ตอนที่ 154 การพัฒนาของสหายตัวจ้อย!
หยางเย่หันไปมองซูชิงฉือ นางยังคงสวมชุดกระโปรงสีขาวยาว ใบหน้าที่งดงามราวกับเทพธิดา และผมหางม้าที่ยาวลงมากําลังปลิวไสวกับสายลม นางมีภาพลักษณ์ที่งดงาม เรือนร่างที่โค้งสวย ทั้งยังมีความเงียบสงบอย่างน่าดึงดูด ทั้งหมดนี้ทําให้หัวใจหยางเย่เต้นรัวเล็กน้อย
ซูชิงฉือไม่สามารถทนต่อสายตาหยางเย่ได้ นางหันไปมองนอกหน้าต่าง
หยางเยจึงรีบเอ่ยถาม “ชิงฉือ ท่านยังจําข้อตกลงระหว่างเราทั้งสองได้หรือไม่?”
ซูชิงฉือพยักหน้า
“ข้าสงสัยว่าท่านจะยังให้โอกาสข้าอยู่หรือไม่หากข้าไม่สามารถเข้าสู่เทียบอันดับสวรรค์ได้ หรือบางที หากมีคนอื่นจากสํานักดาบราชันสามารถเข้าสู่สามอันดับแรกได้ เช่นนั้นท่านจะให้โอกาสพวกเขาหรือเปล่า?” หยางเย่กล่าว
เขาคิดคําถามนี้อยู่นาน ทั้งสองเคยอยู่ด้วยกันมาก่อนที่ใต้หุบเหวมรณะในวันนั้น แต่เขาก็สงสัยว่าทุกอย่างที่นางทํานั้นทั้งพยายามติดต่อกับเขา ช่วยเหลือเขา มันเป็นเพราะตัวหยางเย่เอง หรือเป็นเพราะแค่ต้องการให้เขาเข้าไปเทียบอันดับสวรรค์เพื่อสํานักดาบราชัน?
เขาคิดคําถามนี้แต่ไม่เคยคิดถึงคําตอบ เพราะทราบดีว่าคําตอบมันอาจจะโหดร้ายเกินไป
ซูชิงฉือเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะตอบ “มันต่างกันงั้นหรือ?”
“แน่นอน!” หยางเย่กล่าว “หากท่านทําข้อตกลงนั้นไว้เพียงเพราะช่วยสํานักดาบราชัน เช่นนั้นก็ไม่ต้องรู้สึกผิด ข้า หยางเย่ชําระหนี้อยู่แล้ว เมื่อท่านช่วยชีวิตข้า การเข้าร่วมเทียบอันดับสวรรค์ก็นับว่าเป็นการทดแทนหนี้บุญคุณท่าน”
อารมณ์มนุษย์นั้นไม่ใช่วิถีแห่งดาบ เช่นนั้นเขาไม่อาจทําได้หากไม่พึงพอใจในสิ่งนั้น หยางเย่เข้าใจหลักการนี้ดี
หากสตรีตรงหน้าไม่ชอบเขา หยางเย่ก็ไม่ใช้เทียบอันดับสวรรค์มากดดันนาง อย่างที่เขาได้กล่าว ซูชิงฉือได้ช่วยน้องสาวและหยางเยไว้ ดังนั้นการเข้าร่วมเทียบอันดับสวรรค์ก็เป็นการทดแทนบุญคุณของนาง
อันที่จริงหยางเย่เข้าใจว่าหากผู้หนึ่งไม่มีความแข็งแกร่ง เช่นนั้นก็ไม่มีใครชอบแน่นอน แต่หยางเย่ยังคงหวังว่าที่ซูชิงฉือทําลงไปนั้นก็เพื่อเขา ไม่ใช่เพราะเพียงเทียบอันดับสวรรค์ หรือเพื่อสํานักดาบราชัน แต่หยางเย่ก็ยังกลัวคําตอบที่จะออกมา
มันอาจฟังดูขัดแย้งกัน แต่ก็ไม่ใช่ หากซูชิงฉือช่วยเพราะเขาได้ช่วยนางก่อน และทําข้อตกลงด้วยเหตุผลเดียวกัน เช่นนั้นมันก็เห็นได้ชัดว่านางยังสนใจเขาอยู่
แต่หากมันเป็นเพราะเขาสามารถเข้าสู่เทียบอันดับสวรรค์ เมื่อมีคนอื่นที่ทําแบบนั้นได้ นางก็อาจเปลี่ยนไปเช่นกัน
หยางเย่เข้าใจสิ่งหนึ่งอย่างดี สํานักดาบราชันนั้นสําคัญกับนางมาก!
ซูชิงฉือเงียบไปชั่วครู่ หยางเย่เองก็เช่นกัน ทั้งคู่ยืนใกล้กันตรงหน้าต่าง และมองออกไปอย่างว่างเปล่า
ผ่านไปชั่วครู่ ซูชิงฉือเอ่ยขึ้น “เหตุผลที่ข้าไม่สังหารเจ้าที่ใต้หุบเหวมรณะ เพราะเจ้ามีความสามารถที่จะเข้าเทียบอันดับสวรรค์ได้ และเพราะเจ้าช่วยข้าอย่างไม่คิดชีวิตในขุนเขาไม่สิ้นสุด ข้าไปช่วยเจ้าที่เมืองทักษิณรมณ์ เพราะเจ้าเป็นศิษย์สํานักดาบราชัน และขณะเดียวกันข้าต้องการตอบแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิตข้าด้วย สําหรับข้อตกลงระหว่างเราทั้งสองนั้น… ถึงแม้ข้า ซูชิงฉือจะต้องการฟื้นฟูสํานักดาบราชัน ข้าก็ไม่ต้องการให้เรื่องของหัวใจเข้ามาเร็วเกินไป”
หยางเย่ยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนี้ และมันเป็นรอยยิ้มที่จริงใจ เพราะเขาเข้าใจว่านางหมายความว่าอะไร
ซูชิงฉือพลิกข้อมือ จากนั้นปลอกดาบประกายแสงสีม่วงได้ปรากฏขึ้น “นี่คือดาบขั้นปฐพีระดับต่ํา ดาบอินทนิล เมื่อเข้าไปยังเทียบอันดับสวรรค์ นอกจากความแข็งแกร่งที่ร้ายกาจแล้ว เจ้าต้องใช้วัตถุทมิฬที่ร้ายกาจด้วย หากเจ้าครอบครองดาบเล่มนี้ ความแข็งแกร่งของเจ้าจะต้องเพิ่มขึ้นอีกมาก!”
หยางเย่รู้สึกประทับใจ แต่ก็ไม่คิดจะรับไว้ เขาออกคําสั่งในใจ จากนั้นเสียงของดาบได้พุ่งออกจากปลอก เขาชี้ไปกลางอากาศก่อนจะเอ่ย “ข้ามีวัตถุทมิฬที่เหมาะสมแล้ว!”
ประกายแห่งความประหลาดใจปรากฏผ่านดวงตาซูชิงฉือ จากนั้นนางยื่นมือไปจับพร้อมเอ่ย “ช่างเป็นดาบที่แปลกนัก ด้วยดาบนี้ผสานกับวิชาควบคุมดาบ มันจะทําให้เจ้าไร้เทียมทานได้เลย ชายชราคนนั้นให้เจ้ามางั้นหรือ?”
หยางเยู่พยักหน้า
ซูชิงฉือพยักหน้าตอบเล็กน้อย จากนั้นนางส่งดาบอินทนิลให้หยางเย่ “เจ้าใช้ดาบนั้นเป็นไพ่ตาย และจัดการคู่ต่อสู้อย่างเฉียบพลันระหว่างการประลอง และใช้ดาบอินทนิลนี้ยามปกติ!”
หยางเย่ยังต้องการปฏิเสธ เพราะเขารู้สึกว่าซูชิงฉือจําเป็นต้องใช้มันมากกว่าเขา แต่ซูชิงฉือไม่ให้เขาทําเช่นนั้น เพราะนางหันหลังจากไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อมาถึงประตู ซูชิงฉือหยุดและเอ่ยขึ้น “ข้าจะพิจารณาคําที่เจ้าบอกว่าให้เข้าชื่นําสํานักดาบราชัน นอกจากนั้นอย่ารีบทิ้งสํานักดาบราชันไปเสียล่ะ!”
หลังจากกล่าวจบ นางไม่อยู่ต่ออีก
หยางเย่มองไปทางที่ซูชิงฉือขณะเดินออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นมองไปที่ดาบ หยางเยรู้สึกว่าที่นางมอบดาบให้นั้นยังมีเหตุผลอื่นอีก เพราะเขาสังเกตเห็นท่าที่นางแปลกไปเล็กน้อยขณะยื่นดาบให้!
ผ่านไปชั่วครู่หยางเยส่ายหัวก่อนจะยิ้ม “มันเป็นแค่ดาบ เราไม่อาจคิดให้มากเกินไป!”
ทันใดนั้นประกายแสงสีม่วงได้ปรากฏตรงหน้าเขา
เมื่อมองดูมิงค์ม่วง หยางเย่รีบเก็บดาบและเข้าไปกอดสหายตัวจ้อย “เจ้าบรรลุขั้นราชันแล้วหรือ?”
มิงค์ม่วงพยักหน้าด้วยความตื่นเต้น
หยางเย่ได้เอ่ยถามอย่างตื่นเต้น “เจ้ารู้สึกมีอะไรในตัวเปลี่ยนแปลงหรือไม่?”
มิงค์ม่วงกะพริบตาปริบก่อนจะยกกรงเล็บขึ้น จากนั้นหมุนวนไปที่โต๊ะหินตรงกลางห้อง ภายใต้สายตาอันงุนงงของหยางเย่ มิงค์ม่วงได้ทําให้โต๊ะตรงหน้าระเบิดออกอย่างรุนแรง
ปิ้ง!
เสียงระเบิดดังกึกก้อง และโต๊ะหินแหลกละเอียด
หยางเย่อ้าปากค้างพร้อมเผยอาการที่ไม่น่าเชื่อ ‘สวรรค์! เราเพิ่งเห็นอะไรไป? แสงสีม่วงจากสหายตัวจ้อย ได้จ้าขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นหยินฉวนเอ๋อได้ปรากฏตัวออกมา นางมองไปที่มิงค์ม่วงด้วยอาการที่หวาดกลัวในดวงตา “มันคือการข้ามพื้นที่ มันเป็นวิชาลับเกี่ยวกับการควบคุมสิ่งที่อยู่ในพื้นที่มิติตรงหน้า และมันสามารถทําได้ตั้งแต่ยังไม่โตเต็มวัย”
“ข้ามพื้นที่? ควบคุมสิ่งของข้ามมิติ?” หยางเย่สับสบอย่างมาก
หยินฉวนเอ๋อสูดหายใจลึกก่อนจะเอ่ย “หลังจากบรรลุขั้นปราณจุติ ผู้นั้นจะสามารถเข้าใจความหลากหลายของมิติได้
ทันทีที่กล่าวนางไม่เอ่ยสิ่งใดต่อ นางมองไปที่หยางเย่และมิงค์ม่วงก่อนจะมองไปที่ตันเถียนน้ําวนอีกครั้ง
หยางเย่รู้สึกโมโหเล็กน้อย เพราะสตรีตรงหน้าได้เพิ่มความสงสัยมากมายแก่เขา หากไม่ใช่เพราะนางเป็นยอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณ เขาคงจะสั่งสอนบทเรียนไปแล้ว
มันยากที่จะหวังให้หยินฉวนเอ่ออธิบาย หยางเย่มองไปที่มิงค์ม่วงก่อนจะกล่าว “สหายตัวจ้อย แสดงให้ข้าเห็นอีกครั้งได้หรือไม่!”
มิงค์พยักหน้าก่อนจะขยับกรงเล็บประกายแสงสีม่วงได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง จากนั้นไม่นานกําแพงได้ระเบิดออกเป็นรู
หยางเยู่สูดหายใจลึก เขาเห็นอย่างชัดเจน ประกายแสงสีม่วงของสหายตัวจ้อยนั้นไม่ได้เร็ว แต่มันโจมตีข้ามมิติได้ เขารู้สึกว่าวิธีการโจมตีนี้น่าสะพรึงอย่างมาก!
ถึงแม้จะหวาดกลัวเพราะวิธีมันดูผิดปกติ โดยเฉพาะตอนมันใช้อย่างฉับพลัน หากสหายตัวจ้อยทําการโจมตีเขา เช่นนั้นก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีนั้นได้แน่นอน อันที่จริงมันก็ไม่ได้น่าประหลาดใจมากเท่าไหร่ แต่เขาก็ยังคงกลัวอยู่ดี
ทําไมนะหรือ? เพราะความเร็วพื้นฐานของสหายตัวจ้อยนั้นเหนือชั้นเกินไป
ด้วยการเคลื่อนที่ของสหายตัวจ้อยที่แปลกประหลาด อย่าว่าแต่เขา แม้แต่ยอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณก็ไม่สามารถจับมันได้ ดังนั้นเมื่อผสานทั้งการโจมตีและการเคลื่อนที่อันแปลกประหลาดเข้าด้วยกัน กล่าวได้ว่า มิงค์เป็นสัตว์อสูรราชันที่เหนือกว่าสัตว์อสูรราชันทั้งหมด
ผ่านไปชั่วครู่ ท่าที่เคร่งขรึมของหยางเยเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม โชคดีที่สหายตัวจ้อยเป็นของเรา ดังนั้นเราก็ไม่จําเป็นต้องกลัวหรือกังวลเกี่ยวกับสิ่งนี้ เราควรจะดีใจ และศัตรูต่างหากที่จะต้องรู้สึกหวาดกลัว
มิงค์ม่วงรู้สึกสนุกและตื่นเต้นที่ได้ใช้ความสามารถใหม่ มันขยับกรงเล็บเล็กน้อยตรงกําแพงต่อ แสงสีม่วงได้ปรากฏขึ้น จากนั้นเสียงระเบิดได้ดังอีกครั้ง ไม่นานก็เหลือเพียงรอยู่บนกําแพง และสหายตัวจ้อยก็ยังทําต่อไป…
ปัง! ปัง! ปัง!
เพียงสองช่วงลมหายใจ หยางเย่ได้หายจากอาการตกตะลึง เวลานี้ห้องเขาได้พังไปเป็นที่เรียบร้อย…
หยางเย่รีบเข้าไปกอดสหายตัวจ้อยที่กําลังตื่นเต้นกับการหมุนกรงเล็บ จากนั้นเขารีบพามันออกไปนอกห้อง
ภายนอกห้อง ใบหน้าหยางเย่มืดดําขณะมองไปยังห้องที่พังทลาย
มิงค์ม่วงก็ดูเหมือนว่าจะรู้ตัวก่อนจะพุ่งอยู่ที่ไหลหยางเย่ และรีบคลอเคลียใบหน้าเขา มันราวกับกําลังพยายามเอาใจเพื่อไม่ให้หยางเยโกรธ