“ความสามารถของศิษย์พี่รองเหนือกว่าข้ามาก ความสามารถของศิษย์พี่รองไม่ได้เหนือไปกว่าศิษย์พี่ใหญ่แล้วอย่างงั้นหรอ? ” ต้วนมู่เฉิงถามออกมาด้วยความสับสน ตัวเขารู้ดีว่ายู่เฉิงไห่และยู่ฉางตงมีความเห็นที่ไม่ลงรอยกัน เมื่อไม่นานมานี้ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่มีแต่แย่ลง ยู่ฉางตงได้ท้าทายเหล่ายอดฝีมือทั้งหลาย เขาไม่เคยที่จะพ่ายแพ้แม้แต่ครั้งเดียว พลังวรยุทธของยู่ฉางตงคงจะแข็งแกร่งเทียบเท่าได้กับยู่เฉิงไห่ได้เลย เหตุใดกันเขาถึงไม่มาท้าประลองผู้เป็นศิษย์พี่ใหญ่คนนี้
“ไม่แน่นอน” ยู่เฉิงไห่หันกลับกลับมาเผชิญหน้ากับต้วนมู่เฉิง “ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ทำผิดซ้ำรอยเดิมของศิษย์พี่รองของเจ้านะ”
“…” ต้วนมู่เฉิงถึงกับพูดไม่ออก เขารู้ดีว่าตัวเองเป็นทั้งคนที่มีขยันและมีพรสวรรค์ แต่ถึงแบบนั้นมันก็เทียบไม่ได้กับศิษย์พี่รองของเขาเลย ดูเหมือนแม้แต่ศิษย์พี่รองเองก็ยังไม่สามารถเทียบเคียงกับศิษย์พี่ใหญ่คนนี้ได้ แล้วศิษย์พี่รองจะไปสู้กับศิษย์พี่ใหญ่ได้ยังไงกัน?
หลังจากที่ยู่เฉิงไห่พูดจบ เขาก็ได้พุ่งขึ้นไปบนฟ้า ฮั๊วจงหยางเองก็คารวะต้วนมู่เฉิงก่อนที่จะตามผู้เป็นเจ้าสำนักไปอย่างรวดเร็ว
เหล่าสาวกของสำนักอเวจีได้ออกจากที่แห่งนั้นไปด้วยความพร้อมเพรียงเช่นเดียวกัน
ต้วนมู่เฉิงมองไปที่ยู่เฉิงไห่ที่กำลังถอยกลับไป ‘เขาไม่ได้คิดหนีไปจริงๆ อย่างงั้นหรอ์’
ยู่เฉิงไห่ไม่ได้บินเร็วมาก เขากำลังลอยไปอย่างช้าๆ ราวกับกำลังเพลิดเพลินไปกับการชมวิว เนื่องจากผู้เป็นอาจารย์ไม่ได้ตามมา เป็นธรรมดาที่ตัวเขาจะรู้สึกผ่อนคลาย นี่คือผลลัพธ์ที่ยู่เฉิงไห่ได้คาดหวังเอาไว้
“เจ้าสำนักดาบสวรรค์ไม่อยู่แล้ว แล้วใครกันจะเคลื่อนไหวเป็นคนต่อไป? ” ฮั๊วจงหยางได้ถามออกมา
“พวกเราควรจะเลือกผู้ที่อ่อนแอต่อไป” ยู่เฉิงไห่ตอบ
ยู่เฉิงไห่ได้หยุดใช้ความคิด ตัวเขาได้เอามือไขว้หลังก่อนที่จะสำรวจภูเขาและแม่น้ำที่อยู่ข้างหน้า ในตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะมีอารมณ์ที่ดีขึ้นมาบ้างแล้ว ยู่เฉิงไห่ได้ถามออกมา “อาการของไปยู่ชิงเป็นยังไงบ้าง? “
“ข้าเกรงว่าเขาคงจะไม่สามารถเข้าร่วมการต่อสู้ในเร็วๆ นี้ได้แน่ อย่างน้อยก็ราวๆ สักหนึ่งปี” ฮั๊วยู่จงตอบกลับมา
ยู่เฉิงไห่ได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ ตัวเขาได้พูดต่อไป “เป็นความผิดของข้าเอง ข้าผ่อนปรนกับศิษย์น้องรองมากเกินไป…”
ฮั๊วจงหยางเองก็ส่ายหัวเช่นกัน ตัวเขารู้สึกหมดหนทางนิดหน่อย แม้ว่าตัวเขากับไปยู่ชิงจะเป็นยอดฝีมือ แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็ยังไร้พลังเมื่ออยู่ต่อหน้ายอดฝีมือชั้นสูงอย่างดาบปีศาจ ในพลังวรยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่มีพลังร่างอวตารดอกบัวเกิน 5 กลีบขึ้นไปจะมีพลังที่แตกต่างกันเป็นมหาศาล พลังร่างอวตารดอกบัวแต่ละกลีบจะช่วยเพิ่มพลังของให้กับคนคนนั้นอย่างทวีคูณ
ท้ายที่สุดแล้วฮั๊วจงหยางก็ได้ส่ายหัวก่อนที่จะถามออกมา “แล้วพวกเราควรจะหาศิษย์น้องเจ็ดของท่าน ท่านสีวู่หยาไหมครับ? “
“ไม่จำเป็น” ยู่เฉิงไห่ส่ายหัว
“ในตอนนี้ศิษย์น้องรองของข้าคงจะอยู่เคียงข้างสีวู่หยาไม่ผิดแน่”
เมื่อได้ยินแบบนั้นฮั๊วจงหยางก็ยอมรับแต่โดยดี เขาไม่อยากที่จะประสบชะตากรรมเดียวกันกับไปยู่ชิงที่จะต้องรักษาตัวเองกว่าครึ่งปี นี้ถือว่าโชคดีมากพอแล้ว ผู้คลั่งไคล้ดาบอย่างเฉินเหวินเจี๋ยที่ได้ต่อสู้กับดาบปีศาจไม่มีโอกาสที่จะรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ด้วยซ้ำ
“ส่งคนไปสืบเรื่องที่เกิดขึ้นบนแท่นประลองดอกบัวซะ หาว่าใครกันที่เป็นผู้ใช้เวทมนตร์คาถาสังเวยนั่น…แล้วก็อย่าลืมหาทางติดต่อศิษย์น้องเจ็ดของข้าด้วย”
“ครับท่านเจ้าสำนัก แล้วถ้าหากพวกเราเจอกับดาบปีศาจศิษย์น้องรองของท่านล่ะ? “
“ให้เลี่ยงเขาซะ”
ทั้งสองได้บินจากกันไป
ครึ่งวันต่อมาที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า
ในที่สุดรถม้าล่องเมฆาก็เดินทางกลับมาถึงศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ การเดินทางในขากลับค่อนข้างที่จะราบรื่น
ก่อนที่พวกเขาจะลงจากรถม้าลอยฟ้าไป ฝานซงก็วิ่งมาหาพร้อมกับเอามือจับหน้าอกของตัวเอง
“ท่านปรมาจารย์, ผู้อาวุโสฮั๊ว…ในที่สุดพวกท่านก็กลับมาแล้ว! ” ฝานซงได้คุกเข่าลงบนพื้นด้วยข้าข้างเดียว
เมื่อเห็นสีหน้าของฝานซงมีความกังวลหมิงซี่หยินก็ได้ถามออกมา “เกิดอะไรขึ้นกัน? “
“มะ…มี…หัวขโมย…” ฝานซงลุกลี้ลุกลนที่จะตอบกลับมา คำพูดของเขาติดๆ ขัดๆ ไม่เป็นคำ
ฝานซงได้หายใจเข้าลึกๆ หลังจากนั้นเขาก็ได้พูดต่อไป “มีหัวขโมยอยู่ในศาลาปีศาจลอยฟ้า! “
“ไร้สาระ…ใครกันที่จะกล้ามาขโมยของในศาลาปีศาจลอยฟ้า? ” หมิงซี่หยินตอบกลับไป
“เรื่องนี้เห็นทีจะต้องถามผู้อาวุโสเล้งลั่ว…โชคดีที่เขาอยู่ที่นั่นในเวลานั้น! “
ในใต้หล้ามีผู้ฝึกยุทธมากมายหลายคนที่ต้องการทรัพย์สมบัติของศาลาปีศาจลอยฟ้า
สีหน้าของลู่โจวยังคงสงบเยือกเย็น ตัวเขาได้หันไปมองม่านพลังของภูเขาทอง แม้ว่าม่านพลังจะอ่อนพลังลงจนเหลือพลังแค่ 1 ใน 3 แต่ถึงแบบนั้นก็คงจะไม่มีหัวขโมยกระจอกๆ ที่ไหนฝ่าม่านพลังมาได้แน่ ตัวเขาได้เดินไปข้างหน้าด้วยท่าทีสบายๆ ในตอนนี้แม้ว่าลู่โจวจะไม่เหลือพลังลมปราณแล้ว แต่ถึงแบบนั้นร่างกายของเขาก็ยังอยู่ในสภาพดี หลังจากนั้นไม่นานลู่โจวก็ได้มาถึงห้องโถงใหญ่
ผู้ฝึกยุทธหญิงหลายคนรออยู่ในห้องโถงใหญ่อยู่ก่อนแล้ว
เล้งลั่วได้ลุกขึ้นยืนก่อนที่จะคารวะลู่โจว ลู่โจวได้นั่งลงบนบัลลังก์ตัวเดิม เมื่อนั่งลงลู่โจวก็ได้พักผ่อนสักที ตัวเขาไม่ได้พูดอะไรออกมา
เล้งลั่วเป็นผู้เปิดบทสนทนาเป็นคนแรก “หัวขโมยที่มาก็คือหนูขโมยทั้งห้าแห่งเมืองทางตอนเหนือ…เจ้าพวกนี้เป็นต้นเหตุที่ทำให้เมืองทางตอนเหนือเกิดความบาดหมางกันขึ้นมา ข้าเคยนำอัศวินแห่งความมืดไประงับความวุ่นวายที่เมืองทางตอนเหนือมาแล้ว แต่ในตอนนั้นข้าก็ไม่พบกับหนูขโมยทั้งห้า ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าเจ้าพวกนั้นจะกล้ามาที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าแห่งนี้” หลังจากนั้นเขาก็ได้หยุดพูดไปก่อนที่จะเริ่มพูดขึ้นมาใหม่ “เจ้าพวกนี้กล้าดียังไงกัน! “
ฮั๊ววู่เด๋าที่ฟังอยู่ได้พยักหน้าก่อนที่จะพูดเสริมขึ้น “หนูขโมยทั้งห้าของเมืองทางตอนเหนือมีทักษะในการโจรกรรมรวมไปถึงมีไหวพริบที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย ชื่อเสียงของพวกมันเป็นรองเพียงแค่เยี่ยนซานคนเดียวเท่านั้น ความแตกต่างที่ทำให้พวกมันไม่เหมือนกับเยี่ยนซานก็คือการที่พวกมันทำงานกันเป็นกลุ่ม”
หมิงซี่หยินที่ได้ฟังแบบนั้นไม่เข้าใจสถานการณ์ “แล้วเจ้าพวกนั้นรอดผ่านม่านพลังมาได้ยังไงกัน? ” ไม่ว่าม่านพลังของภูเขาทองจะอ่อนกำลังมากแค่ไหน แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่มีทางเลยที่หัวขโมยธรรมดาๆ จะฝ่าม่านพลังมาได้
เล้งลั่วได้พูดตอบกลับมา “พวกหนูขโมยทั้งห้ามีทักษะในการโจรกรรมอันเป็นเลิศ พวกมันเชี่ยวชาญวิชาลึกลับอะไรบางอย่าง วิชาลึกลับนี้มีความคล้ายคลึงกับเคล็ดวิชาเต๋าล่องหนที่ข้าเคยได้ร่ำเรียนมา ในทศวรรษที่ผ่านมานี้หนูขโมยทั้งห้าได้แทรกซึมไปในหลายสำนัก พวกมันสามารถฝ่านม่านพลังป้องกันไปได้ก่อนที่จะขโมยของล้ำค่าออกมา…และเพราะแบบนั้นพวกมันก็เลยถูกเรียกว่าหนูขโมยทั้งห้า”
ลู่โจวพยักหน้า ตัวเขาจำได้ดีในตอนนี้จับเยี่ยนซานด้วยพลังกรงผนึกกักขัง ในตอนนั้นเยี่ยนซานเลือกที่จะหนีไปยังใต้ดิน พวกหัวขโมยมักจะมีวิธีการเฉพาะตัวเป็นของตัวเอง พวกหัวขโมยมักจะใช้หัวสมองอันฉลาดแกมโกงในการทำงานมากกว่าการใช้กำลัง
ในตอนนั้นเองฝานซงก็ได้พูดขึ้น “ท่านปรมาจารย์ พวกเราได้ตรวจสอบของที่หายไปแล้ว มีเพียงขยะเพียงไม่กี่ชิ้นในศาลาทางตะวันออกเท่านั้นที่สูญหายไป”
‘ขยะอย่างงั้นหรอ? ‘
ทุกๆ คนต่างก็รู้สึกงุนงง ‘ทำไมถึงจะต้องขโมยขยะไปล่ะ? ‘
“ไม่มีอะไรอย่างอื่นที่หายไปเลยอย่างงั้นหรอ? ” หมิงซี่หยินได้ถามออกมา
“ไม่เลย…บางทีพวกมันอาจจะกลัวเกินกว่าที่จะอยู่ต่อไปก็เป็นได้” แม้ว่าฝานซงจะพูดแบบนั้นแต่ข้างในใจลึกๆ ตัวเขาก็รู้สึกดีว่าหนูขโมยทั้งห้ากล้าหาญที่จะมาขโมยของศาลาปีศาจลอยฟ้า
หมิงซี่หยินพยักหน้าพลางลูบคางไปด้วย “นั่นมันก็สมเหตุสมผลแล้ว”
เมื่อลู่โจวและคนอื่นๆ จากไปก็เหลือแต่เพียงชายชราและผู้ที่อ่อนแออยู่บนภูเขาเท่านั้น เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะจับหนูขโมยทั้งห้าไม่สำเร็จ เหตุการณ์นี้ไม่ได้ร้ายแรงหรือสำคัญอะไร มันเล็กน้อยเกินกว่าที่จะนับว่าเป็นการสูญเสียได้ และเรื่องในตอนนี้ก็ยังไม่ได้มีอะไรร้ายแรงเท่ากับเรื่องม่านพลังของภูเขาทองอีกแล้ว แม้ว่าหนูขโมยทั้งห้าจะถูกฆ่าไป แต่ก็ยังมีหนูขโมยตัวอื่นๆ ที่อยากได้สมบัติล้ำค่าของศาลาปีศาจลอยฟ้าอยู่ดี หนทางเดียวที่จะป้องกันได้นั่นก็คือซ่อมม่านพลังของภูเขาทอง นอกจากนี้ม่านพลังยังคงอ่อนแรงลงอย่างต่อเนื่อง
ลู่โจวรู้สึกว่ามันไม่ได้มีความหมายอะไรที่ตัวเขาจะต้องแก้ไขปัญหาเรื่องม่านพลังในตอนนี้ ตัวเขาไม่มีพลังมากพอที่จะแก้ไขปัญหาด้วยตัวคนเดียว ถ้าหากจะพึ่งพาเหล่าสาวกก็คงจะต้องใช้เวลากว่าหลายปีกว่าที่จะซ่อมแซมม่านพลังให้กลับมาแข็งแกร่งเหมือนเดิมได้ ตอนนี้ข่าวลือเรื่องที่ปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าจะอยู่ได้อีกไม่นานได้แพร่หลายกันออกไป ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้ายังไงสำนักฝ่ายธรรมะก็จะต้องพยายามบุกมาที่ภูเขาทองอยู่ดี ด้วยเหตุนี้ลู่โจวจึงไม่ต้องการที่จะเสียการ์ดระเบิดจุดสุดยอดไปเพียงเพื่อซ่อมแซมม่านพลังเท่านั้น
เล้งลั่วได้พูดขึ้น “ข้ามีบางอย่างอยู่ภายในใจ แต่ข้าไม่รู้ว่าจะพูดมันออกมาดีไหม”
“พูดออกมาซะ” ลู่โจวรีบพูดอย่างไม่ลังเล
“อัศวินดำเคยประมือกับหนูขโมยทั้งห้าแห่งเมืองทางตอนเหนือมาก่อน…แม้ว่าพวกมันจะไม่ได้มีพลังวรยุทธที่ลึกล้ำอะไร แต่ถึงแบบนั้นพวกมันก็มักที่จะทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มเพื่อรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้ ข้ากำลังสงสัยว่า…” เล้งลั่วได้หยุดพูดชั่วครู่ก่อนที่จะพูดต่อ “ข้ากำลังสงสัยว่าหนูขโมยทั้งห้ามีความสัมพันธ์อะไรบางอย่างกับศิษย์ศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างสีวู่หยา”
“ทำไมเจ้าถึงได้พูดแบบนั้นล่ะ? ” การที่จะพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้คนคนนั้นจะต้องรู้มูลความจริงอะไรบางอย่าง ไม่มีทางเลยที่เล้งลั่วจะกล่าวหาออกมาอย่างเลื่อนลอย
เล้งลั่วได้พูดต่อ “หลายปีมาแล้ว ข้าเคยได้ยินว่าหนูขโมยทั้งห้าเคยพบกับสำนักแห่งความมืด และในตอนนี้หนูขโมยทั้งห้ากลับแทรกซึมเข้ามายังศาลาปีศาจลอยฟ้าโดยที่ไม่ได้ขโมยอะไรกลับไป…เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเจ้าพวกนั้นมีเป้าหมายที่พวกมันหมายตาเอาไว้แล้ว พวกมันจะต้องมาที่นี่ก็เพื่อขโมยพัดขนนกยูงแน่ และเพราะว่าเจ้าพวกนั้นได้ทำงานพลาดไป ข้าเกรงว่านี่คงจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เห็นพวกหนูขโมยทั้งห้าแน่”
“ท่านอาจารย์…เจ้าทรยศนี้แม้ว่าจะสูญเสียพลังวรยุทธไปแต่ถึงแบบนั้นเขากับทำตัวหยิ่งผยอง ข้าขอลงจากภูเขาไปเพื่อที่จะลากตัวมันกลับมาไตร่สวนเอง! ” หมิงซี่หยินได้พูดออกมาอย่างไม่ลังเล
ลู่โจวยังไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมา ตัวเขากำลังลูบเคราตัวเองพลางใช้ความคิดอะไรบางอย่างอยู่ภายในใจ