Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป 153

ตอนที่ 153

ตอนที่ 153 ต้าหนิวโดนรังแก

มู่อี้รีบกลับไปที่หมู่บ้านแต่ฉงเจียอี่ก็ยังไม่กลับมาที่นี่ มีเพียงแค่ต้าหนิวที่อยู่ในบ้านเพียงคนเดียวเท่านั้นและมันยังเชื่อฟังคําสั่งของมู่ลี้ อย่างน้อยมันก็ไม่ได้ออกไปไหน

จนกระทั่งในตอนบ่ายฉงเจียอี่กลับมาที่นี่พร้อมกับสีหน้าที่ดูกังวลใจและเมื่อได้เห็นมู่อี้เขาก็รีบตรงเข้ามาหาทันทีพร้อมกับรีบพูดขึ้นมาว่า ”นายท่าน ข้าน้อยมีเรื่องบางอย่างที่ต้องรายงานต่อนายท่านขอรับ”

” ชวี่หยางกระจายข่าวเรื่องที่ข้ามีกุญแจของเส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ำเหลืองออกไปแล้วงั้นหรือ?” มู่อี้ถาม

“นายท่านทราบได้อย่างไรขอรับ?” ฉงเจียอีจ้องมองมาที่มู่อี้ด้วยสีหน้าที่ดูสงสัย เพราะเรื่องนี้ชวี่หยางออกคําสั่งกับเขาเพียงผู้เดียวเท่านั้น มู่อื่น่าจะยังไม่รู้เรื่องนี้สิ

“มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งบอกข้ามา แล้วชวี่หยางสงสัยในตัวเจ้าหรือไม่?” มู่อี้ถามกลับมาทันที

“ไม่ขอรับ เพราะข้าทําตามที่เขาสั่งตลอดทั้งคืนและข้ายังให้คําสาบานออกไปด้วย เขาไม่มีทางสงสัยข้าแน่นอนขอรับ” ฉงเจียอีตอบกลับมาทันที

” เช่นนั้นก็ดี ในเมื่อเจ้ากลับมาที่นี่แล้ว ก็ถึงเวลาที่ข้าต้องออกเดินทางต่อแล้ว” มู่อี้พูดออกมาตามตรง ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขารอให้ฉงเจียอี่กลับมาที่นี่ เขาคงออกจากที่นี่ไปพร้อมกับต้าหนิวตั้งนานแล้ว

“นายท่านเหตุใดถึงรีบออกเดินทางเช่นนี้? แต่ ” ในมุมมองของฉงเจียอื่นั้น มู่อี้รีบออกจากที่นี่คงมีเรื่องเร่งด่วนอย่างแน่นอน

“ถ้าหากข้ายังอยู่ที่นี่ต่อไป คงเป็นการนําพาหายนะมาสู่หมู่บ้านแห่งนี้อย่างแน่นอน เจ้าอยากให้ทุกๆคนในหมู่บ้านตายกันหมดหรือไงกัน? นอกจากนี้ข้ายังต้องรีบเดินทางไปที่เมืองฉางโจว เจ้าอยู่ที่นี่ไปก่อนและรอจนกว่าข้าจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง ถ้าหากมีข่าวคราวอะไรที่เกี่ยวข้องกับหลี่เฉียจื่อจงรีบแจ้งให้ข้าทราบทันทีที่เป็นไปได้” มู่อื้อธิบาย

“นายท่านวางใจได้เลยขอรับข้าน้อยผู้นี้จะจับตามองชวี่หยางอย่างใกล้ชิด และข้าจะใช้ความสามารถที่ข้ามีทั้งหมดตามหาหลี่เฉียจื่อเองขอรับ” ฉงเจียอี่ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว

“เช่นนั้นก็ดีแต่เจ้าต้องระวังตัวเองด้วย แล้วเปยหมิงที่อยู่ข้างกายชวี่หยางตายหรือยัง?” มู่ลี้ถามอีกครั้ง

“ยังขอรับ แต่ตอนที่นางรับการโจมตีของนายท่านเข้าไปนางบาดเจ็บหนักมาก ชวี่หยางเก็บร่างของนางเอาไว้ภายในร่างกายของเห็ดซากศพ ข้าคิดว่านางน่าจะหายกลับมาเป็นปกติได้แน่นอนขอรับ” ฉงเจียอีคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับมาเช่นนี้

แม้ว่าเขาจะไม่เห็นเปยหมิงด้วยตาของตนเองแต่เมื่อดูจากสีหน้าของชวี่หยาง เปยหมิงน่าจะยังไม่ตาย

“เห็ดซากศพหรือ? เช่นนั้นก็ดี” มู่อี้พยักหน้าและเมื่อเขากลับมาที่นี่ในอนาคต ไม่เพียงแต่เขาจะเอาชีวิตของชวี่หยางเท่านั้นแต่รวมถึงเห็ดซากศพด้วยเช่นกัน พลังของมันสามารถช่วยให้ต้นไผ่แห่งชีวิตของเขาเติบโตขึ้นไปได้อีกมาก

หลังจากนั้นมู่อี้ก็พูดคุยเรื่องราวต่างๆอีกเล็กน้อยและรีบเดินทางออกไปจากที่นี่พร้อมกับต้าหนิวทันที เขาอยากอยู่ให้ห่างจากหมู่บ้านแห่งนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก่อนที่ทุกๆคนจะรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่

แน่นอนว่าทางออกที่ดีที่สุดคือมู่อี้ต้องแยกกับต้าหนิว เพราะต้าหนิวนั้นมีร่างกายที่ใหญ่โตและมองเห็นได้ง่าย ข่าวที่ชวี่หยางกระจายออกไปนั้นคงระบุว่าเขาเป็นนักพรตเต๋คนหนึ่งที่ยังอายุน้อย แต่จุดเด่นชวี่หยางสามารถระบุว่าเป็นสิ่งที่สังเกตเห็นได้ง่ายก็คือต้าหนิว

เขาเชื่อว่าหลังจากที่ข่าวเรื่องนี้กระจายออกไปแล้ว เมื่อผู้คนได้เห็นต้าหนิวเดินคู่มากับมู่อี้ พวกเขาย่อมสามารถจําได้อย่างง่ายดาย

ดังนั้นถ้าหากมู่อี้แยกตัวออกจากต้าหนิวอย่างน้อยมันก็ลดความเสี่ยงของเขาไปได้ นอกจากนี้มู่อี้ก็ยังมีหน้ากากหนังมนุษย์ที่ล้ำค่า หลังจากสวมหน้ากากแล้วเขาจะสามารถซ่อนตัวได้อย่างแนบเนียน

แต่นี่ก็เป็นเพียงแค่ความคิดของเขาเท่านั้น มู่อี้ไม่สามารถแยกจากต้าหนิวได้ ด้วยสติปัญญาของต้าหนิวหลังจากที่มันแยกกับเขาแล้วคงมีปัญหามากมายที่ตามมาแน่นอน ยิ่งกว่านั้นแม้ว่าต้าหนิวจะเป็นผู้ติดตามคนหนึ่งของเขา แต่มันก็ถือเป็นเพื่อนคนหนึ่งของเนี่ยนหนิวเอ้อร์

และหลังจากผ่านเรื่องราวต่างๆมามู่อี้ก็เริ่มรู้สึกยอมรับในตัวต้าหนิวแล้ว เขาถือว่ามันเป็นคนในครอบครัวของตนเองและเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะทิ้งท้าหนิวไป

หลังจากต้องออกเดินทางอีกครั้งต้าหนิวก็ดูไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่ มันสงสัยว่าทําไมมู่อี้ไม่พามันออกไปด้วยเมื่อคืนนี้แต่สิ่งเหล่านี้จะหายไปเมื่อเนี่ยนหนิวเอ้อร์ตื่นขึ้นมาแน่นอน อย่างน้อยมู่อี้ก็ไม่สามารถตบไหล่ปลอบโยนมันเหมือนกับเป็นเด็กคนหนึ่งได้

เดิมที่มู่อี้ไม่ได้คิดจะเข้าไปในเมืองลั่วหยาง เขาเพียงแค่ต้องการเดินทางไปที่เมืองฉางโจวพร้อมกับต้าหนิวเท่านั้น แต่ในตอนนี้มู่อี้ต้องเปลี่ยนแปลงเส้นทางของเขา ถ้าหากว่าเขาเดินเท้าไปพร้อมกับต้าหนิวตลอดการเดินทางครั้งนี้ พวกเขาคงเดินทางไปได้ไม่ไกลนักและต้องมีอุปสรรคมาขวางทางไว้แน่นอน

เว้นแต่ว่ามู่อี้จะซ่อนตัวในเวลากลางวันและออกเดินทางเงียบๆในเวลากลางคืน แต่เขาก็ไม่คุ้นเคยกับเส้นทางจากที่นี่ไปยังเมืองฉางโจว การเดินทางในเวลากลางคืนอาจทําให้เขาหลงทางได้และเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องเสียเวลาไปอีกมากเพียงใด

และการเดินทางเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนอย่างมู่อี้ต้องการแน่นอน

ดังนั้นวิธีการที่ดีที่สุดก็คือจ้างวานรถม้าเพื่อออกเดินทางไปที่นั่น เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วต้าหนิวก็จะสามารถพักอยู่ในรถม้าและยังลดการปรากฏตัวให้คนอื่นได้เห็นอีกด้วย

เดิมทีในตอนที่เขาแยกเดินทางกับสํานักคุ้มกันโม่หยวนนั้น ท่านลุงไฉก็ถามว่าเขาต้องการรถม้าหรือไม่แต่ในตอนนั้นเพราะมู่อี้ไม่มีคนขับรถม้าและด้วยปัญหามากมายเขาจึงปฏิเสธไป ในตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกผิดกับการตัดสินใจของตนเองขึ้นมาแล้ว

แม้ว่าเขาเชื่อว่าสํานักคุ้มกันโม่หยวนจะยังคงอยู่ในเมืองในตอนนี้แต่เมืองลั่วหยางนั้นก็กว้างใหญ่มากและมันยากสําหรับเขาที่จะเข้าไปในเมืองอย่างโจ่งแจ้งดังนั้นวิธีการที่ดีที่สุดก็คือเช่ารถม้าจากร้านเช่ารถม้าต่างๆ มีร้านเช่ารถม้ามากมายที่รอให้ผู้คนมาเช่ารถม้าและออกเดินทาง ในยุคสมัยนี้เมื่อผู้คนต้องการเดินทางไกลนั้นต่างก็ต้องเช่ารถม้าจากร้านเช่ารถม้าต่างๆ และมีเพียงแค่เจ้าเมือง ขุนนาง พ่อค้าที่ร่ำรวย หรือคนของราชสํานักเท่านั้นที่มีรถม้าเป็นของตนเองหรือมีม้าหลายๆตัวเพื่อใช้ลากเกวียน

คนธรรมดาไม่สามารถเลี้ยงม้าพวกนั้นได้ เพราะค่าอาหารสําหรับม้าดีๆสักตัวหนึ่งก็มากเกินกว่าค่าอาหารของคนธรรมดาทั้งครอบครัวแล้ว

เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนแตกตื่นต้าหนิวจึงไม่ได้เข้าไปในเมืองด้วย มู่อี้สั่งให้มันซ่อนตัวอยู่ด้านนอกเมืองและรอเขาอยู่ที่นี่ แต่ในครั้งนี้มู่อี้ต้องทิ้งต้นไผ่แห่งชีวิตเอาไว้ให้มันด้วยไม่อย่างนั้นแล้วต้าหนิวคงไม่ยอมรอเขาอยู่ที่นี่แน่นอน

มู่อี้พูดกับมันอีกเล็กน้อยก่อนจะเดินทางเข้าเมืองเพียงคนเดียว แม้ว่าเขาจะไม่สวมหน้ากากหนังมนุษย์แต่อย่างน้อยเขาก็เปลี่ยนเสื้อคลุมนักพรตเต๋ของตนเองออกและซื้อหมวกจากร้านค้าข้างทางภายในเมืองมาสวมใส่ หลังจากจ่ายเงินให้ยามเฝ้าประตูเมืองแล้วเขาก็ไม่ต้องรับการตรวจสอบใดๆ

มีร้านเช่ารถม้า 2 ร้านที่อยู่ในเมืองลั่วหยาง หลังจากที่มู่อี้สอบถามเรื่องนี้เขาก็เดินตรงเข้าไปหาร้านเช่ารถม้าแห่งแรกทันที คนของร้านเช่ารถม้าแห่งนั้นบอกว่าพวกเขากําลังจะเดินทางไปจื่อลี่ที่อยู่ทางเหนือพอดีซึ่งเป็นเส้นทางเดียวกันกับที่มู่อี้ต้องการเดินทาง

หลังจากจัดการเรื่องต่างๆอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง ในที่สุดมู่อี้ก็ออกมาจากเมืองพร้อมกับรถม้าที่มีคนขับรถม้าหน้าตาซื่อสัตย์คนหนึ่ง เมื่อเทียบกับการเดินทางเข้าเมืองแล้วอย่างน้อยตอนนี้เขาก็ไม่ต้องหยุดนิ่งหลบซ่อนตัวอีก

หลังจากออกมานอกเมืองรถม้าก็ตรงไปยังตําแหน่งที่ต้าหนิวซ่อนตัวอยู่ทันที รถม้าคันนี้ไม่ได้ดูหรูหราเหมือนกับรถม้าของตระกูลซูและไม่ได้สะดวกสบายเหมือนกับรถม้าของสํานักคุ้มกันโม่หยวน แต่อย่างน้อยมันก็ดูแข็งแรงทนทาน และเมื่อนั่งอยู่ภายในรถม้านั้นก็ไม่รู้สึกโคลงไปโคลงมาสักเท่าไหร่

“เร็วเข้า จับมันเอาไว้”

“อย่าให้มันหนีไปไหนได้!”

“ระวังตัวด้วย”

เมื่อรถม้าเข้ามาใกล้ตําแหน่งที่ต้าหนิวซ่อนตัวอยู่ก่อนหน้านี้ มู่อี้ก็ได้ยินเสียงที่ดังเข้ามาทันที ถ้าหากเขาจําไม่ผิดนี่คือตําแหน่งที่ต้าหนิวซ่อนตัวอยู่ และเมื่อได้ยินคําพูดของคนเหล่านั้นมู่อี้ก็รู้สึกโกรธขึ้นมาทันที

ในตอนที่เขาออกไปนั้นเขาบอกต้าหนิวว่าอย่าสร้างปัญหาใดๆ ไม่คิดเลยว่าคําสั่งของเขาจะทําให้ต้าหนิวโดนรังแกแบบนี้ “พี่ชายคนขับรถม้าโปรดรอที่นี่สักครู่หนึ่ง ข้าจะเข้าไปเพียงคนเดียว”

เมื่อลู่อี้พูดจบเขาก็หายตัวไปจากรถม้าอย่างรวดเร็วในพริบตาเดียว เขาไม่สนอีกต่อไปว่านี่จะเป็นการเปิดเผยตัวตนของตัวเองออกไปหรือไม่และรีบเข้าไปหาต้าหนิวทันที

เมื่อเห็นว่ามู่อี้หายตัวไปอย่างรวดเร็วคนขับรถม้าก็รู้สึกตกตะลึงทันที เขาขยี้ตาของตนเองอยู่หลายครั้ง เขารู้สึกราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้นั้นไม่เป็นความจริง

แต่ถ้าที่สุดนั้นเขาก็ยังคงนั่งอยู่บนรถม้าคันนี้ไม่ได้หนีไปไหน เพราะไม่ว่ายังไงมู่อี้ก็จ่ายเงินมาเป็นจํานวนมาก ครั้งนี้เขาเดินทางไปเมืองฉางโจวใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งเดือนเท่านั้นแต่เงินที่เขาได้รับมานั้นมากกว่าเงินจากการทํางานหลายเดือนเสียอีก และดูเหมือนว่ามู่อี้จะไม่ใช่คนเลว ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจรอที่นี่ต่อไป

“พวกเจ้าทั้งหมดต้องตาย!”

มู่อี้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทันที ในตอนนี้จิตสังหารถูกปลดปล่อยออกมาจากสายตาของเขาอย่างรวดเร็ว

เขาเห็นว่าต้าหนิวนั่งคุกเข่าอยู่ตรงกลางและล้อมรอบไปด้วยผู้คนมากมาย บางที่อาจเป็นเพราะคําสั่งของอี้มันจึงไม่ได้ตอบโต้ผู้คนที่กําลังทําร้ายมันเลยเพียงแค่กอดต้นไผ่แห่งชีวิตเอาไว้ในมือของมันอย่างแน่นหนาเท่านั้น มันพยายามจะหนีไปจากที่นี่แต่คนกลุ่มนั้นต่างก็ขี่ม้าตามไล่ล่ามันเมื่อมีดาบแหลมคมที่อยู่ในมือดูเหมือนว่าพวกเขาจะสามารถหยุดต้าหนิวไม่ให้เคลื่อนไหวต่อไปได้

แน่นอนว่าถ้าหากไม่ใช่เพราะคําสั่งของมู่อี้และต้นไผ่แห่งชีวิตที่อยู่ในอ้อมแขนของมัน คนกลุ่มนี้ไม่อาจทําร้ายมันได้แน่นอน

ผู้นําของคนกลุ่มนี้เป็นชายหนุ่มผิวขาวคนหนึ่ง เขานั่งอยู่บนม้าตัวใหญ่ ด้านหลังของเขามีชายหนุ่มอีกหลายๆคน พวกเขาทุกคนต่างก็พกคันธนูและลูกธนูติดตัวเอาไว้ดูเหมือนว่ากําลังจะออกไปล่าสัตว์ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิแบบนี้ แต่ในตอนที่เดินทางกลับเข้าเมืองก็บังเอิญพบกับต้าหนิวพอดี-

เพราะต้าหนิวดูเหมือนกับยักษ์ตัวหนึ่งมันจึงดึงดูดความสนใจของทุกๆคนทันที ดูเหมือนว่ามีคนอยากแสดงความสามารถด้วยการสังหารยักษ์ตัวนี้ สถานการณ์ต่างๆจึงดําเนินมาถึงตอนนี้

น่าเสียดายที่พวกเขาไม่รู้ว่าตัวเองกําลังทําอะไรอยู่ ถ้าหากไม่ใช่เพราะคําสั่งของมู่อี้พวกเขาคงตายตั้งแต่ก่อนลงมือด้วยซ้ำ ไม่มีทางได้แสดงท่าที่หยิ่งผยองดังเช่นตอนนี้หรอก

“ใครจับตัวมันกลับไปได้ มารับรางวัลจากข้าได้เลย!”

เมื่อเห็นว่าลูกสมุนของตนเองกําลังล้อมรอบเจ้ายักษ์ตัวนี้เอาไว้และกําลังใช้เชือกพันไปทั่วร่างกายของมัน เขาก็ตะโกนออกมาเสียงดังทันที

คําพูดของเขานั้นมู่อี้ก็ได้ยินด้วยเช่นกัน

มู่อี้ไม่ได้พาต้าหนิวเข้าไปในเมืองด้วย เพราะเขาไม่อยากให้เกิดปัญหาขึ้นมาแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะรู้สึกหวาดกลัวถ้าหากต้องมีปัญหาจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นพฤติกรรมของชายหนุ่มคนนั้น การกระทําของเขานั้นเต็มไปด้วยความหยิ่งผยองและความทะนงตัวอวดดี เขาคงไม่รู้เลยว่าความตายของตัวเองใกล้จะมาถึงแล้ว

ความจริงแล้วตอนที่มู่อี้ปรากฏตัวขึ้นมาที่นี่ ต้าหนิวก็สังเกตเห็นได้อย่างรวดเร็วและสายตาของมันที่จ้องมองมาที่มู่อี้นั้นมีความขุ่นเคืองไม่พอใจอยู่เล็กน้อย

น่าเสียดายที่ผู้คนที่กําลังล้อมรอบมันอยู่ตอนนี้ไม่สามารถมองเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้เลยและยังคงส่งเสียงโห่ร้องออกมา

” ต้าหนิว ฆ่าพวกมันให้หมด!”

เสียงของมู่อี้ไม่ได้ดังมากนักแต่ก็เพียงพอที่จะให้ทุกๆคนที่อยู่ที่นี่ได้ยินอย่างชัดเจน ไม่ใช่แค่ต้าหนิวเท่านั้นที่ได้ยินเสียงของเขา แต่ชายที่เป็นหัวหน้าของคนกลุ่มนี้ก็ได้ยินด้วยเช่นกัน

ผู้คนมากมายต่างก็หันมามองมู่อี้ด้วยความโกรธและชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้าของคนกลุ่มนี้ก็ยกมือขึ้นมาดูเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง

ในตอนนั้นเองต้าหนิวที่ได้รับคําสั่งจากมู่อี้ก็ระเบิดพลังของมันออกมาทันที ท่าทีที่สงบนิ่งไม่ทําร้ายผู้ใดของมันได้หายไปแล้ว

มือข้างหนึ่งของมันยังคงถือต้นไผ่แห่งชีวิตเอาไว้ในมือแต่มืออีกข้างหนึ่งของมันนั้นคว้าเชือกที่กําลังพันรอบร่างกายของมันเอาไว้และดึงเข้ามาทันที ชายที่กําลังใช้เชือกพันรอบร่างกายของมันก่อนหน้านี้ถูกดึงอย่างรุนแรงจนตกลงมาจากหลังม้าทันที

การลงมือของต้าหนิวทําให้ทุกๆคนที่อยู่ที่นี่ต้องตกตะลึง เหตุผลที่พวกเขากล้าลงมือทําร้ายต้าหนิวนั่นก็เพราะว่าหลังจากลองกลั่นแกล้งอยู่หลายครั้งพวกเขาก็เห็นว่าต้าหนิวไม่มีการตอบโต้ใดๆกลับมาเลย ราวกับว่ามันเป็นยักษ์ที่ขี้ขลาดตัวหนึ่ง แต่ในตอนนี้ดูเหมือนสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว

จิตใจของทุกๆคนรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างพร้อมเพียงกัน

Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป

Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป

Score 10
Status: Completed
โลกใบนี้ที่แสนโกลาหลวุ่นวายแต่ก็ถือว่ามีความสุขได้ถูกทำลายลงไปแล้ว ข้าเป็นเพียงแค่เด็กกำพร้าคนหนึ่งเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะท่านปู่ชีวิตของข้าคงจบสิ้นไปตั้งนานแล้ว แม้ว่าข้าจะต้องเข้าสู่ลัทธิเต๋า แม้ว่าข้าจะต้องอดมื้อกินมื้อ แม้ว่าข้าจะต้องเดินทางไปยังที่ต่างๆอยู่เสมอ แต่เมื่ออยู่กับท่านปู่ข้าก็รู้สึกมีความสุขอย่างแท้จริง ข้าเคยได้ฟังเรื่องราวของกองทัพวิญญาณ ผีดิบที่น่าสะพรึงกลัว และความชั่วร้ายในจิตใจของมนุษย์ แต่สิ่งที่ข้าต้องการมีเพียงแค่ชีวิตที่สงบสุขเท่านั้น เหตุใดสวรรค์ถึงไม่เคยเมตตาข้าเลย

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options

not work with dark mode
Reset