนาน
แต่หลินหนานกลับโบกไม้โบกมือ พร้อมกับพูดขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “จะนั่งตรงไหนไม่ใช่เรื่องสลักสําคัญอะไรไม่ใช่เหรอ? พอดีผมเจอคนรู้จักสองคนพอดี ผมจะไปนั่งกับเขาเอง”
“คนรู้จักงั้นหรอ?”
หลิวหยิงหยิงหันกลับมาถามหลินหนานด้วยสีหน้างุนงง แต่เขากลับไม่ตอบ และเดินตรงไปที่โต๊ะตัวที่สอง พร้อมกับลากเก้าอี้ออกไปนั่งข้างๆ ถังจินซ่งกับหวังชางหยางทันที แล้วจึงเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายชายหนุ่มทั้งคู่
“คุณชายถัง คุณชายหวัง ไม่ได้พบกันตั้งนาน ผมคิดถึงพวกคุณสองคนมากที่เดียว!”
หลังจากที่ได้ยินคําพูดของหลินหนาน ทั้งถังจินซ่งและหวังชางหยางต่างก็หันไปมองหน้ากันด้วยความงุนงง และประหลาดใจ
ไม่ได้เจอตั้งนานอะไรกัน? เพิ่งจะเจอกันไปเมื่อวานนี้
อีกทั้ง ถังจินซ่งกับหลินหนานก็เพิ่งพบเจอกันเมื่อตอนเย็น และเพิ่งจะแยกจากกันไม่ถึงสองชั่วโมงด้วยซ้ำไป
หวังชางหยางทําเสียงฟีดฟัด พร้อมกับชักสีหน้าไม่พอใจ ในขณะที่ถังจินซ่งแกล้งทําเป็นเล่นโทรศัพท์มือถือโดยไม่สนใจหลินหนานเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อพวกเขาทั้งคู่ต่างก็ไม่สามารถเอาชนะหลินหนานได้ จึงทําได้เพียงแค่แสดงกิริยาท่าทางต่อต้านหลินหนานอย่างชัดเจนเท่านั้น
ในขณะที่คนอื่นๆในโต๊ะ กลับอพยพไปนั่งที่โต๊ะอื่น เมื่อเห็นหลินหนานเข้ามานั่งร่วมโต๊ะเช่นนี้
ภาพที่ทุกคนเห็นจึงดูแปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย เพราะเวลานี้ ครึ่งโต๊ะกลับมีหลินหนานนั่งอยู่คนเดียว ในขณะที่โต๊ะข้างๆ กลับนั่งเบียดเสียดกันแน่นไปหมด
หลังจากนั้นไม่นาน การประชุมของสมาคมเมิ่งหลานก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการเสียที..
แต่น่าจะเรียกว่า การเจรจาตกลงเพื่อแบ่งปันดินแดน ธุรกิจ และรายได้ ตามอํานาจอิทธิพลที่มีอยู่น่าจะถูกต้องกว่า!
และแน่นอนว่า การเจรจาตกลงกันนั้น ล้วนเป็นไปอย่างดุเดือด บางรายถึงกับตบโต๊ะใส่กันจนแทบจะวางมวย บางครั้งถึงกับขัดแย้งรุนแรงจนแทบจะชักปืนออกมายิงกันด้วยซ้ำไป!
และผู้ที่ทําหน้าที่เป็นประธานในการประชุม คอยประสาน และสลายความขัดแย้งของทุกฝ่ายก็คือหวู่เฟิง!
หรือพูดง่ายๆ ก็คือ คอยเก็บกวาดขึ้นั่นเอง
แต่คนอย่างหรูเฟิงก็ไม่ใช่ชายแก่ธรรมดาทั่วไป เขาไม่ต่างจากจิ้งจอกเผ่าที่มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวและไม่มีใครที่จะกล้ามีปัญหากับเขา!
หลินหนานเฝ้าดูการประชุมที่ดําเนินไปครู่ใหญ่ และคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันแน่นขึ้นยิ่งกว่าเดิม
เพราะเวลานี้ ผู้ขายพวกนี้ก็กําลังรุมหลิวหยิงหยิงซึ่งเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ และดูเหมือนว่าจะเอาเธอถึงตายที่เดียว!
พวกเขากําลังเจรจาเรื่องโกลเดนพาเลขซึ่งหลิวหยิงหยิงดูแลอยู่ และเสนอให้อีกแปดคนเข้าถือหุ้นของโกลเดนพาเลชด้วย เพื่อเป็นการลดทอนหุ้นในมือของหลิวหยิงหยิงให้ลดน้อยลง
และแน่นอนว่าโกลเดนพาเลชนี้มีความสําคัญกับหลิวหยิงหยิงมาก เธอจะไม่มีวันยอมให้คนเหล่านี้แย่งชิงไปได้แน่!
แต่คนเหล่านั้นก็ไม่ต่างจากหมาป่าที่หิวโหย ทุกคนกําลังรุมทิ้งและแย่งชิงอาหารจากหลิวหยิงหยิง และท้ายที่สุดก็ไม่สามารถตกลงกันได้
“เถ้าแก่หลิว คุณควรจะต้องรู้จักพอใจในสิ่งที่ตนเองควรจะได้บ้าง ที่ผ่านมา เพราะพวกเราเห็นแก่หน้าของเสิ่นวู๋เตา ถึงได้ปล่อยให้คุณถือหุ้นโกลเดนพาเลซคนเดียวมาตั้งนาน ทําไมไม่รู้จักละอายใจบ้าง?” จางเฉิงตําหนิหลิวหยิงหยิงเสียงดัง
“ใครกันแน่ที่ควรจะต้องรู้จักละอายใจบ้าง?”
หลิวหยิงหยิงย้อนถามเสียงเย็นใบหน้าของเธอปิดเผือดในขณะที่พูดขึ้นว่า “มีใครในที่นี้ยังจําได้บ้างว่า วันนี้เป็นวันตายของท่านเสิ่น?”
ฝากนิยายของทีมงานด้วยนะคะ
เรื่อง : เทพปีศาจผงาดฟ้า
เขาฟื้นสติตื่นขึ้นมาในร่างและพื้นพิภพแห่งใหม่ หลังจากที่ล่วงลับตายจากไปในโลกก่อนหน้า
หลงเนินเริ่มออกเดินทางครั้งใหม่ในพื้นพิภพที่เต็มไปด้วยเทพเซียนและมารปีศาจ สิ่งมีชีวิตลึกลับมากมายหลายหลาก และมนุษย์ที่สามารถบ่มเพาะพลังจนขึ้นกลายเป็นยอดฝีมือผู้ไร้เทียมทาน พร้อมผงาดขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งผืนพิภพทั้งมวล
หนทางเบื้องหน้าของเขามิได้เรียบง่ายอย่างที่คิด จําต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายเกินคณานับ สังหารทุกคนที่เข้าขัดขวาง ยอดผู้ฝึกยุทธ์พเนจรท่องโลกาท้ายุทธภพสุดขอบฟ้า จนกลายเป็นที่รู้จักในนามเทพปีศาจแห่งจักรวาล ปกครองความเป็นและความตาย
แม้กระทั้งสรวงสวรรค์ยังต้องก้มกราบต่อหน้าเขา!
เรื่อง : จักรพรรดิ์เทพมังกร
ความเป็นอมตะของหลิงหยุนได้มลายหายไป ทําให้เขาตกลงมาสู่โลกมนุษย์ ในยุคที่เต็มไปด้วยความเสื่อมทรามอย่างที่สุด
จากนั้น หลิงหยุนจะค่อยๆ บ่มเพาะพลังในตัวเองทีละขั้น ทีละขั้น และไต่ลําดับขึ้นไปต่อกรกับสวรรค์ได้อย่างไร