ตอนที่ 168 หมอวัยกลางคน
“ทิ้งกุญแจเอาไว้ที่นี่ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”
น้ำเสียงที่ดูหยิ่งผยองอวดดีดังขึ้นมาทันที แต่มู่อี้ก็ไม่ใช่คนโง่ คิดหรอว่าแค่คําพูดแบบนี้จะทําให้เขาหวาดกลัวจนต้องทําตามที่อีกฝ่ายต้องการ?
แต่ด้วยคําพูดของชายวัยกลางคนที่เป็นผู้นํา ลูกน้องหลายๆคนที่อยู่ด้านหลังของเขาก็รีบก้าวออกมาทันทีหนึ่งในนั้นคือคนที่ม่อี้รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งยิ่งกว่าชัยเหิงและประตูหน้าต่างของร้านน้ำชาแห่งนี้ก็ถูกปิดกั้นเอาไว้ทุกๆทางแม้ว่ามู่อจะเป็นเทพเซียนแต่ก็คงไม่สามารถทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าหรือดําดินเพื่อหนีออกจากที่นี่ไปได้แน่นอน
อย่างน้อยที่สุดทุกๆคนที่อยู่ข้างนอกก็คิดเช่นนี้
“ดูเหมือนว่าโลหิตที่ชําระล้างโลกใบนี้ยังน้อยเกินไปจึงมีคนมากมายมาให้ข้าได้สังหารในวันนี้” ไม่อี้ส่ายศีรษะเล็กน้อยท่าทีของเขาดูเหมือนไม่สนใจคนที่อยู่ตรงหน้าเลย
“รนหาที่ตาย!”
ท่าทีของเขาทําให้ชายวัยกลางคนและคนอื่นต่างก็รู้สึกโกรธขึ้นมาทันที มี 2 คนที่พุ่งเข้ามาประชิดตัวมู่อี้อย่างรวดเร็ว
กลุ่มคนของศาลาแปดเหลี่ยมได้ยินเรื่องที่ม่อี้สามารถสังหารชุ่ยเหิงด้วยการชี้นิ้วเพียง 2 ครั้งแล้วแต่พวกเขาเลือกที่จะคิดว่าข่าวลือเรื่องนี้มันเกินจริงไปหน่อย อีกอย่างหนึ่งก็คือมู่ลี้ยังอายุน้อยเกินไปแม้ว่าโลกใบนี้จะมีอัจฉริยะที่ถือกําเนิดขึ้นมามากมายแต่แม้ว่าจะเริ่มบ่มเพาะตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาเขาก็คงไม่อาจแข็งแกร่งได้ขนาดนั้นหรอกใช่ไหม?
ต้องรู้ก่อนว่าในหนทางแห่งการบ่มเพาะนั้นไม่มีทางลัด มีเพียงความพยายามอย่างหนักเท่านั้น
แม้ว่าพวกเขาคิดว่าข่าวลือเหล่านั้นจะไม่เป็นความจริงแต่พวกเขาก็เลือกที่จะระมัดระวังตัวเป็นอย่างดีในครั้งนี้มีปรมาจารย์จากศาลาแปดเหลี่ยมร่วมเดินทางมาด้วยถึง 2 คนแม้ว่ามู่จะทรงพลังตามข่าวลือก็ตามแต่ไม่มีทางที่เขาจะเอาชนะการลงมือพร้อมกันของยอดฝีมือทั้งสองคนได้ในครั้งนี้เมื่อทั้งสองคนนั้นบุกเข้ามาพวกเขาก็เชื่อว่าม่อี้ไม่มีทางชนะตนเองได้แน่นอน
ม่อี้จ้องมองชายชุดดําทั้งสองคนที่กําลังพุ่งเข้ามาหาตนเองและสายศีรษะเล็กน้อย เขาไม่ได้สั่งให้ตาหนวลงมือเลยด้วยซ้ําแต่นําต้นไผ่แห่งชีวิตออกมาและสะบัดไปยังทิศทางที่ทั้งสองคนกําลังพุ่งเข้ามาทันที
“ระวังตัวด้วย!”
ที่ตรงหน้าประตูนั้นชายวัยกลางคนก็หรี่ตาลงทันทีและตะโกนออกมาจากนั้นเขาก็ไม่มีความลังเลอีกต่อไปและยกมือขึ้นมาพร้อมกับโยนวัตถุสีดําบางอย่างเข้ามาหามู่อี้ทันที
ต้นไผ่แห่งชีวิตที่อยู่ในมือของมู่อี้เคลื่อนไหวเชื่องช้าอย่างยิ่ง แต่คนทั้งสองของศาลาแปดเหลี่ยมที่บุกเข้ามานั้นก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาย่อมรู้ดีว่าต้องหลบหลีกเช่นไรและไม่มีทางให้ต้นไผ่แห่งชีวิตสัมผัสร่างกายของตนเองได้แน่นอน
“เพี้ยะ!”
เห็นได้ชัดว่าม่อี้ฟาดออกไป 2 ครั้งแต่เสียงที่เกิดขึ้นนั้นมีเพียงครั้งเดียวชายทั้งสองคนของศาลาแปดเหลี่ยมตัวสั่นศีรษะของพวกเขาระเบิดออกมาทันทีและเศษชิ้นเนื้อสีแดงและสีขาวก็กระจายไปทั่วร้านน้ำชาแห่งนี้
แต่นี่มันยังไม่จบ หลังจากฟาดไปที่ศีรษะของชายทั้งสองคนจากศาลาแปดเหลี่ยมแล้ว ต้นไผ่แห่งชีวิตก็สะบัดออกไปอีกครั้งและปะทะกับวัตถุสีดําที่ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่หน้าประตูโยนเข้ามาและวัตถุสีดํานั้นก็ถูกฟาดจนกระเด็นออกไปทางหน้าต่างของร้านน้ำชาทันที
ครั้งนี้ชายวัยกลางคนไม่มีเวลาสังเกตเห็นเลยว่าวัตถุสีดําของเขานั้นได้พุ่งเข้าไปโจมตีคนของศาลาแปดเหลี่ยมที่ยืนคุมอยู่บริเวณหน้าต่างแล้ว
“ปัง!”
มีเสียงดังลั่นขึ้นมาจากหน้าอกของชายชุดดําคนนั้นและจากนั้นเขาก็กระเด็นออกไปอย่างรุนแรง
ในตอนนี้ม่อี้ก็ได้เห็นรูปร่างที่แท้จริงของวัตถุสีดําที่พุ่งเข้ามาแล้วมันคือก้อนเหล็กสีดําที่ดูมีน้ำหนักมาก
เพียงพริบตาคนของศาลาแปดเหลี่ยมก็ตายไปถึง 3 คนแล้วและสีหน้าของชายวัยกลางคนก็ดูย่ําแย่ขึ้นมาทันที
“ข้าอยากจะถามชื่อของเจ้าหน่อยได้หรือไม่”หลังจากที่สงบสติได้แล้วชายวัยกลางคนก็ถามกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ดูกดดัน
“มาถามเอาตอนนี้ไม่สายไปหน่อยหรือไง? หรือว่าศาลาแปดเหลี่ยมรังแกเฉพาะคนที่อ่อนแอกว่าหวาดกลัวคนที่แข็งแกร่งกว่าจะมารังแก”มู่อี้ส่ายศีรษะและพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม
จากการลงมือของชายวัยกลางคนก่อนหน้านี้มู่อี้ก็สามารถประมาณพลังของเขาได้คร่าวๆแล้วพลังของชายวัยกลางคนผู้นี้น่าจะเทียบได้กับโม่หรูเยียนแต่ถ้าหากต้องสู้กันจนตายไปข้างหนึ่งมู่อี้เชื่อว่าโม่หรูเยียนมีโอกาสชนะมากกว่า
ด้วยพลังของโม่หรูเยียนเองนั้น นางน่าจะเทียบได้กับจุดสูงสุดของระดับความยากขั้นที่ 1ของการฝึกฝนจิตใจ
เช่นนั้นชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ก็น่าจะอยู่ในระดับนั้นด้วยเช่นกัน
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้วม่อี้ก็อดนึกถึงหญิงสาวคนหนึ่งที่อยู่บนภูเขาเสี่ยวหานไม่ได้ ในตอนนั้นปราณกระบี่ของนางพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
อย่างน้อยที่สุดหลังจากยกระดับขึ้นมานั้นชิวเยวี่ยถงก็สามารถบดขยีชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าเขาได้อย่างง่ายดาย
แล้วถ้ามู่อี้และชีวเยวี่ยถงได้ปะทะกันในครั้งนั้นแต่ก็ไม่มีใครชนะหรือแพ้เลย แต่นั่นก็เป็นเพราะว่าม่อี้มียันต์สายฟ้าและตะเกียงทองแดงดังนั้นอาวุธในมือของเขาจึงเหนือกว่านางไม่อย่างนั้นแล้วม่อี้คงต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
ม่อี้ประมาณจากประสบการณ์ของตนเองที่ได้รับมาในครั้งนั้น เขาคิดว่าพลังของชิวเยวี่ยถงหลังจากนางยกระดับขึ้นมานั้นเทียบได้กับระดับความยากขั้นที่ 2 ของการฝึกฝนจิตใจเลยและระดับความยากขั้นที่ 2 ของการฝึกฝนจิตใจนั้นก็แบ่งออกเป็น 7 ก้าวในตอนนี้มีอยู่เพียงแค่ก้าวที่ 2 เท่านั้นไม่รู้ว่าปราณกระบี่ของนางจะมีการแบ่งแยกแบบนี้ด้วยหรือไม่
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้วมู่ ก็รู้สึกกดดันขึ้นมาในใจเล็กน้อย ยุทธภพแห่งนี้กว้างใหญ่อย่างยิ่งและย่อมไม่เคยขาดยอดฝีมืออยู่แล้วแม้ว่าเขาจะมั่นใจในพลังของตนเองแต่ก็ไม่อาจประมาทได้เลย
แน่นอนว่ามู่อี้ก็ยังคงมั่นใจในตนเอง แม้ว่าเขาจะอยู่เพียงแค่ระดับความยากขั้นที่ 2 ของการฝึกฝนจิตใจและอยู่ในก้าวที่ 2 เท่านั้นแต่ด้วยต้นไผ่แห่งชีวิตตะเกียงทองแดง และยันต์สายฟ้าในมือของเขาเขาเชื่อว่าแม้ต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่มีพลังมากกว่าก็สามารถเอาชนะได้
เขาไม่รู้ว่าในด้านการฝึกยุทธ์นั้นมีการแบ่งระดับพลังอย่างไรบ้างและแต่ละระดับนั้นมีชื่อเรียกอย่างไรบ้าง?
“เจ้า …” ชายวัยกลางคนดูเหมือนจะตกตะลึงกับท่าทีของมู่ลี้ แต่ด้วยพลังที่ม่อี้แสดงออกมานั้นเขาก็ทําได้เพียงอดกลั้นต่อความโกรธในจิตใจเท่านั้น
เดิมทีหลังจากได้ยินข่าวลือว่าม่อี้สามารถสังหารชุ่ยเหิงได้ด้วยการชี้นิ้วเพียง 2 ครั้งเขาเองก็ไม่กล้าประมาทชายหนุ่มผู้นี้เลยแม้ว่าชุ่ยเพิ่งจะพอมีชื่อเสียงอยู่บ้างแต่ในความคิดของเขานั้นชุ่ยเหิงก็ไม่ได้แข็งแกร่งสักเท่าไหร่และเขาก็มั่นใจว่าตนเองก็สามารถสังหารชุ่ยเหิงได้ด้วยเช่นกัน
แต่น่าเสียดายที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาคิดเอาไว้นั้นมันผิดไปทั้งหมดเลย
ชายชุดดําทั้งสองคนที่ลงมือก่อนหน้านี้ก็มีพลังเหนือกว่าชัยเหิงแต่แม้ว่าทั้งสองคนจะร่วมมือกันก็ยังไม่อาจทําให้ม่อี้ต้องขยับเท้าออกจากที่เดิมได้เลยในข่าวลือที่พูดกันก่อนหน้านี้พลังของมู่อี้ไม่ได้เกินจริงเลยแม้แต่คําพูดในข่าวลือเหล่านั้นยังทําให้พลังของมู่อี้ดูน้อยกว่าความเป็นจริงอีกด้วย
ชายวัยกลางคนรีบสั่งให้คนของเขาส่งจดหมายลับออกไปทันทีถ้าหากเขารู้ว่ามู่ทรงพลังมากขนาดนี้เขาคงไม่กล้าเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงแน่นอนอย่างน้อยที่สุดก็ต้องรอให้ปรมาจารย์อีกสักคนของศาลาแปดเหลี่ยมมาช่วยเหลือที่นี่ก่อนตอนนี้พวกเขาคงต้องถ่วงเวลาเพื่อเอาชีวิตรอดและค่อยหาทางล้างแค้นอีกครั้ง
จริงๆแล้วชายวัยกลางคนผู้นี้มีนามว่า ถั่วชิง และเขายังเป็นหนึ่งในแปดปรมาจารย์ของศาลาแปดเหลี่ยม
หลังจากได้รู้ว่ากุญแจแห่งเส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ำเหลืองปรากฏออกมา ศาลาแปดเหลี่ยมก็เริ่มวาง แผนทันที นอกจากปรามาจารย์ 3 คนที่เก็บตัวฝึกฝนอยู่ในตอนนี้แล้วปรมาจารย์อีก 5 คนที่เหลือต่างก็เริ่มออกค้นหาตัวมู่อี้แต่ถนนจากเมืองไคเฟิงไปยังเมืองลั่วหยางนั้นมีอยู่มากมายหลายเส้นดังนั้นปรามาจารย์ทุกๆคนจึงต้องแยกกันออกไปค้นหา..
ก่อนหน้านี้เมื่อได้รับข่าวของม่อี้ ถั่วชิงก็อดทนรอกองกําลังเสริมจากปรมาจารย์คนอื่นไม่ไหวและนํากองกําลังของตนเองบุกเข้ามาที่นี่ทันที เขาไม่ได้คิดจะยึดความดีความชอบเอาไว้เป็นของตัวเองเพียงผู้เดียวแต่เขาคิดแค่ว่าเพียงแค่กองกําลังของเขาก็สามารถเอาชนะม่ะได้แน่นอน
แต่ในตอนนี้กั่วชิงก็ยังไม่อาจหลบหนีออกไปได้ การหลบหนีไม่เพียงทําให้ชื่อเสียงของศาลาแปดเหลี่ยมต้องเสียเท่านั้นแต่การหลบหนี่ยังทําให้เขาต้องเสียหน้าต่อหน้าลูกน้องของตนเองอีกด้วยช่วงเวลานี้เขาทําได้เพียงหวังว่าตนเองจะสามารถถ่วงเวลาไปได้อีกสักครู่หนึ่งและกองกําลังเสริมจากปรมาจารย์คนอื่นๆจะมาถึงที่นี่ได้ทันเวลา
“เจ้าหมอชั่ว ศาลาแปดเหลี่ยมของข้าลงมือในวันนี้ เจ้ากล้าดียังไงถึงมาแอบมองพวกข้า” ทันใดนั้นหางตาของถั่วชิงก็เหลือบไปเห็นชายคนนี้ที่นั่งอยู่ตรงมุมร้านน้ำชาทันที
เหตุผลที่ทําไมม่อี้และกั่วชิงรู้ว่าชายคนนี้เป็นหมอจากการเหลือบมองแค่ครั้งเดียวนั่นก็เพราะว่ากล่องไม้เล็กๆที่หมอส่วนใหญ่ใช้งานตั้งอยู่ข้างกายเขาและบนกล่องไม้นั้นยังมีการเขียนรูปธงสีเหลืองผืนหนึ่งเอาไว้บนธงนั้นก็มีตัวอักษรที่อ่านได้ว่าพี่หน”ช่วยโลกและช่วยชีวิตผู้คน” เขียนเอาไว้ด้วย
หลังจากนั้นเห็นว่าพลังของมู่อี้มากเกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้ กั่วชิงก็มองหาคนที่จะมาระบายความโกรธให้กับตัวเองทันทีไม่เพียงแต่เขาจะได้ระบายความโกรธเท่านั้นแต่เขายังสามารถประวิงเวลาออกไปได้ด้วยเช่นกัน
เดิมทีมอี้คิดจะสังหารกั่วชิงตั้งแต่แรกเพราะความรําคาญใจ
แต่เมื่อเห็นว่าถั่วชิงเปลี่ยนเป้าหมายไปที่หมอวัยกลางคน มู่อี้ก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที ความจริงแล้วเขาเองก็รู้ สึกสงสัยว่าหมอวัยกลางคนผู้นี้เป็นใครกัน
ทุกวันนี้เรื่องของกุญแจแห่งเส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ำเหลืองต่างก็เป็นเรื่องที่พูดถึงกันไม่หยุดในยุทธภพยิ่งอยู่ใกล้กับเมืองลั่วหยางและเมืองไคเฟิงแล้วแม้แต่คนธรรมดาบางคนก็ยังทราบเรื่องนี้เลยแต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะเป็นคนในยุทธภพและเข้ามาในร้านน้ำชาแห่งนี้ด้วยเช่นกันเขาจะไม่สนใจกุญแจแห่งเส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ำเหลืองเลยหรือไง?
แต่มู่อี้เองก็ได้พูดคุยกับอีกฝ่ายไปแล้วก่อนหน้านี้ ในความคิดของเขาตีความได้ 2 ข้อนั่นก็คือข้อแรกอีกฝ่ายแกล้งทําเป็นไม่สนใจ ส่วนอีกข้อก็คืออีกฝ่ายไม่สนใจจริงๆ
แม้ว่าจะรู้สึกสงสัยในใจแต่ด้วยตัวตนของมู่อี้ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่มารบกวนเขาเขาเขาก็จะไม่ไปรบกวนอีกฝ่ายด้วยเช่นกันดังนั้นจึงทําได้เพียงเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจเท่านั้น แต่เมื่อมีคนอื่นมาทดสอบเรื่องนี้แทนเขาเขาก็พร้อมที่จะจับตามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความยินดี
“แค่มองก็ไม่ได้หรอ?”
แม้ว่าจะถูกตําหนิก่อนหน้านี้แต่หมอวัยกลางคนก็ไม่ได้โกรธเคืองเลย เขาเพียงแค่จ้องมองไปที่กั่วชิงด้วยสีหน้าที่ดูสับสนเท่านั้น
แต่คําพูดของเขาดูเหมือนยั่วยุกั่วชิงโดยเจตนา ชายวัยกลางคนเพียงแค่คนเดียวกล้าเมินเฉยต่อความยิ่งใหญ่ของศาลาแปดเหลี่ยมได้เลยงั้นหรือ?
“ได้ ในเมื่อเจ้าอยากจะมองมากนัก เช่นนั้นข้าก็จะทําให้เจ้าได้มองชัดๆ”กั่วชิงจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่ดูดุดันจากนั้นเขาก็ออกคําสั่งว่า”ไปควักลูกตาของมันออกมาให้ข้า”
เมื่อได้ยินคําสั่งของกั่วชิง ชายชุดดําทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลังของเขาก็ก้าวออกมาเงียบๆทันทีและเดินตรง เข้าไปหาหมอวัยกลางคนที่นั่งอยู่ตรงมุมร้านน้ำชาแต่เมื่อพวกเขาเดินผ่านโต๊ะของมู่อไปนั้นสีหน้าของพวกเขาก็ดูตึงเครียดและพยายามออกห่างจากมู่อี้ให้มากที่สุด
จนกระทั่งเดินผ่านมาและไม่เห็นว่ามู่ลี้ลงมือทําอะไรชายชุดดําทั้งสองคนก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมาทันทีในตอนที่ม่อี้สังหารเพื่อนพ้องของพวกเขาไป 2 คนด้วยต้นไผ่แห่งชีวิตพวกเขาก็ได้เห็นพลังของมู่อื้อย่างชัดเจนตอนนี้ถ้าหากมู่ลี้ลงมือพวกเขาคงต้องตายแน่นอน
แม้ว่าอยากจะแก้แค้นให้กับเพื่อนพ้องของตนเองมากเพียงใด แต่พวกเขาก็ไม่ได้อยากเอาชีวิตของตัวเองมาทิ้งที่นี่
แต่แม้ว่าพวกเขาจะไม่อาจเอาชนะม่ธ์ได้ พวกเขาก็มั่นใจว่าตนเองจะสามารถจัดการกับหมอวัยกลางคนผู้นั้นได้อย่างแน่นอน
แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพียงผู้บริสุทธิ์แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะต้องเก็บมาใส่ใจ
หมอวัยกลางคนจ้องมองทั้งสองคนที่เดินเข้ามาหาตนเองช้าๆและแสดงสีหน้าที่ดูเบื่อหน่ายออกมา แต่เขาเองก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
อีกทางด้านหนึ่งนั้นมู่ลี้ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยและเฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้น เขาไม่ได้ใช้พลังแห่งจิตใจของตนเองตรวจสอบเพียงแค่จ้องมองเงียบๆเท่านั้น
“ตึง!”
“ตั้ง!”
เมื่อชายชุดดําทั้งสองคนของศาลาแปดเหลี่ยมอยู่ห่างจากหมอวัยกลางคนเพียงแค่ 3 ก้าว หมอวัยกลางคนก็ยกมือขึ้นมาทันที ทันใดนั้นร่างกายของชายชุดดําทั้งสองคนก็ดูอ่อนแรงและล้มลงไปที่พื้นทันทีมันไม่มีสัญญาณเตือนใดๆเลยด้วยซ้ําและร่างกายของทั้งสองคนก็ไม่มีความผิดปกติใดๆราวกับว่าพวกเขาเพียงแค่อ่อน แรงและล้มลงไปที่พื้นเท่านั้น
รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่ฉีกกว้างมากยิ่งขึ้น สายตาของเขาจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความสนใจ