หญิงสาวที่สวมชุดปักสวยงามได้พูดออกมาอย่างแผ่วเบา แต่ถึงแบบนั้นมันก็แฝงไปด้วยพลัง
หมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะมีสตรีที่มีความสามารถแบบนี้อยู่เคียงข้างเหวยซู่หยาน
“แล้วพวกเราจะทำยังไงต่อ? ” ต้วนมู่เฉิงได้แต่เกาหัว ตัวเขาในตอนนี้อยากที่จะกระโดดลงไปเพื่อเข้าร่วมการต่อสู้
“อย่าเคลื่อนไหวเลยจะดีกว่า ยังไงซะเรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเรา…พลังวรยุทธที่ท่านอาจารย์มีลึกล้ำจนยากที่จะหยั่งถึง ตอนนี้ท่านอาจารย์คงจะสังเกตเห็นถึงความวุ่นวายแล้วล่ะ…ถ้าหากท่านอาจารย์ต้องการที่จะเข้าไปยุ่ง ท่านก็คงจะไม่รอถึงตอนนี้หรอก”
“เจ้าเองก็พูดมีเหตุผลศิษย์น้องสี่”
บนถนนที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย
กลิ่นคาวเลือดได้ลอยคละคลุ้งอยู่บนอากาศพร้อมกับเสียงแมลงวันที่กำลังส่งเสียงหึ่งๆ ออกมา ดูเหมือนว่าท้องถนนในตอนนี้จะเป็นเหมือนกับงานเลี้ยงอันแสนยิ่งใหญ่ของพวกแมลงวันไปซะแล้ว
แม้ว่าจะมีแมลงหวี่แมลงวันจะมีมากมายขนาดไหนแต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่สามารถเข้าใกล้สตรีผู้แข็งแกร่งคนนั้นได้ ท่าทางการเคลื่อนไหวของนางช่างสง่างามและดูประณีตเป็นอย่างมาก
ผู้ฝึกยุทธสวมหน้ากากทั้งหลายที่กำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่แสนน่ากลัวไม่สามารถทำอะไรได้อีกต่อไป พวกเขาได้แต่ล่าถอยกลับไปเท่านั้น
ทหารส่วนใหญ่เองล้วนแต่ฝึกฝนการใช้หอกมาเพียงเท่านั้น ต่อหน้าผู้ฝึกยุทธแล้วอาวุธอย่างหอกธรรมดาๆ ทำอะไรพวกเขาไม่ได้เลย
จะมีใครกันที่จะเทียบเคียงยอดฝีมือคนนี้ได้?
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครให้คำตอบกลับมา ผู้ฝึกยุทธสาวคนนั้นก็ได้เดินไปข้างหน้า
เหล่าทหารทั้งหมดรวมไปถึงผู้ฝึกยุทธสวมเกราะต่างก็ต้องหลีกทางให้กับนาง
เมื่อฝั่งหนึ่งเดินหน้าก็ย่อมจะมีอีกฝ่ายเดินถอยกลับ
รถม้าลอยฟ้าที่ลอยอยู่บนอากาศสัมผัสได้ถึงสถานการณ์ที่เป็นอันตรายจากทางด้านล่าง มันได้บินไปที่ประตูเมืองทางทิศใต้อย่างช้าๆ ก่อนที่จะลดระดับความสูงลงมา
หญิงสาวในชุดปักเคลื่อนที่ช้าลงก่อนที่จะเงยหน้าขึ้น ที่ใบหน้าของนางได้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
รถม้าลอยฟ้าที่อยู่ตรงหน้ามีขนาดใหญ่มาก มันจะต้องใช้ผู้ฝึกยุทธขั้นมหาราชครูถึง 50 คนด้วยกันเพื่อที่จะทำให้รถม้าลอยฟ้าคันนี้ขับเคลื่อนได้ ยิ่งไปกว่านั้นที่ขนาบข้างของมันยังมีผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์อย่างน้อยๆ อยู่ 5 คนด้วย นั่นหมายความว่าภายในรถม้าลอยฟ้าคันนั้นจะต้องมีผู้ฝึกยุทธผู้ที่ทรงพลังมากกว่านั้นอยู่แน่
หญิงสาวที่สวมชุดปักได้พูดออกมาเบาๆ “ถ้าหากมียอดฝีมืออยู่บนรถม้าคันนั้นจริง ไหนเลยท่านถึงต้องส่งกองทัพกบฏมาที่เมืองอันยางด้วย? ” เสียงของนางได้ดังก้องไปทั่วทั้งเมือง นางรู้ดีว่าเสียงของตัวเองจะต้องส่งไปถึงรถม้าลอยฟ้าคันนั้นแต่ แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่มีเสียงตอบรับอะไรกลับมา ดูเหมือนว่าผู้ที่อยู่ในรถม้าจะจงใจไม่สนใจนาง
ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็หยุดนิ่ง
หญิงสาวที่สวมชุดปักได้หันไปที่ด้านข้าง ในตอนนั้นเองเจ้าหน้าที่รวมไปถึงทหารทั้งหมดต่างก็หลีกทางให้กับอะไรบางอย่าง
เหวยซู่หยานได้ขี่ม้าศึกที่สูงส่งและดูทรงพลังตรงมาทางนี้
นอกเหนือจากเสียงกีบเท้าม้าที่บดอยู่บนท้องถนน นอกเหนือจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างภายในเมืองอันยางต่างเงียบสงัด
ทุกสายตาจับจ้องไปที่ม้าศึกตัวนั้น
นี่คือแม่ทัพผู้บัญชาการทหารสูงสุด ว่ากันสามารถแม่ทัพคนนี้ใช้พลังร่างอวตารดอกบัว 7 กลีบได้ เขาคนนี้ก็คือเหวยซู่หยานนั่นเอง
“ท่านแม่ทัพ” เจ้าหน้าที่ทั้งสี่ได้ยืนเรียงแถวกันก่อนที่จะโค้งคำนับและทักทายเหวยซู่หยาน
หญิงสาวในชุดปักได้โค้งคำนับให้กับแม่ทัพเพียงเล็กน้อยก่อนที่จะจ้องมองกลับไปที่รถม้าลอยฟ้า
เหวยซู่หยานไม่ได้เหลือบมองไปที่รถม้าลอยฟ้าตาม ตัวเขาได้พูดขึ้นมาแทน “จิงยี่ เจ้ารู้ไหมว่าทำไมท่านจักรพรรดิถึงมอบทหารกว่า 5,000 คน ทั้งๆ ที่ส่งให้ข้ามาที่นี่เพื่อปราบกบฏกัน? “
“ในการต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกยุทธ ยังไงซะคุณภาพก็ต้องดีกว่าปริมาณอยู่แล้ว” หญิงสาวที่สวมชุดปักก็คือหลี่จิงยี่ “ดูเหมือนว่าองค์จักรพรรดิปรารถนาที่จะทดสอบของความแข็งแกร่งของท่านแม่ทัพเป็นแน่”
“ถ้าหากเจ้าเข้าใจก็นับว่าเป็นเรื่องดีแล้ว”
“ข้าเข้าใจแล้วท่านแม้ทัพ” หลี่จิงยี่ได้ตอบกลับมา
เหวยซู่หยานพยักหน้าให้ก่อนที่จะเริ่มพูดออกมาอีกครั้ง “ดินแดนใต้หล้าทั้งหมดล้วนแต่เป็นขององค์จักรพรรดิ…อะไรคือแรงจูงใจให้เจ้าพวกนี้ก่อกบฏที่เมืองอันยางกัน? “
รถม้าลอยฟ้าขนาดใหญ่กำลังลอยอยู่บนอากาศอย่างเงียบๆ ที่รอบรถม้าเองมันถูกปกคลุมไปด้วยพลังที่ดูหนาแน่น
เมื่อเห็นแบบนั้นจะต้องมียอดฝีมือที่มีพลังทัดเทียมกับหลี่จิงยี่แน่
เมื่อเห็นสภาพของเหวยซู่หยานในตอนนี้ หมิงซี่หยินก็ได้แต่พยักหน้าอย่างเวทนา แต่ถึงแบบนั้นท่าทีของเหวยซู่หยานก็ได้เปลี่ยนไปมาก ตัวเขาที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ประหลาดใจกับการแสดงของเหวยซู่หยาน
ถ้าหากหมิงซี่หยินไม่ได้รู้ความจริงเข้า หมิงซี่หยินก็คงจะคิดว่าเหวยซู่หยาคนนี้เป็นตัวจริง…
จะตัวจริงหรือจะตัวปลอม จะความจริงหรือแค่ภาพลวงตา… ดูเหมือนว่าเหวยซู่หยานจะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
และเมื่อได้ยินบทสนทนาที่เกิดขึ้น หมิงซี่หยินก็เข้าใจได้ทันทีว่าหลี่จิงยี่คนนี้จะต้องเป็นยอดฝีมือที่อยู่ข้างกายเหวยซู่หยานไม่ผิดแน่ นางคนนี้มีพลังร่างอวตารดอกบัวทั้งหกแห่งร้อยวิถีอยู่
‘นางแข็งแกร่งซะแค่ไหนกัน? ‘ หมิงซี่หยินได้สูดหายใจเข้าลึกๆ เป็นเรื่องปกติที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์จะเต็มไปด้วยเหล่ายอดฝีมือ แต่ถึงแบบนั้นหมิงซี่หยินก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์จะส่งยอดฝีมือมาที่เมืองบ้านนอกอย่างเมืองอันยางแบบนี้ ‘หรือว่าที่นี่จะมีสมบัติลับซ่อนอยู่กัน? หรือว่าที่นี่จะมีอากาศที่สดชื่นมากกว่าที่ไหนๆ? ไม่สิ ที่นี่มีแต่กลิ่นเหม็นเน่า…’
หมิงซี่หยินได้พูดออกมาอย่างหงุดหงิด “ศิษย์พี่สาม ท่านอยู่ให้ห่างจากข้าจะดีกว่า”
“นั่นใครกัน? ” ดวงตาของหลี่จิงอี้เป็นประกายขึ้นมา นางได้ยินเสียงของใครบางคนนั่นเอง
‘แย่แล้ว! ข้าเผลอพูดเสียงดังออกมาซะได้! ‘ ยอดฝีมืออย่างหลี่จิงอี้สามารถรับรู้ได้ถึงเสียงของหมิงซี่หยินอย่างชัดเจน
บนดาดฟ้าแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างออกไป 100 ฟุต หมิงซี่หยินได้ยืนขึ้นมาอย่างเชื่องช้าก่อนที่จะโบกแขนขึ้น “ไม่มีอะไร…ไม่มีอะไร ข้าก็เป็นเพียงแค่ประชาชนคนธรรมดาเท่านั้น…เชิญพวกเจ้าพูดต่อเถอะ…”
“…”
ในตอนนี้สายตานับพันคู่ได้จับจ้องไปที่หมิงซี่หยิน ตัวเขาในตอนนี้ได้ยืนหันหลังให้กับดวงตะวัน และเพราะแบบนั้นจึงไม่มีใครที่จะสังเกตเห็นทั้งหมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงได้เลย
หลี่จิงอี้ได้พูดตอบกลับมาอย่างนุ่มนวล “คนที่ไม่เกี่ยวข้องควรจะอยู่ให้ห่างจะดีกว่านะ”
“ข้าจะไปแล้ว ไม่ต้องห่วงไป” หมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงต่างก็กระโดดจากดาดฟ้าไป เมื่อทั้งสองคนมาที่เมืองอันยาง ทั้งสองคนก็ได้ปกปิดพลังที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้ ในตอนนี้เองพลังที่ศิษย์ทั้งสองคนมีจึงดูเหมือนกับผู้ฝึกยุทธหน้าใหม่
ทั้งสองฝ่ายเริ่มเผชิญหน้ากันอีกครั้ง
ที่รถม้าลอยฟ้าได้ปล่อยคลื่นพลังอันทรงพลังออกมาอีกครั้ง ในที่สุดก็ได้มีเสียงตอบกลับมาจากรถม้าลอยฟ้า “เหวยซู่หยาน วันนี้จะต้องเป็นวันตายของเจ้า! “
เสียงโหวกเหวกโวยวายเริ่มดังขึ้นมาอีกครั้ง
“น่าขันซะจริง จัดการพวกกบฏซะ! ” เหวยซู่หยานได้พูดออกมาอย่างเยือกเย็น
ในตอนนั้นเจ้าหน้าที่ทั้งสี่ก็ได้โบกแขน ผู้ฝึกยุทธกว่าหลายสิบคนที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขาทั้งหมดต่างก็พุ่งใส่กองทัพของพวกกบฏ
พลังร่างอวตารเบญจจักรวาลได้ปรากฏขึ้น พลังร่างอวตารได้ส่องแสงสว่างจ้าไปทั่วทั้งท้องถนน
ด้วยพลังร่างอวตารทำให้ทั่วทั้งเมืองอันยางเต็มไปด้วยแสงสีทอง
ทหารกว่าหลายพันคนที่อยู่บนท้องถนนได้แต่จ้องมองพลังร่างอวตารด้วยความประทับใจ
เมื่อกลุ่มผู้ฝึกยุทธสวมหน้ากากและกองทัพกบฏได้เดินหน้าต่อ ในตอนนั้นเองก็ได้มีดาบเล่มใหญ่ลอยลงมาจากรถม้าลอยฟ้า ดาบเล่มนั้นทั้งกว้างและหนา มันดูคล้ายกับกระบี่เป็นอย่างมาก แต่ถึงแบบนั้นมันก็ถูกหุ้มไปด้วยพลังที่อัดแน่น เพียงครู่เดียวเท่านั้นมันก็เริ่มหมุนรอบตัวเองกลายเป็นกรงล้อขนาดใหญ่
หลี่จิงยี่ได้ขมวดคิ้ว หลังจากนั้นนางก็ได้พูดออกมาเป็นคนแรก “สำนักอเวจีอย่างงั้นหรอ? ถอยก่อน! “
ดาบอันใหญ่ยักษ์ได้เคลื่อนที่เร็วจนเกินไป ผู้ฝึกยุทธกว่าหลายสิบคนไม่อาจที่จะป้องกันตัวเองได้ทัน พวกเขาทั้งหมดล้วนแต่ถูกคลื่นพลังจากการหมุนฟาดฟันเข้าอย่างจัง เหล่าผู้ฝึกยุทธทั้งหลายได้แต่กระเด็นลอยหายไป
หมิงซี่หยินจ้องมองไปที่ท้องฟ้าด้วยความตกใจ “นั่นมันแสงดาวแห่งสรวงสวรรค์อันมืดมิดของศิษย์พี่ใหญ่อย่างงั้นหรอ? “
“ศิษย์พี่ใหญ่อย่างงั้นหรอ? ” ต้วนมู่เฉิงได้เงยหน้ามองอย่างเร่งรีบ
“นั่นมันไม่ถูกต้อง…”
“อะไรที่ไม่ถูกกัน? ข้าจะรีบไปรายงานเรื่องนี้กับท่านอาจารย์เพื่อให้ท่านอาจารย์ไปจับศิษย์พี่ใหญ่เอง” ต้วนมู่เฉิงที่มองเห็นแบบนั้นก็ได้รู้สึกหวั่นไหวขึ้นมา ตัวเขาได้หันหลังกลับก่อนที่จะเตรียมกลับไปหาลู่โจว
หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นก็ได้คว้าแขนของต้วนมู่เฉิงเอาไว้ เขามองไปที่ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายก่อนที่จะเริ่มวิเคราะห์สถานการณ์ “ศิษย์พี่ใหญ่ไม่เคยใช้กระบี่แบบนั้น ดาบใหญ่นั่นแม้จะดูเหมือนอาวุธของเขาแต่นั่นไม่ใช่อาวุธของเขาแน่…แสงดาวแห่งสรวงสวรรค์อันมืดมิดของศิษย์พี่เองก็ไม่ได้ไร้พลังถึงขนาดนั้น ใครก็ตามที่ถูกกระบวนท่าของศิษย์พี่โจมตีไปจะต้องตายไปในทันที”
“เจ้าหมายความว่ามีคนแอบอ้างเป็นศิษย์พี่ใหญ่อยู่อย่างงั้นหรอ? “
“ถูกต้อง”
เมื่อได้ยินแบบนั้นต้วนมู่เฉิงก็กลับมาดูสถานการณ์อย่างรอบคอบ
‘มันดูคล้ายกันยิ่งนัก’
ต้วนมู่เฉิงได้แต่พึมพำออกมา “ข้าสงสัยจริงๆ ว่าทำไมศิษย์พี่ใหญ่ถึงได้อ่อนแอเช่นนี้ ที่แท้…เจ้านี้ก็เป็นเพียงแค่ตัวปลอมอย่างงั้นสินะ”
“ตัวปลอมปะทะตัวปลอม ท่านไม่คิดหรอว่ามันจะน่าสนใจน่ะ? “
ถ้าหากพวกเขาทั้งสองคนไม่คิดให้รอบคอบ การที่จะแยกว่าคนคนนี้แตกต่างจากตัวจริงแค่ไหนก็คงจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เลย แม้แต่ศิษย์สาวกแท้ๆ ของศาลาปีศาจลอยฟ้าถึงกับต้องดูให้รอบคอบ ไม่มีทางเลยที่คนอื่นจะมองเห็นถึงความจริงนี้ได้
“แต่เจ้านี้ก็ไม่ได้อ่อนแอไปซะทีเดียว” ต้วนมู่เฉิงได้แสดงความคิดเห็นออกมา
“ถ้าหากสามารถเลียนแบบกระบวนท่าแสงดาวแห่งสรวงสวรรค์อันมืดมิดของศิษย์พี่ใหญ่ได้ถึงขนาดนี้ เจ้านั่นก็ไม่มีทางเลยที่จะอ่อนแอไปได้”
ทั้งสองคนต่างก็เฝ้ามองการต่อสู้ต่อไป
หลี่จิงยี่ดูตกใจมากที่เห็นแบบนั้น นางได้เหลือบไปด้านข้างก่อนที่จะพูดกับเหวยซู่หยานออกมาด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา “ท่านแม่ทัพ พวกเราถอยกันเถอะ”
“ข้าเชื่อในความสามารถของเจ้า” เหวยซู่หยานไม่ได้ยอมแพ้แต่เพียงเท่านี้
“ข้าเกรงว่าจะไม่มีอะไรรับประกันความปลอดภัยของท่านแม่ทัพได้…ถ้าหากเจ้าถูกจัดการ เมื่อถึงเวลานั้นจริงเจ้าก็คงจะต้องทุกข์ทรมานมากแน่” หลี่จิ้งอี้ได้เปลี่ยนวิธีพูดไป นางเลือกใช้คำว่า ‘เจ้า’ แทน
เหวยซู่หยานที่ได้ยินแบบนั้นได้นิ่งเงียบไป
หญิงสาวที่สวมชุดปักสวยงามได้พูดออกมาอย่างแผ่วเบา แต่ถึงแบบนั้นมันก็แฝงไปด้วยพลัง
หมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะมีสตรีที่มีความสามารถแบบนี้อยู่เคียงข้างเหวยซู่หยาน
“แล้วพวกเราจะทำยังไงต่อ? ” ต้วนมู่เฉิงได้แต่เกาหัว ตัวเขาในตอนนี้อยากที่จะกระโดดลงไปเพื่อเข้าร่วมการต่อสู้
“อย่าเคลื่อนไหวเลยจะดีกว่า ยังไงซะเรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเรา…พลังวรยุทธที่ท่านอาจารย์มีลึกล้ำจนยากที่จะหยั่งถึง ตอนนี้ท่านอาจารย์คงจะสังเกตเห็นถึงความวุ่นวายแล้วล่ะ…ถ้าหากท่านอาจารย์ต้องการที่จะเข้าไปยุ่ง ท่านก็คงจะไม่รอถึงตอนนี้หรอก”
“เจ้าเองก็พูดมีเหตุผลศิษย์น้องสี่”
บนถนนที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย
กลิ่นคาวเลือดได้ลอยคละคลุ้งอยู่บนอากาศพร้อมกับเสียงแมลงวันที่กำลังส่งเสียงหึ่งๆ ออกมา ดูเหมือนว่าท้องถนนในตอนนี้จะเป็นเหมือนกับงานเลี้ยงอันแสนยิ่งใหญ่ของพวกแมลงวันไปซะแล้ว
แม้ว่าจะมีแมลงหวี่แมลงวันจะมีมากมายขนาดไหนแต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่สามารถเข้าใกล้สตรีผู้แข็งแกร่งคนนั้นได้ ท่าทางการเคลื่อนไหวของนางช่างสง่างามและดูประณีตเป็นอย่างมาก
ผู้ฝึกยุทธสวมหน้ากากทั้งหลายที่กำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่แสนน่ากลัวไม่สามารถทำอะไรได้อีกต่อไป พวกเขาได้แต่ล่าถอยกลับไปเท่านั้น
ทหารส่วนใหญ่เองล้วนแต่ฝึกฝนการใช้หอกมาเพียงเท่านั้น ต่อหน้าผู้ฝึกยุทธแล้วอาวุธอย่างหอกธรรมดาๆ ทำอะไรพวกเขาไม่ได้เลย
จะมีใครกันที่จะเทียบเคียงยอดฝีมือคนนี้ได้?
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครให้คำตอบกลับมา ผู้ฝึกยุทธสาวคนนั้นก็ได้เดินไปข้างหน้า
เหล่าทหารทั้งหมดรวมไปถึงผู้ฝึกยุทธสวมเกราะต่างก็ต้องหลีกทางให้กับนาง
เมื่อฝั่งหนึ่งเดินหน้าก็ย่อมจะมีอีกฝ่ายเดินถอยกลับ
รถม้าลอยฟ้าที่ลอยอยู่บนอากาศสัมผัสได้ถึงสถานการณ์ที่เป็นอันตรายจากทางด้านล่าง มันได้บินไปที่ประตูเมืองทางทิศใต้อย่างช้าๆ ก่อนที่จะลดระดับความสูงลงมา
หญิงสาวในชุดปักเคลื่อนที่ช้าลงก่อนที่จะเงยหน้าขึ้น ที่ใบหน้าของนางได้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
รถม้าลอยฟ้าที่อยู่ตรงหน้ามีขนาดใหญ่มาก มันจะต้องใช้ผู้ฝึกยุทธขั้นมหาราชครูถึง 50 คนด้วยกันเพื่อที่จะทำให้รถม้าลอยฟ้าคันนี้ขับเคลื่อนได้ ยิ่งไปกว่านั้นที่ขนาบข้างของมันยังมีผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์อย่างน้อยๆ อยู่ 5 คนด้วย นั่นหมายความว่าภายในรถม้าลอยฟ้าคันนั้นจะต้องมีผู้ฝึกยุทธผู้ที่ทรงพลังมากกว่านั้นอยู่แน่
หญิงสาวที่สวมชุดปักได้พูดออกมาเบาๆ “ถ้าหากมียอดฝีมืออยู่บนรถม้าคันนั้นจริง ไหนเลยท่านถึงต้องส่งกองทัพกบฏมาที่เมืองอันยางด้วย? ” เสียงของนางได้ดังก้องไปทั่วทั้งเมือง นางรู้ดีว่าเสียงของตัวเองจะต้องส่งไปถึงรถม้าลอยฟ้าคันนั้นแต่ แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่มีเสียงตอบรับอะไรกลับมา ดูเหมือนว่าผู้ที่อยู่ในรถม้าจะจงใจไม่สนใจนาง
ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็หยุดนิ่ง
หญิงสาวที่สวมชุดปักได้หันไปที่ด้านข้าง ในตอนนั้นเองเจ้าหน้าที่รวมไปถึงทหารทั้งหมดต่างก็หลีกทางให้กับอะไรบางอย่าง
เหวยซู่หยานได้ขี่ม้าศึกที่สูงส่งและดูทรงพลังตรงมาทางนี้
นอกเหนือจากเสียงกีบเท้าม้าที่บดอยู่บนท้องถนน นอกเหนือจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างภายในเมืองอันยางต่างเงียบสงัด
ทุกสายตาจับจ้องไปที่ม้าศึกตัวนั้น
นี่คือแม่ทัพผู้บัญชาการทหารสูงสุด ว่ากันสามารถแม่ทัพคนนี้ใช้พลังร่างอวตารดอกบัว 7 กลีบได้ เขาคนนี้ก็คือเหวยซู่หยานนั่นเอง
“ท่านแม่ทัพ” เจ้าหน้าที่ทั้งสี่ได้ยืนเรียงแถวกันก่อนที่จะโค้งคำนับและทักทายเหวยซู่หยาน
หญิงสาวในชุดปักได้โค้งคำนับให้กับแม่ทัพเพียงเล็กน้อยก่อนที่จะจ้องมองกลับไปที่รถม้าลอยฟ้า
เหวยซู่หยานไม่ได้เหลือบมองไปที่รถม้าลอยฟ้าตาม ตัวเขาได้พูดขึ้นมาแทน “จิงยี่ เจ้ารู้ไหมว่าทำไมท่านจักรพรรดิถึงมอบทหารกว่า 5,000 คน ทั้งๆ ที่ส่งให้ข้ามาที่นี่เพื่อปราบกบฏกัน? “
“ในการต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกยุทธ ยังไงซะคุณภาพก็ต้องดีกว่าปริมาณอยู่แล้ว” หญิงสาวที่สวมชุดปักก็คือหลี่จิงยี่ “ดูเหมือนว่าองค์จักรพรรดิปรารถนาที่จะทดสอบของความแข็งแกร่งของท่านแม่ทัพเป็นแน่”
“ถ้าหากเจ้าเข้าใจก็นับว่าเป็นเรื่องดีแล้ว”
“ข้าเข้าใจแล้วท่านแม้ทัพ” หลี่จิงยี่ได้ตอบกลับมา
เหวยซู่หยานพยักหน้าให้ก่อนที่จะเริ่มพูดออกมาอีกครั้ง “ดินแดนใต้หล้าทั้งหมดล้วนแต่เป็นขององค์จักรพรรดิ…อะไรคือแรงจูงใจให้เจ้าพวกนี้ก่อกบฏที่เมืองอันยางกัน? “
รถม้าลอยฟ้าขนาดใหญ่กำลังลอยอยู่บนอากาศอย่างเงียบๆ ที่รอบรถม้าเองมันถูกปกคลุมไปด้วยพลังที่ดูหนาแน่น
เมื่อเห็นแบบนั้นจะต้องมียอดฝีมือที่มีพลังทัดเทียมกับหลี่จิงยี่แน่
เมื่อเห็นสภาพของเหวยซู่หยานในตอนนี้ หมิงซี่หยินก็ได้แต่พยักหน้าอย่างเวทนา แต่ถึงแบบนั้นท่าทีของเหวยซู่หยานก็ได้เปลี่ยนไปมาก ตัวเขาที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ประหลาดใจกับการแสดงของเหวยซู่หยาน
ถ้าหากหมิงซี่หยินไม่ได้รู้ความจริงเข้า หมิงซี่หยินก็คงจะคิดว่าเหวยซู่หยาคนนี้เป็นตัวจริง…
จะตัวจริงหรือจะตัวปลอม จะความจริงหรือแค่ภาพลวงตา… ดูเหมือนว่าเหวยซู่หยานจะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
และเมื่อได้ยินบทสนทนาที่เกิดขึ้น หมิงซี่หยินก็เข้าใจได้ทันทีว่าหลี่จิงยี่คนนี้จะต้องเป็นยอดฝีมือที่อยู่ข้างกายเหวยซู่หยานไม่ผิดแน่ นางคนนี้มีพลังร่างอวตารดอกบัวทั้งหกแห่งร้อยวิถีอยู่
‘นางแข็งแกร่งซะแค่ไหนกัน? ‘ หมิงซี่หยินได้สูดหายใจเข้าลึกๆ เป็นเรื่องปกติที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์จะเต็มไปด้วยเหล่ายอดฝีมือ แต่ถึงแบบนั้นหมิงซี่หยินก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์จะส่งยอดฝีมือมาที่เมืองบ้านนอกอย่างเมืองอันยางแบบนี้ ‘หรือว่าที่นี่จะมีสมบัติลับซ่อนอยู่กัน? หรือว่าที่นี่จะมีอากาศที่สดชื่นมากกว่าที่ไหนๆ? ไม่สิ ที่นี่มีแต่กลิ่นเหม็นเน่า…’
หมิงซี่หยินได้พูดออกมาอย่างหงุดหงิด “ศิษย์พี่สาม ท่านอยู่ให้ห่างจากข้าจะดีกว่า”
“นั่นใครกัน? ” ดวงตาของหลี่จิงอี้เป็นประกายขึ้นมา นางได้ยินเสียงของใครบางคนนั่นเอง
‘แย่แล้ว! ข้าเผลอพูดเสียงดังออกมาซะได้! ‘ ยอดฝีมืออย่างหลี่จิงอี้สามารถรับรู้ได้ถึงเสียงของหมิงซี่หยินอย่างชัดเจน
บนดาดฟ้าแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างออกไป 100 ฟุต หมิงซี่หยินได้ยืนขึ้นมาอย่างเชื่องช้าก่อนที่จะโบกแขนขึ้น “ไม่มีอะไร…ไม่มีอะไร ข้าก็เป็นเพียงแค่ประชาชนคนธรรมดาเท่านั้น…เชิญพวกเจ้าพูดต่อเถอะ…”
“…”
ในตอนนี้สายตานับพันคู่ได้จับจ้องไปที่หมิงซี่หยิน ตัวเขาในตอนนี้ได้ยืนหันหลังให้กับดวงตะวัน และเพราะแบบนั้นจึงไม่มีใครที่จะสังเกตเห็นทั้งหมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงได้เลย
หลี่จิงอี้ได้พูดตอบกลับมาอย่างนุ่มนวล “คนที่ไม่เกี่ยวข้องควรจะอยู่ให้ห่างจะดีกว่านะ”
“ข้าจะไปแล้ว ไม่ต้องห่วงไป” หมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงต่างก็กระโดดจากดาดฟ้าไป เมื่อทั้งสองคนมาที่เมืองอันยาง ทั้งสองคนก็ได้ปกปิดพลังที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้ ในตอนนี้เองพลังที่ศิษย์ทั้งสองคนมีจึงดูเหมือนกับผู้ฝึกยุทธหน้าใหม่
ทั้งสองฝ่ายเริ่มเผชิญหน้ากันอีกครั้ง
ที่รถม้าลอยฟ้าได้ปล่อยคลื่นพลังอันทรงพลังออกมาอีกครั้ง ในที่สุดก็ได้มีเสียงตอบกลับมาจากรถม้าลอยฟ้า “เหวยซู่หยาน วันนี้จะต้องเป็นวันตายของเจ้า! “
เสียงโหวกเหวกโวยวายเริ่มดังขึ้นมาอีกครั้ง
“น่าขันซะจริง จัดการพวกกบฏซะ! ” เหวยซู่หยานได้พูดออกมาอย่างเยือกเย็น
ในตอนนั้นเจ้าหน้าที่ทั้งสี่ก็ได้โบกแขน ผู้ฝึกยุทธกว่าหลายสิบคนที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขาทั้งหมดต่างก็พุ่งใส่กองทัพของพวกกบฏ
พลังร่างอวตารเบญจจักรวาลได้ปรากฏขึ้น พลังร่างอวตารได้ส่องแสงสว่างจ้าไปทั่วทั้งท้องถนน
ด้วยพลังร่างอวตารทำให้ทั่วทั้งเมืองอันยางเต็มไปด้วยแสงสีทอง
ทหารกว่าหลายพันคนที่อยู่บนท้องถนนได้แต่จ้องมองพลังร่างอวตารด้วยความประทับใจ
เมื่อกลุ่มผู้ฝึกยุทธสวมหน้ากากและกองทัพกบฏได้เดินหน้าต่อ ในตอนนั้นเองก็ได้มีดาบเล่มใหญ่ลอยลงมาจากรถม้าลอยฟ้า ดาบเล่มนั้นทั้งกว้างและหนา มันดูคล้ายกับกระบี่เป็นอย่างมาก แต่ถึงแบบนั้นมันก็ถูกหุ้มไปด้วยพลังที่อัดแน่น เพียงครู่เดียวเท่านั้นมันก็เริ่มหมุนรอบตัวเองกลายเป็นกรงล้อขนาดใหญ่
หลี่จิงยี่ได้ขมวดคิ้ว หลังจากนั้นนางก็ได้พูดออกมาเป็นคนแรก “สำนักอเวจีอย่างงั้นหรอ? ถอยก่อน! “
ดาบอันใหญ่ยักษ์ได้เคลื่อนที่เร็วจนเกินไป ผู้ฝึกยุทธกว่าหลายสิบคนไม่อาจที่จะป้องกันตัวเองได้ทัน พวกเขาทั้งหมดล้วนแต่ถูกคลื่นพลังจากการหมุนฟาดฟันเข้าอย่างจัง เหล่าผู้ฝึกยุทธทั้งหลายได้แต่กระเด็นลอยหายไป
หมิงซี่หยินจ้องมองไปที่ท้องฟ้าด้วยความตกใจ “นั่นมันแสงดาวแห่งสรวงสวรรค์อันมืดมิดของศิษย์พี่ใหญ่อย่างงั้นหรอ? “
“ศิษย์พี่ใหญ่อย่างงั้นหรอ? ” ต้วนมู่เฉิงได้เงยหน้ามองอย่างเร่งรีบ
“นั่นมันไม่ถูกต้อง…”
“อะไรที่ไม่ถูกกัน? ข้าจะรีบไปรายงานเรื่องนี้กับท่านอาจารย์เพื่อให้ท่านอาจารย์ไปจับศิษย์พี่ใหญ่เอง” ต้วนมู่เฉิงที่มองเห็นแบบนั้นก็ได้รู้สึกหวั่นไหวขึ้นมา ตัวเขาได้หันหลังกลับก่อนที่จะเตรียมกลับไปหาลู่โจว
หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นก็ได้คว้าแขนของต้วนมู่เฉิงเอาไว้ เขามองไปที่ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายก่อนที่จะเริ่มวิเคราะห์สถานการณ์ “ศิษย์พี่ใหญ่ไม่เคยใช้กระบี่แบบนั้น ดาบใหญ่นั่นแม้จะดูเหมือนอาวุธของเขาแต่นั่นไม่ใช่อาวุธของเขาแน่…แสงดาวแห่งสรวงสวรรค์อันมืดมิดของศิษย์พี่เองก็ไม่ได้ไร้พลังถึงขนาดนั้น ใครก็ตามที่ถูกกระบวนท่าของศิษย์พี่โจมตีไปจะต้องตายไปในทันที”
“เจ้าหมายความว่ามีคนแอบอ้างเป็นศิษย์พี่ใหญ่อยู่อย่างงั้นหรอ? “
“ถูกต้อง”
เมื่อได้ยินแบบนั้นต้วนมู่เฉิงก็กลับมาดูสถานการณ์อย่างรอบคอบ
‘มันดูคล้ายกันยิ่งนัก’
ต้วนมู่เฉิงได้แต่พึมพำออกมา “ข้าสงสัยจริงๆ ว่าทำไมศิษย์พี่ใหญ่ถึงได้อ่อนแอเช่นนี้ ที่แท้…เจ้านี้ก็เป็นเพียงแค่ตัวปลอมอย่างงั้นสินะ”
“ตัวปลอมปะทะตัวปลอม ท่านไม่คิดหรอว่ามันจะน่าสนใจน่ะ? “
ถ้าหากพวกเขาทั้งสองคนไม่คิดให้รอบคอบ การที่จะแยกว่าคนคนนี้แตกต่างจากตัวจริงแค่ไหนก็คงจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เลย แม้แต่ศิษย์สาวกแท้ๆ ของศาลาปีศาจลอยฟ้าถึงกับต้องดูให้รอบคอบ ไม่มีทางเลยที่คนอื่นจะมองเห็นถึงความจริงนี้ได้
“แต่เจ้านี้ก็ไม่ได้อ่อนแอไปซะทีเดียว” ต้วนมู่เฉิงได้แสดงความคิดเห็นออกมา
“ถ้าหากสามารถเลียนแบบกระบวนท่าแสงดาวแห่งสรวงสวรรค์อันมืดมิดของศิษย์พี่ใหญ่ได้ถึงขนาดนี้ เจ้านั่นก็ไม่มีทางเลยที่จะอ่อนแอไปได้”
ทั้งสองคนต่างก็เฝ้ามองการต่อสู้ต่อไป
หลี่จิงยี่ดูตกใจมากที่เห็นแบบนั้น นางได้เหลือบไปด้านข้างก่อนที่จะพูดกับเหวยซู่หยานออกมาด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา “ท่านแม่ทัพ พวกเราถอยกันเถอะ”
“ข้าเชื่อในความสามารถของเจ้า” เหวยซู่หยานไม่ได้ยอมแพ้แต่เพียงเท่านี้
“ข้าเกรงว่าจะไม่มีอะไรรับประกันความปลอดภัยของท่านแม่ทัพได้…ถ้าหากเจ้าถูกจัดการ เมื่อถึงเวลานั้นจริงเจ้าก็คงจะต้องทุกข์ทรมานมากแน่” หลี่จิ้งอี้ได้เปลี่ยนวิธีพูดไป นางเลือกใช้คำว่า ‘เจ้า’ แทน
เหวยซู่หยานที่ได้ยินแบบนั้นได้นิ่งเงียบไป