ลู่โจวเดินเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด
จ้าวยู่ในตอนนี้เธอตื่นขึ้นมาแล้ว แต่ถึงแบบนั้นเธอก็ยังนอนอ่อนแรงอยู่บนเตียงอยู่ดี ถ้าหากดูจากพลังวรยุทธในตอนนี้ดูเหมือนว่าพลังยุทธของเธอจะถูกปิดผนึกเอาไว้ แถมท่ามกลางพิธีศักดิ์สิทธิ์เองจ้าวยู่ก็ต้องเจอกับพลังโจมตีจากบทสวดของเหล่านักบวช ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะมีชีวิตอยู่แต่สภาพของเธอก็ดูไม่สู้ดีเท่าไหร่
ลู่โจวเดินมานั่งบนเก้าอี้ใกล้ๆ อย่างช้าๆ หลังจากนั้นเขาก็มองไปยังจ้าวยู่
ค่าความจงรักภักดี: 10%
‘เป็นไปตามคาด’ ลู่โจวคิดกับตัวเอง
เมื่อจ้าวยู่เห็นอาจารย์ของเธอนั่งลงใกล้ๆ ใบหน้าของเธอที่เดิมไร้สีสันอยู่แล้วก็ได้ซีดเซียวเข้าไปอีก เธอรีบลุกขึ้นมาจากเตียงโดยไม่ได้สนสภาพอันไร้เรี่ยวแรงอีกต่อไป จ้าวยู่พยายามลุกขึ้นจนเกือบจะล้มลงบนพื้น แขนขาของเธอในตอนนี้ยังคงอ่อนแรงมากแต่โชคดีที่หยวนเอ๋อสามารถประคองตัวจ้าวยู่เอาไว้ได้ทัน
“ท่านอาจารย์! ศิษย์คนนี้ผิดไปแล้ว! ศิษย์รู้ว่าศิษย์ได้ทำผิดไป! ” จ้าวยู่รู้ดีว่าพูดแก้ตัวไปในตอนนี้ก็เปล่าประโยชน์
จ้าวยู่พูดต่อไปสักพักก่อนที่ลู่โจวจะยกมือขึ้นมาห้ามเธอไว้ “พอได้แล้ว”
จ้าวยู่มองอาจารย์ของเธออย่างสำนึกผิด นอกจากเธอยังรู้สึกตื่นกลัวอยู่เล็กน้อย
ก่อนที่จ้าวยู่จะได้อธิบายอะไรอีกครั้ง ลู่โจวก็ได้ชิงถามออกมาอย่างห้วนๆ ซะก่อน “ใครกันที่เป็นคนลักพาตัวเจ้าไป? “
จ้าวยู่ส่ายหัวของเธอ เธอเหมือนเด็กที่กำลังรู้ตัวว่าได้ทำพลาดไป ในตอนนี้เธอไม่มีแม้แต่ศักดิ์ศรีในฐานะจอมวายร้ายภูเขาทองหลงเหลืออยู่ในตัวอีกต่อไป จ้าวยู่ได้แต่พูดออกมาอย่างแผ่วเบาเท่านั้น “ข้ารู้แค่ว่าคนคนนั้นเป็นยอดฝีมือจากสำนักบริสุทธิ์ วรยุทธที่เขามีมัน…ลึกล้ำ…อาจจะลึกล้ำเทียบเท่ากับท่านอาจารย์ ไม่ ไม่สิ วรยุทธของชายคนนั้นอ่อนแอกว่าท่านเล็กน้อย
มียอดฝีมือระดับสูง 3 คนด้วยกันในสำนักบริสุทธิ์ คนแรกเป็นเจ้าสำนักมีนามว่าโมฉี มีข่าวลือว่าเขาคนคนนี้มีวรยุทธอยู่ที่ขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ พลังร่างอวตารของเขามีกลีบดอกบัว 7 กลีบด้วยกัน ส่วนยอดฝีมือคนที่สองมีนามว่าฝานลิเทียน ยอดฝีมือคนนี้ได้หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อนานมาแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วเขาคนนี้ไปไหนกันแน่ แต่มีข่าวลือที่ว่ากันว่าเขาคนนี้มีวรยุทธ์เหนือกว่าเจ้าสำนักอย่างโมฉีด้วยซ้ำไป แต่ยังไงซะนี่ก็เป็นเพียงแค่ข่าวลือที่ไม่เคยได้รับการยืนยัน ส่วนยอดฝีมือคนที่สามก็คือยูฮงหยี เธอเป็นยอดฝีมือหญิงที่ทรงพลังที่สุดแล้วในสำนักบริสุทธิ์
“จ้าวยู่…ข้าน่ะเคยบอกแล้วว่าจะจัดการกับคนที่กล้าทรยศยังไง เธอน่ะยังจำได้ไหม? “
เมื่อจ้าวยู่ได้ยินแบบนั้นตัวเธอก็สั่นเครือก่อนที่จะเริ่มส่ายหัว “ท่านอาจารย์ ท่านจะต้องฟังคำอธิบายของศิษย์ก่อน ศิษย์ไม่ได้มีเจตนาที่จะทรยศท่านเลย ในตอนที่ศิษย์ทำภารกิจสำเร็จศิษย์ก็เดินทางไปยังบ้านเกิดเพื่อที่จะเยี่ยมพ่อแม่ แต่แล้วมีอยู่วันหนึ่ง ระหว่างการเดินทางศิษย์ถูกยอดฝีมือของสำนักบริสุทธิ์ขัดขวางการเดินทางเข้า”
ปั้ง!
ลู่โจวใช้มือของตัวเองทุบโต๊ะอย่างรุนแรง จ้าวยู่ในตอนนี้หัวใจเต้นแรงเพราะอาการตื่นตกใจ
“เจ้ายังจะกล้าโกหกข้าอีกอย่างงั้นหรอ? ” ลู่โจวหันไปมองจ้าวยู่ด้วยสายตาเสียดแทง
จ้าวยู่รู้สึกกลัวเมื่อเจอกับสายตาที่เต็มไปด้วยความกดดันของลู่โจว เธอเริ่มบอกเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดอีกครั้ง “ศิษย์ได้เดินทางไปที่วังจันทรามา…ศิษย์พบกับศิษย์น้องหญิงเทียนซิน ศิษย์น้องอยากที่จะทำร้ายท่านอาจารย์ แต่ศิษย์…ศิษย์ไม่คิดที่จะร่วมมือด้วย…”
ลู่โจวยังคงเงียบ เขากำลังรอคำสารภาพของจ้าวยู่อยู่
จ้าวยู่ที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดต่อไป “เป็นเรื่องจริงที่ศิษย์กลับบ้านเกิดมา…แต่…”
“เจ้ากำลังลังเลอะไรกัน? ” จ้าวยู่ขึ้นเสียง
จ้าวยู่ไม่กล้าที่จะโต้ตอบอะไรกลับไป เธอทำได้เพียงกลืนความผิดหวังที่อาจารย์คนนี้มีให้เท่านั้น เธอไม่กล้าที่จะดื้อดึงแก้ตัวอีกต่อไป
“ศิษย์รู้ตัวว่าศิษย์ผิดไปแล้ว! ศิษย์ไม่ควรฟังคำว่าร้ายของยี่เทียนซิน…”
“ถ้าหากเจ้าไม่คิดที่จะจากไปจริงๆ เรื่องมันก็คงจะไม่วุ่นวายจนถึงขั้นนี้” ลู่โจวพูดออกมาอย่างใจเย็น
จ้าวยู่ดูเหมือนว่าจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “ยี่เทียนซินได้วางม่านพลังเอาไว้ใกล้ๆ กับหุบเขาตะวันฟ้า ศิษย์ได้สัญญากับเธอไว้ว่าศิษย์จะใช้ม่านพลังนั้นแต่สุดท้ายแล้วศิษย์ก็ไม่ได้ใช้…สุดท้ายศิษย์ก็หวังดีกับท่านอาจารย์มากกว่า ศิษย์ไม่คิดที่จะทำร้ายท่านอาจารย์ ศิษย์ไม่อยากที่จะรับตราบาปว่าฆ่าอาจารย์ของตัวเองไปชั่วชีวิต! ศิษย์พูดความจริงทุกอย่าง ถ้าหากศิษย์โกหกท่านอาจารย์จริงๆ ศิษย์ยินดีที่จะถูกลงโทษทุกเวลา! “
ลู่โจวนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นได้เมื่อจ้าวยู่ปล่อยเหล่าผู้ฝึกยุทธทั้งหลายเข้าสู่สนามรบ ในตอนนั้นที่ใช้พลังร่างอวตารดอกบัวทั้งเก้าแห่งร้อยวิถี ลู่โจวก็ไม่สามารถสัมผัสถึงตัวจ้าวยู่ได้ ดังนั้นเรื่องที่เธอพูดก็อาจจะมีส่วนถูกอยู่
จ้าวยู่ได้แต่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นโดยไม่กล้าขยับไปไหน เธอไม่กล้าแม้แต่ที่จะส่งเสียงหายใจดังๆ ออกมา
ในท้ายที่สุดแล้วลู่โจวก็ตัดสินใจที่จะจัดการกับจ้าวยู่ได้ เขาจะลงโทษเธออีกทีภายหลังเมื่อกลับไปยังหุบเขาทอง เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาจากสองวันที่แล้วตัวเขาก็ได้เอ่ยปากถามออกไปอีกครั้ง “ใครเป็นผู้ผนึกวรยุทธของเจ้ากัน? “
“สิ่งเดียวที่ศิษย์รู้คือคนคนนั้นเขามาจากพระราชวัง…ศิษย์ไม่เห็นใบหน้าของเขา” จ้าวยู่พูดตอบกลับ
“พระราชวังอย่างงั้นหรอ? ” เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับพระราชวัง ตั้งแต่ลู่โจวลงมาจากหุบเขาทองเพื่อมาสืบหาคนร้ายที่ลักพาตัวคนจากตระกูลซี ตัวเขาก็พบกับคนที่มาจากพระราชวัง เขาคนนั้นแอบอ้างเป็นพ่อบ้านของตระกูลซี หวังฟูกุ่ยคนนั้นมีวรยุทธที่ลึกล้ำ สำหรับเหล่ายอดฝีมือที่มาจากพระราชวัง การที่จะปิดผนึกวรยุทธของจ้าวยู่เอาไว้ได้ก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร ดูเหมือนว่าทางพระราชวังจะรู้สึกสนใจศาลาปีศาจลอยฟ้ามาก
จ้าวยู่มองไปที่ลู่โจว ใบหน้าของเธอในตอนนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียใจ “ศิษย์ถูกขังไว้ในแท่นบูชาของพิธีศักดิ์สิทธิ์หลังจากที่ถูกสำนักบริสุทธิ์ลักพาตัวมา…”
“เงยหน้าของเจ้าขึ้นมา” น้ำเสียงของลู่โจวยังคงเกรี้ยวกราดเช่นเคย
จ้าวยู่ไม่กล้าที่จะฝ่าฝืนคำพูดของลู่โจว เธอรวบรวมความกล้าก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง เธอคิดว่าอาจารย์ของเธอจะลงโทษตัวเธอ แต่เธอก็คิดผิดไป
“เวทมนตร์คาถา”
เมื่อได้ยินแบบนั้นทั้งจ้าวยู่และหยวนเอ๋อก็ถึงกับผงะ
ในโลกใบนี้มีวิธีฝึกฝนเคล็ดวิชามากมายหลากหลายแขนง การฝึกยุทธในแบบของลัทธิเต๋าเป็นการฝึกฝนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดตามด้วยการฝึกยุทธของนิกายพุทธ ในโลกใบนี้ยังมีวรยุทธมากมายอีกหลายแขนงด้วยกัน หนึ่งวรยุทธที่หายไปตามกาลเวลานั่นก็คือการใช้เวทมนตร์คาถา
เดิมทีวิธีใช้คาถาเวทมนตร์ส่วนใหญ่เป็นที่นิยมกันในหมู่ของพวกนิยมความชั่วร้ายซะมากกว่า เหล่าผู้ฝึกยุทธส่วนใหญ่ที่ฝึกฝนตัวเองในวิถีแห่งลัทธิเต๋าจะไม่สามารถใช้ประโยชน์จากการใช้เวทมนตร์คาถาพวกนี้ได้มากเท่าที่ควร และเมื่อเวลาได้ผ่านพ้นไป เวทมนตร์คาถาก็เริ่มที่จะถูกผู้คนจากฝ่ายธรรมะปฏิเสธ สุดท้ายแล้วมันก็ค่อยๆ จางหายไปตามกาลเวลา และเพราะแบบนั้นผู้ที่ใช้เวทมนตร์คาถาได้ก็เริ่มลดน้อยลงเช่นกัน
ในพระราชวังมีคนที่สามารถใช้เวทมนตร์คาถาได้ด้วยอย่างงั้นหรอ?
จ้าวยู่ที่เห็นแบบนั้นรีบก้มหน้าก่อนที่จะพูดขึ้นมาใหม่ “ท่านอาจารย์ได้โปรดปลดปล่อยศิษย์ออกจากพันธนาการนี้ด้วย”
ลู่โจวเหลือบมองไปที่จ้าวยู่อย่างไม่แยแส ดูเหมือนว่าความจงรักภักดีของเธอจะเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย
“จ้าวยู่”
จ้าวยู่ที่ได้ฟังแบบนั้นรีบก้มหน้าลงด้วยความกลัว เธอในตอนนี้ได้แต่มองพื้นเท่านั้น เธอไม่แม้แต่จะกล้าส่งเสียงอะไรออกมา
ลู่โจวพูดต่อ “ข้าเคยบอกไปแล้วว่าข้าน่ะจะไม่อ่อนข้อให้กับผู้ที่กล้าทรยศต่อตัวข้า”
เมื่อจ้าวยู่ได้ยินแบบนั้น เธอไม่ได้รู้สึกโกรธลู่โจวผู้เป็นอาจารย์เลย ในทางตรงกันข้ามกันเธอกลับมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง เธอจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ดีในพิธีศักดิ์สิทธิ์ “ศิษย์คนนี้เต็มใจรับทุกการลงโทษ! “
“เดี๋ยวเวลานั้นก็จะมาถึงเอง” หลังจากที่ลู่โจวพูดจบเขาก็ค่อยๆ ลึกขึ้น
จ้าวยู่ที่ได้ฟังแบบนั้นรีบพูดต่อไปในทันที “ศิษย์ผิดไปแล้วท่านอาจารย์! “
ลู่โจวเหลือบมองจ้าวยู่ก่อนที่จะหันไปหาหยวนเอ๋อ “หยวนเอ๋อเขียนจดหมายถึงศิษย์พี่ของเจ้าซะ…บอกให้เขาพาจ้าวยู่กลับไปและลงโทษเธอ”
“ค่ะ” หยวนเอ๋อที่ได้รับคำสั่งมากำลังตัวสั่นเล็กน้อย เธอกลัวนิดหน่อยและกังวลใจ
เมื่อลู่โจวออกจากห้องไป หยวนเอ๋อก็ช่วยให้จ้าวยู่ลึกขึ้นมาอีกครั้ง เธอพูดกับศิษย์พี่พร้อมรอยยิ้ม “ข้ารู้แล้วว่าศิษย์พี่น่ะไม่เหมือนกับศิษย์พี่ยี่เทียนซิน…”
จ้าวยู่ส่ายหัวและพูดออกมา “ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็แล้วแต่…ยังไงซะข้าก็เป็นคนผิดเอง ถ้าหากข้าไม่คิดหนีมาแบบนี้ท่านอาจารย์ก็ไม่ต้องลำบากพาข้าออกมาจากพิธีนั่น ป่านนี้ข้าคงจะต้อง…”
หยวนเอ๋อที่ได้ฟังแบบนั้นได้พูดออกมา “ศิษย์พี่จะต้องไม่เป็นไรแน่ ศิษย์พี่ก็แค่ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน ตอนนี้ท่านอาจารย์แสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงออกมาแล้วในตอนที่เราอยู่บนแท่นทำพิธี พวกชาวยุทธฝ่ายธรรมะทั้งหลายรวมไปถึงวิหารปีศาจไม่สามารถสู้กับท่านอาจารย์ได้แน่! “
“ศิษย์น้องเล็ก…เจ้าอยู่ที่นั่นด้วยหรอ? “
“ใช่! ที่นั่นน่ะมีแต่นักบวชหัวโล้นเต็มไปหมด เสียงของเจ้าพวกนั้นน่ะน่ารำคาญยังกับเสียงของพวกแมลงหวี่แมลงวัน ข้าน่ะรู้สึกรำคาญมาก…” หยวนเอ๋อที่พูดเสร็จก็ได้จากไป เธออยากให้ศิษย์พี่พักผ่อนให้สบายใจ
จ้าวยู่ถอนหายใจอีกครั้ง “เธอเป็นคนเดียวสินะที่เป็นห่วงข้าจริงๆ ศิษย์น้องเล็ก”
…
ในตอนที่ลู่โจวออกมาจากห้องของจ้าวยู่ ในตอนนั้นเขาก็เห็นเจ้าหน้าที่สอบสวนคดีการตายซู่ผิง เจ้าหน้าที่หลายคนได้วิ่งขึ้นบันไดตรงมาหาตัวเขา
“ในที่สุดข้าก็พบกับนายท่านอีกครั้ง”
“เจ้ากำลังตามหาข้าอยู่อย่างงั้นหรอ? ” ลู่โจวรู้สึกสับสนเล็กน้อย เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับคดีการตายของซู่ผิงเลย แล้วเจ้าหน้าที่พวกนี้ต้องการอะไรจากตัวเขากันแน่?
“พวกเราได้รับมอบหมายให้พานายท่านไปที่บ้านพักของท่านนายพลที่เมืองรูหนานเพื่อให้การครับ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูดขึ้นในระหว่างที่คุกเข่า
“ข้ายุ่งอยู่” ลู่โจวตอบกลับอย่างเย็นชาก่อนที่จะกลับเข้าไปยังห้องของตัวเอง
เจ้าหน้าที่ที่เห็นแบบนั้นต่างก็เข้าใจสถานการณ์ในทันที ‘ดูเหมือนการจะให้เขาคนนี้ไปพบกับท่านนายพลคงจะเป็นอะไรที่เสียเกียรติอย่างงั้นสินะ? ‘ เมื่อเจ้าหน้าที่คิดได้แบบนั้นเขาก็รีบพูดขึ้นมาใหม่ “นายท่าน ข้าพูดผิดไปแล้ว ข้าไม่ได้ตั้งใจให้นายท่านไปหาท่านนายพล! “
ลู่โจวไม่ได้สนใจอะไร เห็นได้ชัดว่าเจ้าหน้าที่พวกนี้อยากที่จะพาตัวเขาไปพบกับนายพลที่เมืองรูหนาน ทางพระราชวังคงจะต้องติดตามเรื่องนี้ในเวลาครึ่งวันแน่ ถ้าหากไปที่นั่นคนที่ทำร้ายจ้าวยู่จะปรากฏตัวออกมาไหมนะ?