กลับมาถึงเรือนที่ทั้งสองอาศัย ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งเพิ่งจะได้ดูชัดเจนว่าเรือนแห่งนี้มีนามว่าเรือน ‘จินถง’
ในชื่อของเสิ่นจั้งเฟิงมีอักษร ‘จิน’ ซึ่งมีความหมายว่า ‘ทอง’ เว่ยฉางอิ๋งมาจากตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจว ภายในเรือนยังมีต้นอู๋ถงอายุร้อยปีอีกหนึ่งต้น ตำนานว่ากันว่าหงส์(ฟ่ง)จะไม่ร่อนลงมาหากมิใช่ต้นอู๋ถง พวกเขาใส่ใจตั้งแต่ตัวเรือนจนถึงชื่อเรือนเลยทีเดียว
ก่อนหน้านี้เสิ่นจั้งเฟิงบอกว่าเมื่อคราวะญาติผู้ใหญ่เสร็จแล้วกลับมาก็จะพักผ่อน แต่ความจริงแล้วเพียงดื่มชาไปหนึ่งจอก ก็มีบ่าวเข้ามาสอบถามว่าจะให้พวกเขาเข้ามาคารวะนายคนใหม่ได้หรือไม่
เสิ่นจั้งเฟิงมองไปทางเว่ยฉางอิ๋ง เว่ยฉางอิ๋งวางถ้วยน้ำชาลงแล้วพยักหน้า เพราะนี้เป็นธรรมเนียมที่ควรปฏิบัติ ต่อให้เหน็ดเหนื่อยก็จะต้องออกไปรับการคารวะและรู้จักบ่าวไพร่ อย่างไรเสียต่อไปนี้เรือนหลังนี้นางก็จะต้องเป็นคนดูแลแล้ว มิใช่ว่าแม้แต่คนที่ตนต้องดูแลแต่ตนกลับไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นผู้ใด…เช่นนั้นก็เป็นการไม่ควร
ความจริงแล้วในเรือนของเสิ่นจั้งเฟิงนี้ก็ไม่ได้มีบ่าวมากมาย สาวใช้สองคนที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายคือถวนเยวี่ยและซินเยวี่ย ชื่อของพวกนางก็ยังคล้องกัน แต่ใบหน้ากลับเทียบไม่ได้แม้แต่ครึ่งของดวงจันทร์ นอกนั้น นอกจากแม่นมแซ่ว่านแล้ว บ่าวที่เหลือก็จะดูแลอยู่ที่เรือนชั้นที่หนึ่ง ทั้งบ่าวชราสองสามคนและเด็กรับใช้ผู้ชายล้วนไม่ได้อยู่ในเรือนจินถง
เรื่องที่ทำให้นางหวงโล่งใจก็คือเสิ่นจั้งเฟิงมิได้มีผู้ใดในจวนก่อนแต่งงาน ทั้งเรือนจินถวงมีแต่บ่าวเก่าแก่ของเขา นอกนั้นก็มีเพียงถวนเยวี่ยและซินเยวี่ย ทว่าลำพังรูปร่างหน้าตาของนางทั้งสอง ก็เกรงว่าแม้แต่บ่าวที่มีหน้ามีตาสักหน่อยก็อาจจะไม่อยากได้เสียด้วยซ้ำ ทั้งยังเห็นชัดว่าเสิ่นจั้งเฟิงเองก็ไม่ได้มีความโปรดปรานที่ต่างจากคนทั่วไป ยามถวนเยวี่ยและซินเยวี่ยเข้าคราวะก็เพียงยืนอยู่ห่างๆ เขา มิได้เข้ามาใกล้จนเกินไป
ในบรรดาบ่าวไพร่เหล่านี้แน่นอนว่าจะต้องมีแม่นมแซ่ว่านเป็นหัวหน้า นางว่านผู้นี้ดูไปแล้วสูงวัยกว่านางหวงและนางเฮ่อสักหน่อย ตัวไม่สูง ใบหน้างดงาม สวมเสื้อส้างหรูคอป้ายลายหรูอี้ทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนสีแดงเงินและกระโปรงหลัวฉวินจีบกว้างสีน้ำทะเล เกล้าผมทรงตั้วหม่าจี้[1] มีท่าทีอ่อนโยนและอ่อนน้อมยิ่ง พูดจาเสียงเบาเนิบนาบ ดูท่าทางช่างเอาอกเอาใจทีเดียว
เว่ยฉางอิ๋งถูกนางหวงกำชับเอาไว้นานแล้วว่าจะต้องเกรงใจนางให้มาก แต่นางว่านกลับยิ่งอ่อนน้อม มองออกว่านางมิใช่คนที่มองผู้อื่นเพียงผิวเผิน นางและเยวี่ยถวน เยวี่ยซินเข้ามารับของกำนัลพร้อมกัน พลางกล่าวคำแสดงความจงรักภักดีอย่างคล่องแคล่ว… เพียงครู่เดียวก็พบบ่าวไพร่ทั้งหมดของเสิ่นจั้งเฟิงเรียบร้อยแล้ว และเว่ยฉางอิ๋งก็รู้ว่าเด็กรับใช้ชายที่ดูแลใกล้ชิดเขามีนามว่าเสิ่นเตี๋ย ตอนนี้อายุสิบสี่ปี เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีที่ฉลาดเฉลียวและคล่องแคล่วคนหนึ่ง
จากนั้นก็เป็นคราวของคนที่ติดตามมาอยู่กับเว่ยฉางอิ๋งหลังแต่งงานเข้าคารวะเสิ่นจั้งเฟิง ซึ่งพากันยืนเรียงหน้าสลอนอยู่กว่าครึ่งหนึ่งของลานบ้าน… ด้วยเหตุผลว่าพวกบ่าวของเว่ยฉางอิ๋งเหล่านี้จะไม่เข้าไปปรนนิบัติในเรือนหากแต่คอยดูแลเรื่องต่างๆ ในเรือนเท่านั้น เพื่อให้เห็นว่าสินติดตัวของนางมีมาอย่างมากมายก่ายกอง เมื่อมองเห็นคนจำนวนมากมายเหล่านี้ รวมทั้งพวกแม่บ้านสองสามคนที่มารายงานว่าแต่ละคนดูแลเรื่องใดบ้าง พวกของนางว่านจึงพากันส่งสายตาหากัน คิดในใจว่าฮูหยินน้อยผู้นี้เป็นคุณหนูที่เป็นที่รักที่สุดของตระกูลเว่ยโดยแท้ โดยทั่วไปแล้วสตรีที่เกิดในบ้านใหญ่ตระกูลสูงศักดิ์ ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ออกเรือนแล้วจะเอิกเกริกและมีผู้ติดตามยามแต่งงานมากมายถึงเพียงนี้
สินติดตัวของเว่ยฉางอิ๋งนั้นมีพรั่งพร้อมคับคั่งและห่างไกลกว่าบุตรสาวบ้านใหญ่ของตระกูลสูงศักดิ์ทั่วไปมากมายนัก นั่นก็เพราะนางเป็นหลานสาวแท้ๆ เพียงคนของแม่เฒ่าซ่ง และแม่เฒ่าซ่งก็มองหลานคนอื่นๆ เป็นเหมือนแค่เมฆที่ลอยไปมา นางทุ่มเทสุดกำลังแรงกายเพื่อให้หลานชายและหลานสาวแท้ๆ ได้รับแต่ผลประโยชน์…
เสิ่นจั้งเฟิงมองดูผู้คนเหล่านี้ คิดในใจว่าที่ดินแทบจะทั้งหมดของรุ่ยอวี่ถังที่อยู่ใกล้ๆ เมืองหลวงล้วนมอบให้แก่ภรรยาของตนผู้นี้ สินติดตัวพรั่งพร้อมเสียเพียงนี้ หากวันหน้าตนไม่ได้รับสืบทอดหมิงเพ่ยถัง ก็เกรงว่าที่ดินที่ตนจะได้แบ่งสรรค์ปันส่วนมาก็ยังไม่อาจเทียบได้กับสินติดตัวของภรรยาเลย…ช่างน่าสงสารจริงๆ…
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี พลางส่ายหัวเอาความคิดไร้สาระนี้ทิ้งไปเสีย เมื่อรับการคารวะแล้ว ก็มอบเงินกำนัลจำนวนหนึ่ง กล่าวคำทักทาย ทุกคนกล่าวคำขอบคุณและบอกว่าจะตั้งใจทำงานพร้อมกัน… และงานพิธีหนนี้ก็ผ่านพ้นไป
หลังจากคนทั้งสองให้บ่าวไพร่ไปแล้ว ต่างคนก็ต่างกลับไปที่ของตน และกลับมาพักผ่อนภายในห้อง นางว่านพร้อมกันนางหวงและนางเฮ่อกลับพากันตามเข้ามา… ด้วยนางเฮ่อถูกมองว่าไม่ได้เป็นผู้มีความสุขครบพร้อม ทั้งก่อนและหลังเว่ยฉางอิ๋งแต่งงานจึงไม่ได้มาอยู่ใกล้ชิดนาง ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งเข้าเรือนมาแล้ว เข้าพบญาติผู้ใหญ่แล้ว นางเฮ่อจึงอาศัยโอกาสที่สองสามีภรรยาแนะนำคนฝั่งตนให้อีกฝ่ายรู้จักกลับเข้ามา
ท่านอาทั้งสามเข้ามาหาพร้อมกัน เสิ่นจั้งเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งจึงเอ่ยถามถึงสาเหตุ
นางว่านและนางหวงต่างเกี่ยงให้อีกฝ่ายพูดก่อนอยู่พักหนึ่ง จึงเป็นนางว่านพูดออกมาก่อนว่า “ครั้งคุณชายสามยังไม่แต่งงาน เรื่องในเรือนของคุณชายล้วนเป็นข้าน้อยคอยดูแลให้ ยามนี้ฮูหยินน้อยก็เข้าบ้านมาแล้ว ย่อมต้องมอบหน้าที่นี้แก่ฮูหยินน้อย ข้าน้อยจึงมาส่งมอบงานเจ้าค่ะ”
ว่าแล้วก็เรียกถวนเยวี่ยให้หยิบเอาสมุดบัญชี กุญแจ และสิ่งของอื่นๆ มาส่งมอบต่อหน้าเสิ่นจั้งเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งที่ละชิ้นอย่างชัดเจน ในเวลาเดียวกันก็แนะนำเรื่องต่างๆ ในเรือนจินถงโดยคร่าวๆ ไปด้วย เดิมทีเสิ่นจั้งเฟิงก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ เพราะเรือนเดี่ยวที่มีสามชั้นในประตูเดียวเช่นนี้เดิมทีก็สร้างไว้เป็นที่อยู่อาศัยสำหรับคู่สมรสที่มีบุตรหลานซึ่งยังไม่ได้แยกเรือนออกไป ดังนั้นพวกของนางว่านจึงเพิ่งจะย้ายเข้ามาเพียงไม่กี่วัน
นางว่านกล่าวว่า “หลังจากย้ายเข้ามาแล้ว คุณชายก็ออกเดินทางลงใต้ไปรับฮูหยินน้อยแล้ว ยามนี้ข้าน้อยก็เพียงจัดแจงคร่าวๆ ให้พวกสาวใช้อยู่อาศัยกันที่เรือนชั้นที่สาม… ห้องครัวเล็กก็อยู่ในมุมของห้องในชั้นสาม พวกคนไปจ่ายตลาดและคนครัวล้วนเข้าออกทางประตูหลัง ห้องโถงหลักที่อยู่ทางด้านหน้าไว้สำหรับรับแขก ห้องทางด้านข้างห้องหนึ่งทำเป็นห้องหนังสือด้านหน้าเรือน อีกห้องหนึ่งเอาไว้เก็บอาวุธ เกราะและโล่ของคุณชาย ห้องที่เหลืออีกสองสามห้องล้วนยังว่างอยู่ มิรู้ว่าควรจะเอาไว้ทำสิ่งใดดี? เรือนชั้นที่สองที่คุณชายและฮูหยินน้อยพักอยู่นี้ ก็มีห้องหนังสือเล็กๆ ห้องหนึ่ง เพียงแต่หนังสือมีไม่มากเท่ากับห้องหนังสือข้างหน้า ยังมีสระน้ำในล้านบ้านที่สามารถเอาพวกปลาจิ่นหลี่[2]และปลาทองมาเลี้ยงเอาไว้ได้ ซึ่งล้วนสุดแล้วแต่ฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ”
ดังนั้น “ยามนี้เรือนหลังนี้ต้องจัดเก็บอีกหน ซึ่งต้องเป็นฮูหยินน้อยจัดการดูแลจึงจะถูกต้องเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งบอกว่า “ข้าเห็นว่าท่านอาก็จัดการได้เป็นอย่างดีแล้ว”
นางรับสมุดบัญชีและของอื่นๆ เอาไว้ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยนยิ้มแย้มว่า “ข้าก็เพิ่งจะมา ล้วนยังไม่เข้าใจเรื่องใดๆ เอาตามที่ท่านอาจัดการเอาไว้แต่เดิมก่อนเถิด หากมีสิ่งใดตกหล่นหรือมีความจำเป็นในภายภาคหน้า จึงค่อยเติมเข้าไปเป็นพอ ส่วนเรื่องสระน้ำ…” นางหันมามองเสิ่นจั้งเฟิง
เสิ่นจั้งเฟิงส่ายหัว กล่าวว่า “เจ้าตัดสินใจเป็นพอ จะเลี้ยงสิ่งใดข้าล้วนไม่ว่าอย่างไร”
นางว่านหัวเราะพลางโค้งคำนับแล้วถอยไปอยู่ข้างๆ
นางหวงจึงก้าวออกมาพูดว่า “ข้าน้อยอยากจะสอบถามคุณชายและฮูหยินน้อยว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือไม่?” เมื่อครู่ยามบ่าวของทั้งสองฝ่ายเข้ามาคารวะนายคนใหม่อยู่นั้น บ่าวที่ติดตามเว่ยฉางอิ๋งมาล้วนเปลี่ยนวิธีเรียกพวกเขาแล้ว
เว่ยฉางอิ๋งมองไปตามสายตาของนางหวงจึงเห็นว่าแขนเสื้อของตนเปื้อนน้ำชาเล็กน้อย จึงพยักหน้า
ส่วนเสื้อผ้าของเสิ่นจั้งเฟิงยังคงสะอาดเรียบร้อยดีอยู่ เขานิ่งคิดสักพักแล้วเข้าไปภายในห้องด้วย
ฉินเกอ เยี่ยนเกอ ถวนเยวี่ย ซินเยวี่ยตามเข้ามาพร้อมกัน คอยปรนนิบัติสองสามีภรรยา ซึ่งคนหนึ่งอยู่ข้างหลังอีกคนหนึ่งอยู่ข้างหน้าของฉากกันลม ต่างคนเปลี่ยนมาใส่ชุดอยู่บ้าน
ยามฉินเกอคุกเข่าลงช่วยเว่ยฉางอิ๋งจัดกระโปรง เยี่ยนเกอกลับแอบเอาตลับหยกตลับหนึ่งยัดใส่มือนาง แล้วกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “สิ่งนี้ท่านอาเฮ่อเพิ่งจะหาออกมาได้เจ้าค่ะ”
“เป็นสิ่งใด?” เว่ยฉางอิ๋งรีบถามเสียงเบาๆ กลับไป
เยี่ยนเกอกล่าวว่า “ได้ยินท่านอาหวงบอกว่า เป็นยาใส่แผลเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งหน้าแดงขึ้นมาทันใด แล้วพูดช้าๆ ว่า “อ่ะ ยามนี้ข้ารู้สึกดีขึ้นบ้างแล้ว…จะ…จึงไม่ได้ต้องใช้แล้วกระมัง?” อย่างไรก็ยังเป็นแม่นมที่เลี้ยงดูตนมาจนเติบใหญ่ที่สงสารนาง! มีหรือจะเหมือนนางหวงที่ถึงกับปล่อยปละละเลยไม่สงสารตน แต่กลับไปสงสารเสิ่นจั้งเฟิงนั่น!
เยี่ยนเกอนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง แล้วจึงพูดแผ่วเบาเหลือเกินว่า “มิใช่ให้ฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ แต่ให้คุณชายสามเจ้าค่ะ”
“…” เว่ยฉางอิ๋งถลึงตาใส่นาง
เยี่ยนเกอพยายามขืนพูดต่อไปว่า “ท่านอาบอกว่า ยาใส่แผลนี้ไม่มีกลิ่น เมื่อคุณชายสามทาแล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าคนใกล้ตัวจะรู้สึกได้” แล้วก็กล่าวเสียงต่ำลงไปอีกว่า “ท่านอาบอกว่าเรื่องแผลบนตัวคุณชายสามนั้นไม่ควรแพร่งพรายออกไป ฮูหยินน้อยจึงควรเป็นคนทายาให้คุณชายสามด้วยตนเองเป็นดีที่สุดเจ้าค่ะ”
“…ถวนเยวี่ย ซินเยวี่ยก็มิใช่ว่าเห็นแล้วหรอกหรือ?” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างมีน้ำโหขึ้นมาหน่อยๆ “ข้าไม่ได้อยากทายาให้เขาสักหน่อย!”
เมื่อฉินเกอช่วยนางจัดกระโปรงเรียบร้อยแล้วจึงลุกขึ้นพลางกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ท่านอาหวงบอกว่าฮูหยินน้อยลงมือหนักเกินไปแล้ว จักได้อาศัยจังหวะที่ใส่ยาให้กล่าวขอโทษคุณชายสามด้วยเจ้าค่ะ…”
เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “ไม่เอา!”
เสียงที่พูดประโยคนี้ออกจะดังไปสักหน่อย เสิ่นจั้งเฟิงที่เปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งของฉากกันลมภายในห้องเดียวกันจึงถามไปอย่างประหลาดใจว่า “ไม่เอาสิ่งใด?”
เว่ยฉางอิ๋งยังไม่ทันตอบ ฉินเกอพลันบอกไปว่า “เรียนคุณชาย ฮูหยินน้อยบอกว่าบาดแผลของท่าน…”
“ห้ามเจ้าพูดนะ!” เว่ยฉางอิ๋งร้อนรนขึ้นมา รีบเข้าไปปิดปากนางเอาไว้ พลางพูดอย่างโมโหว่า “ใครอนุญาตให้เจ้าพูดจาเรื่อยเปื่อยกัน?”
ว่าแล้วเสิ่นจั้งเฟิงจึงหัวเราะพลางสั่งความไปว่า “พวกเจ้าทุกคนออกไปก่อน”
เว่ยฉางอิ๋งไม่อนุญาต แต่พวกของฉินเกอและเยี่ยนเกอต่างพากันหัวเราะพลางยัดตลับหยกนั้นใส่ในมือของนาง แล้วรีบออกไปอย่างรวดเร็ว
ได้ยินเสียงดังมาจากประตู เว่ยฉางอิ๋งพลันขบริมฝีปากอย่างไม่พอใจ พลางม้วนผ้าคล้องแขนที่แขนขึ้นมา และเดินออกมาจากหลังฉากกันลม เมื่อเห็นเสิ่นจั้งเฟิงนั่งอมยิ้มอยู่ข้างใต้หน้าต่าง นางก็พลันหน้าบึ้งดึงแล้วเดินเข้ามาเอาตลับหยกวางไว้ตรงหน้าเขา กล่าวว่า “อะ! ท่านอาบอกให้ข้าเอาให้เจ้า”
เสิ่นจั้งเฟิงมองดูนางโมโหทั้งยังหงุดหงิด รู้สึกขำอยู่ในใจ จึงจงใจถามไปว่า “เพียงเท่านี้หรือ?”
เว่ยฉางอิ๋งโพล่งไปว่า “แล้วเจ้าคิดจะเอาอย่างไรอีก?”
“นี่เป็นยาใส่แผลกระมัง?” เสิ่นจั้งเฟิงยังไม่ตอบ พลางเปิดตลับหยก เผยให้เห็นยาเนื้อเนียนสีเขียวอ่อนๆ ที่อยู่ข้างใน แล้วเอามือป้ายออกมาดูตรงหน้าเล็กน้อย จึงถามออกไป
เว่ยฉางอิ๋งบอกว่า “ในเมื่อเจ้าก็รู้แล้ว เช่นนั้นก็เอาไปทาเองก็แล้วกัน ข้าไปก่อนล่ะ”
นางเพิ่งจะก้าวเท้าก็ถูกเสิ่นจั้งเฟิงที่ตาไวมือเร็วคว้าดึงตัวเอาไว้ พลางยิ้มแล้วว่า “แผลข้าล้วนอยู่ที่แผ่นหลัง แล้วจะมีปัญญาทาเองได้อย่างไร? เจ้าไม่ช่วยข้ารึ?” พูดถึงตรงนี้ เขาก็เริ่มคาดเดาเรื่องที่ฉินเกอและเยี่ยนเกอบอกกับนางที่หลังฉากกั้นก่อนหน้านี้ไปต่างๆ นานา… มือที่ดึงนางอยู่ยามนี้มีหรือจะยอมปล่อย?
เว่ยฉางอิ๋งแกะนิ้วของเขาออก แกะไปแกะมาก็ยังแกะไม่ออก แล้วว่า “ข้าจะไปเรียกถวนเยวี่ยกับซินเยวี่ยเข้ามาให้เจ้า”
“ให้พวกนางมาทำสิ่งใด?” เสิ่นจั้งเฟิงหรี่ตาพลางมองนางอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ก็มิใช่มีเจ้าอยู่ตรงนี้แล้วหรือ?” เขาออกแรงดึงนางลงเข้ามาที่หัวเข่าแล้วรั้งเอวนาง ใต้คางเขาไล้ผ่านมวยผมดำดังปีกกาของนางแล้วมาหยุดอยู่ที่ลำคออ่อนนุ่ม เขากล่าวด้วยน้ำเสียงคลุมเครือว่า “เจ้าทนเห็นสามีของตนทนเจ็บไหวหรือ? ไม่รีบใส่ยาให้ข้าหน่อยหรือ?”
เว่ยฉางอิ๋งสะบัดออกหลายครั้งแต่ก็ไม่หลุด จากนั้นจึงสูดหายใจลึก พลางกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ก็ข้าทนเห็นเจ้าเจ็บไม่ไหว จึงจะไปเรียกถวนเยวี่ยและซินเยวี่ย…อืม เจ้าคงไม่รู้ว่าข้าถูกประคบประหงมมาแต่เล็ก แต่ไรมาไม่เคยช่วยใส่ยาให้ผู้ใด หากทำหนักมือไป แล้วทำให้บาดเจ็บไปยิ่งกว่าเก่า ก็มิใช่ว่าไม่ดีหรอกรึ?”
นางคิดในใจว่าคำขู่ที่ชัดเจนถึงเพียงนี้ หากเจ้ายังฟังไม่ออกอีก เช่นนั้นก็อย่าหาว่าใจไม้ไส้ระกำเชียว… ข้าจะทำให้เจ้าไม่กล้าให้ข้าใส่ยาให้เจ้าอีกไปตลอดชีวิต!
เสิ่นจั้งเฟิงมองดูท่าทีขึงขังบนใบหน้าของนาง ทั้งสองมือของนางก็ยังพยายามผลักแขนตนเพื่อให้หลุดออกไป เขาจึงแอบหัวเราะอยู่ในใจและกล่าวว่า “บาดแผลนี้ของข้าล้วนเป็นเจ้าทำ เจ้าไม่รู้สึกผิดบ้างหรือ?”
หากเขาไม่กล่าวเช่นนี้ก็ยังดี แต่เมื่อพูดออกมาแล้วเช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งพลันรู้สึกขึ้นมาทันใดว่าคนที่ถูกรังแกควรจะเป็นตนเองจึงจะถูก จึงเอียงหน้าไปแล้วกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “แล้วเจ้าเล่า? แต่แรกนั้นเป็นเจ้าที่…กับข้า…” คำพูดต่อไปนั้น นางพูดออกมาไม่ค่อยได้ ในขณะที่คำพูดจุกอยู่ในลำคออยู่นั้นเอง เสิ่นจั้งเฟิงกลับอาศัยจังหวะนั้นจูบที่ริมฝีปากของนาง แล้วฉวยโอกกาสที่นางตกใจจนริมฝีปากเปิดออกเล็กน้อยบุกเข้าโจมตี ทั้งริมฝีปากและลิ้นพันกันพัลวัน
เนิ่นนาน ใบหน้าของเว่ยฉางอิ๋งก็แดงดังดอกท้อและอ่อนระทวยอยู่ในอ้อมแขนของเขา มือจับคอเสื้อของเขาเอาไว้ หายใจไม่เป็นจังหวะ นางมองเขาคิดอยากจะเอ่ยบางสิ่ง แต่ทันใดนั้นกลับรู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดต้องพูด คิดเพียงอยากจะนั่งลงเท่านั้น
เสิ่นจั้งเฟิงสัมผัสได้ พลันก้มตัวลงและกดนางลงบนตั่งนั่ง เว่ยฉางอิ๋งตื่นตกใจ เมื่อเห็นเขาค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้จึงพลันหันหน้าหนี แต่กลับถูกเขาเอามือจับสองแก้มเอาไว้…ดีที่เสิ่นจั้งเฟิงมิได้คิดจะจูบนางต่อ หากแต่เอาหน้าผากแตะหน้าผากนาง และจ้องมองนางใกล้ๆ เช่นนี้อยู่เป็นนาน แล้วเขาก็หัวเราะเบาๆ ออกมา
เว่ยฉางอิ๋งทั้งอายทั้งโกรธพลันผลักเขาออกแล้วกล่าวอย่างโมโหว่า “เจ้า…ปล่อยนะ!”
“ไม่เอา!”
“เช่นนั้น…” เสิ่นจั้งเฟิงขบคิดพักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็เข้าไปจูบที่แก้มนางหนหนึ่งอย่างรวดเร็ว กล่าวยิ้มๆ ว่า “สามีคิดว่า กอดอิ๋งเอ๋อร์เอาไว้เช่นนี้ก็ดีอยู่แล้ว!”
เว่ยฉางอิ๋งเอียงหน้ามา แล้วกัดลงที่แขนของเขาไม่หนักไม่เบาอย่างโกรธแค้น แล้วเอ่ยข่มขู่ว่า “เจ้าคิดให้ดีนะ!”
เสิ่นจั้งเฟิงหัวเราะร่า มือที่จับแก้มนางเอาไว้พลันเคลื่อนที่ แล้วล้วงเข้าไปในเสื้อของเว่ยฉางอิ๋งต่อหน้าต่อตานางอย่างอุกอาจ พลางกล่าวด้วยสีหน้าขึงขังว่า “สามีคิดมาดีแล้ว!”
“เจ้าช้าก่อน!” เว่ยฉางอิ๋งคว้าหมับที่ข้อมือเขา ทว่ายามนี้ตัวนางกลับยังคงอ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรง จึงไม่อาจขัดขวางไม่ให้มือของเสิ่นจั้งเฟิงโลมไล้ที่หน้าอกนางไปตามใจ พลันหน้าแดงหูแดงและร้องออกมาว่า “ขะ…ข้ารับปากเจ้า!”
เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางว่า “จริงรึ?”
เว่ยฉางอิ๋งขบฟัน “ใช่!”
“เช่นนั้นอิ๋งเอ๋อร์ถอดเสื้อผ้าออกก่อน!” เสิ่นจั้งเฟิงจูบนางไปอีกครั้งหนึ่ง พลางกล่าวอย่างสบายอุรา
เว่ยฉางอิ๋งเบิกตากว้างขึ้นมาทันใด “เพราะเหตุใด?!”
เจ้าหมอนี่…จะให้ข้าใส่ยาให้เขา หรือเขาจะใส่ยาให้ข้ากัน??
ว่าแล้วเสิ่นจั้งเฟิงก็ถอนหายใจพลางว่า “สามีรู้สึกว่ามีความเป็นได้อย่างมากว่าจะเป็นแผนใช้ไม้อ่อนของอิ๋งเอ๋อร์ คิดจักฉวยโอกาสยามสามีเชื่ออิ๋งเอ๋อร์อย่างเต็มหัวใจ แล้วถอดเสื้อออก อิ๋งเอ๋อร์ก็กลับวิ่งออกไป เช่นนั้นสามีจะไม่เจ็บช้ำน้ำใจหรอกหรือ? ดังนั้นอิ๋งเอ๋อร์ถอดเสื้อผ้าออกก่อน สามีจึงจะวางใจได้อย่างไรเล่า!”
“…หากเจ้าเชื่อใจข้า แล้วยังจะกล่าวคำเช่นนี้และเรียกร้องเช่นนี้อีกหรือ?!” เว่ยฉางอิ๋งขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน!
เสิ่นจั้งเฟิงจูบนางไปอีกครั้ง แล้วกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “อ่ะ เช่นนั้นอิ๋งเอ๋อร์ช่วยสามีถอดเสื้อผ้าก็ได้”
“เจ้าฝันไปเถิด!” ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าเขาได้คืบจะเอาศอกจริงๆ พลางจับข้อมือเขาไว้ในมือแล้วออกแรงบิดหลายหน กล่าวอย่างโกรธแค้นว่า “อย่าหวังแม้แต่เรื่องเดียว!”
“อิ๋งเอ๋อร์ยังคงกลัวสามีเช่นนี้หรือ?” เสิ่นจั้งเฟิงขบเม้มเบาๆ ที่ข้างแก้มนางพลางว่าไป
เว่ยฉางอิ๋งแทบจะเป็นลมล้มพับไป พูดด้วยความโมโหว่า “ข้ามิได้กลัวเจ้าสักหน่อย!”
“แล้วเหตุใดแม้แต่จะถอดเสื้อผ้าให้สามีก็ยังไม่กล้าเล่า?” เสิ่นจั้งเฟิงยังคงจูบนางขยับลงไปเรื่อยๆ แล้วกัดคอเสื้อของนางพลางดึงให้เปิดออกเบาๆ เว่ยฉางอิ๋งรีบเอื้อมมือไปบังหน้าอกเอาไว้ กล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “ข้าไม่กล้าที่ใด? ความจริงแล้วเป็นเจ้า… เจ้าจะต้องทำเรื่องส่งเดช! อย่านึกว่าข้าไม่รู้นะ!”
เสิ่นจั้งเฟิงทอดถอนใจออกมาคำหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “ไม่ใช่อิ๋งเอ๋อร์บอกว่าจะตีสามีเชื่อฟังแต่โดยดีหรือ แล้วยังกลัวสามีทำส่งเดช?”
______________________________
[1] ผมทรงตั้วหม่าจี้ คือการเกล้าผมและมวยผมให้ยาวโค้งเอียงๆ อยู่ข้างหนึ่งของศีรษะ
[2] ปลาจิ่นหลี่ คือ ปลาคราฟ