“เจ้า เจ้าไม่ได้ดูผิด?” ชายวัยกลางคนสีหน้าอึมครึม มือเริ่มสั่นเทาแผ่วเบา กลับยังคงทนไม่ไหวถามขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
กุมารชุดเขียวพยักหน้าอย่างแรง “ต่อให้ข้าน้อยกล้าเพียงใดก็ไม่กล้ามองเรื่องนี้ผิดขอรับ!”
“ดูแลฮูหยินให้ดี” ชายวัยกลางคนกำชับแค่ประโยคเดียว ก็รีบทะยานออกไปแล้ว
ถึงจุดสูงสุดของยอดเขา ชายวัยกลางคนคุกเข่าลงนอกตำหนัก นิ้วมือขยับแผ่วเบาตีเคล็ดวิชานิ้วออกไปสายหนึ่ง ก็เห็นประตูตำหนักวาบแสงวิญญาณขึ้น
เพียงชั่วครู่ประตูตำหนักเปิดออก ชายท่าทางยังหนุ่มคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นหน้าชายวัยกลางคน ที่พิเศษคือชายหนุ่มคนนี้แม้ใบหน้าหนุ่มแน่น คิ้วกลับเป็นสีขาวดุจหิมะ
“บอกแล้วว่าข้ากักตนอยู่ ห้ามรบกวนส่งเดชมิใช่หรือ?” ชายคิ้วขาวหน้าบึ้งว่า
ชายวัยกลางคนหน้าผากจรดพื้น เอ่ยอย่างเศร้าโศกว่า “ท่านผู้เฒ่าไท่ซ่าง หยวนเอ๋อร์เขา…ดับสูญแล้ว!”
“อะไรนะ!” ชายคิ้วขาวสีหน้าตกตะลึง ยื่นมือจับชายวัยกลางคนขึ้นมา พาเขามาถึงโถงลับที่วางตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาไว้ในพริบตา เห็นดวงหนึ่งในนั้นมืดมิดอับแสงแล้วจริงๆ คือตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาของเถียนหยวนนั่นเอง
ชายคิ้วขาวโบกมือทีหนึ่ง ตะเกียงน้ำมันแก้วก็ลอยเข้ามาในมือ แล้วก็เห็นเขาหลับตา เพียงครู่เดียวก็ลืมตาขึ้นว่า “เจ้าอย่าเพิ่งลนลาน รอข้ากลับมา” พูดจบกระโดดขึ้นสมบัติวิเศษเหินหาวทะยานไปแล้ว
หลายชั่วยามให้หลัง ชายคิ้วขาวร่อนลงบนเขาลั่วเยี่ยน มองไปทั่วทุกทิศ สายตาตกไปที่สถานที่หนึ่ง
ฮึ ต่อให้ที่นี่มีผู้บำเพ็ญเพียรเก็บกวาดสนามรบพยายามปกปิดร่องรอย ทว่าจะปิดบังตนไปได้อย่างไร
ชายคิ้วขายหยิบตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาของเถียนหยวนออกมา หลับตาท่องคาถา สิบกว่าอึดใจให้หลังปากตะโกนเบาๆ ว่า “ไป!”
ก็เห็นตะเกียงน้ำมันแก้วบินไปยังสถานที่หนึ่งอย่างมั่นคง จากนั้นลอยอยู่กลางอากาศไม่ขยับเขยื้อน หากมั่วชิงเฉินอยู่นี่ต้องตกใจยกใหญ่แน่ ที่ที่ตะเกียงน้ำมันแก้วดวงนี้หยุดอยู่ คือที่ที่เถียนหยวนสิ้นชีพพอดี!
ตะเกียงน้ำมันแก้วเพิ่งหยุดนิ่ง ก็เปล่งแสงเจิดจ้าออกในทันใด ไส้ตะเกียงเต้นระริกสองสามทีแล้วก็ดับลงอย่างรวดเร็วอีก
“ไม่คิดว่า ไม่คิดว่าเป็นทิศทางของสำนัก! ช่างใจกล้านัก!” ชายคิ้วขาวลืมตาขึ้นในบัดดล นัยน์ตารัศมีพาดผ่าน จากนั้นโบกมือเก็บตะเกียงน้ำมันแก้วที่มืดมนไร้แสงเข้าในแขนเสื้อ แล้วกระโดดขึ้นสมบัติวิเศษเหินหาวตรงไปพรรคเหยากวงด้วยท่าทีน่ากลัว
จะว่าไปก็เพราะมั่วชิงเฉินโชคร้าย
ว่ากันตามปกติแล้วในสำนักมีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณถึงจุดตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตา เถียนหยวนมีตบะแค่ระดับสร้างรากฐานระยะกลาง ตามหลักแล้วไม่น่ามีตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตา
ทว่าเขายังเป็นลูกหลานของตระกูลด้วย ลูกหลานของตระกูลบำเพ็ญเพียรจำนวนไม่ได้หนึ่งในหมื่นของสำนัก ยิ่งเพราะเกี่ยวข้องกับสายเลือด จึงเห็นความสำคัญของลูกหลานที่โดดเด่นในตระกูลเป็นอย่างมาก มีตระกูลบำเพ็ญเพียรบางตระกูลเมื่อลูกหลานเข้าสู่ระดับสร้างรากฐานก็จะจุดตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาให้เขาแล้ว ตระกูลเถียนก็เป็นเช่นนี้
ความหมายตามชื่อ ตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาคือตะเกียงน้ำมันที่จุดขึ้นโดยผสานดวงจิตสายหนึ่งของผู้บำเพ็ญเพียร หากผู้บำเพ็ญเพียรคนนี้ดับสูญ ย่อมดวงจิตสลายตะเกียงมอดเป็นธรรมดา
แสดงถึงความเป็นตายของผู้บำเพ็ญเพียร ก็คือประโยชน์สูงสุดของตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตา นอกเหนือจากนี้ประโยชน์อีกข้อหนึ่งของตะเกียงดวงจิต นั่นก็คือไล่ล่าศัตรู
ในตะเกียงดวงจิตผสานกลิ่นหอมพิเศษไว้ชนิดหนึ่ง เรียกว่าสุคนธ์ล่าวิญญาณ ภายในเจ็ดวันหลังจากผู้บำเพ็ญเพียรดับสูญ คนอื่นสามารถรับรู้ถึงสถานที่ที่เขาสิ้นชีพผ่านตะเกียงดวงจิตได้ หากภายในหนึ่งวันมีคนถือตะเกียงดวงจิตที่มอดดับแล้วรุดมาถึงสถานที่ที่ผู้บำเพ็ญเพียรสิ้นชีพ ตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาก็จะถูกวิญญาณที่เหลืออยู่จุดขึ้น เร่งประสิทธิภาพของสุคนธ์ล่าวิญญาณออกมา
คนร้ายที่ฆ่าผู้บำเพ็ญเพียร บนร่างกายจะส่งกลิ่นหอมรางๆ ที่แม้แต่ตนเองก็ไม่อาจสังเกต ผู้บำเพ็ญเพียรที่ถือตะเกียงดวงจิตกลับสามารถได้กลิ่นหอมสายนี้ หาคนร้ายจากการนี้ได้
พูดไปแล้ว นี่ก็คือส่วนที่มั่วชิงเฉินยิ่งโชคร้ายแล้ว
โถงลับที่ใช้สำหรับเก็บตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาในตระกูลหนึ่ง เดิมทีสิบวันครึ่งเดือนก็ไม่เห็นจะมีคนไปเก็บกวาดสักครั้งหนึ่ง กรณีที่ตะเกียงดวงจิตมอดดับไปนานมากถึงถูกพบมีนับไม่ถ้วน
ถอยอีกก้าวหนึ่ง ต่อให้เป็นพรุ่งนี้ที่พบว่าตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาของเถียนหยวนดับแล้ว ตระกูลเถียนอาศัยตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตารับรู้ได้ถึงสถานที่ที่เขาดับสูญ เพราะว่าวิญญาณที่เหลือได้กระจายไปแล้ว ประสิทธิภาพของสุคนธ์ล่าวิญญาณจึงไม่อาจกระตุ้นออกมาได้ เช่นนั้นก็ไม่อาจรู้ได้ว่าใครลงมือแล้ว
หากเป็นเช่นนี้ละก็ ต่อให้วันหลังเกิดสงสัยในตัวมั่วชิงเฉินขึ้นมากลับไม่มีหลักฐานแล้ว
ดันในยามที่เถียนหยวนดับสูญ บังเอิญเป็นเวลาปัดกวาดของกุมารชุดเขียวของตระกูลเถียน นี่ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้
ความเร็วของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเร็วว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานมากนัก ยามที่ชายคิ้วขาวรุดกลับมา มั่วชิงเฉินอยู่ระหว่างทางกลับเช่นกัน
“อู๋เย่ว์ พัดนั่นเจ้าเก็บดีหรือยัง?” มั่วชิงเฉินเปลี่ยนชุดสำนักที่สะอาดอีกชุดหนึ่งแล้ว ร่างกายจัดการอย่างเรียบร้อย คนที่ไม่รู้เรื่องมองไม่ออกว่านางเพิ่งฆ่าคนมาเด็ดขาด
อีกาไฟร้องแว้ดๆ สองทีอย่างได้ใจ “นั่นแน่นอน ข้าทำงานเจ้ายังไม่วางใจอีกหรือ อ้าว ให้เจ้า” พูดพลางอ้าปาก คายพัดพับออกมาเล่มหนึ่ง
มั่วชิงเฉินแม้แต่มองก็ไม่กล้ามอง เก็บพัดพับเข้าในกำไลเก็บวัตถุโดยตรง ถึงได้โล่งอก
พัดพับเล่มนี้สำคัญกับนางมากเหลือเกิน ความสะเทือนทางอารมณ์ที่นำมาให้นางกระทั่งทำให้ความปีติที่ได้แก้แค้นเจือจางลง หากไม่เพราะกลัวโฉ่งฉ่างเกินไป นางแทบอยากจะอัญเชิญไหมเกล็ดน้ำแข็งออกมาบินทะยานกลับเขาป่าไผ่โดยตรง แล้วศึกษาพัดเล่มนี้อย่างละเอียด
“แว้ดๆ เจ้าเป็นอะไรน่ะ?” อีกาไฟเดิมทำท่าทีขอความดีความชอบอยู่ กลับเห็นมั่วชิงเฉินขมวดคิ้วแน่น จึงถามอย่างสงสัย
มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะ “ไม่มีอะไร เพียงแต่รู้สึกใจสั่นเล็กน้อย”
อีกาไฟค้อนตาคว่ำ “ดูความใจเสาะเจ้าสิ เศษมนุษย์เช่นนั้นฆ่าแล้วก็ฆ่าไป มีอะไรต้องกลัวด้วย”
มั่วชิงเฉินกำลังจะตอบ สีหน้ากลับเปลี่ยนโดยพลัน จากนั้นไม่พูดสักคำก็เรียกอีกาไฟกลับถุงอสูรวิญญาณ จากนั้นอัญเชิญไหมเกล็ดน้ำแข็งออกมา รุดไปประตูสำนักเหยากวงดุจดาวตก
แม้ไหมเกล็ดน้ำแข็งเป็นสมบัติวิเศษตามธรรมชาติที่หายาก อีกทั้งโดดเด่นในด้านเหินหาวและป้องกัน เสียดายที่มั่วชิงเฉินมีตบะเพียงระดับสร้างรากฐาน สำแดงอานุภาพของมันออกมาไม่ถึงมุมหนึ่งของภูเขาน้ำแข็ง ส่วนที่ไล่ตามมาสุดกำลังด้านหลังกลับเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะปลายท่านหนึ่ง!
แรงกดดันสายนั้นยิ่งใกล้ยิ่งรุนแรง พลานุภาพที่น่าตกใจบีบจนมั่วชิงเฉินส่ายไปส่ายมา เกือบตกจากไหมเกล็ดน้ำแข็ง
มั่วชิงเฉินกัดนิ้วกลาง บีบเลือดออกจากนิ้วหยดหนึ่งหยดลงไหมเกล็ดน้ำแข็ง ปากตะโกนว่า “ไป!”
แล้วก็เห็นไหมเกล็ดน้ำแข็งแสงวิญญาณห้าสีวนเวียน งามดังเมฆสีรุ้ง เพียงอึดใจก็กลับมาขาวสะอาดไร้ตำหนิอีก แล้วระเบิดความเร็วที่น่าตกใจออกมา
มั่วชิงเฉินเม้มริมฝีปากไว้แน่นควบคุมไหมเกล็ดน้ำแข็ง สีหน้ากลับดูไม่ได้ขึ้นเรื่อยๆ
ไหมเกล็ดน้ำแข็งเดิมก็เป็นสมบัติวิเศษ นางฝืนใช้ด้วยตบะระดับสร้างรากฐาน ไม่ว่าพลังวิญญาณหรือจิตใจล้วนผลาญอย่างน่าตกใจ ยิ่งกว่านั้นเมื่อครู่ยังใช้เลือดในกายตนเร่งอีก การทำเช่นนี้ไม่ต้องสงสัยว่าเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัด
เห็นประตูสำนักเหยากวงใกล้อยู่แค่เอื้อม มั่วชิงเฉินเกิดปีติในใจ กลับได้ยินเสียงเหมือนฟ้าผ่าเสียงหนึ่งว่า “ยัยเด็กบ้า จะหนีไปไหน!”
มั่วชิงเฉินตกใจใหญ่ ยังไม่ทันได้บีบเลือดออกมาอีก ก็รู้สึกเจ็บที่คอ ร่างกายถูกหิ้วขึ้นมาทั้งตัว
โชคดีที่ไหมเกล็ดน้ำแข็งเป็นสมบัติวิเศษตามธรรมชาติ เมื่อสูญเสียพลังวิญญาณของมั่วชิงเฉินคอยค้ำจุนจึงกลับเข้าในร่างนางด้วยตัวเอง
ชายคิ้วขาวสายตาเป็นประกาย “ยัยเด็กบ้า ไม่คิดว่าจะมีสมบัติวิเศษตามธรรมชาติด้วย มิน่าถึงฆ่าเถียนหยวนได้!”
มั่วชิงเฉินในสมองดังโครมเสียงหนึ่ง เหตุใดถึงถูกพบเร็วเช่นนี้ล่ะ!
ชายคิ้วขาวมือออกแรง มั่วชิงเฉินก็ถูกหันมาทั้งตัว
เมื่อเห็นหน้าตรงของนางชายคิ้วขาวชะงักทีหนึ่ง พูดเองเออเองว่า “ไม่คิดว่าจะเป็นศิษย์ของเหอกวง”
ยังไม่รอมั่วชิงเฉินพูด ชายคิ้วขาวก็ฟันมือตีนางสลบ จากนั้นมุ่งหน้าไปเขาโฮ่วเต๋อ
เมื่อเข้าโถงใหญ่ ชายคิ้วขาวโยนมั่วชิงเฉินที่หมดสติอยู่ลงพื้น พูดกับเจ้าสำนักเหยากวงนักพรตฟางเหยาที่เหลอหลาอยู่ว่า “ศิษย์น้องเจ้าสำนัก!”
นักพรตฟางเหยาถึงได้สติคืนมา ก้าวออกมาหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัวคิดจะพยุงมั่วชิงเฉินขึ้นมาก็รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมอีก จึงมองชายคิ้วขาวด้วยความตกใจว่า “ศิษย์พี่ซานอิน เจ้าหมายความว่าเช่นไร?”
นักพรตซานอินหัวเราะเย้ยเสียงหนึ่ง “หมายความว่าเช่นไร? ศิษย์น้องเจ้าสำนัก นี่เกรงว่าต้องถามศิษย์หัวแก้วหัวแหวนของศิษย์น้องเหอกวงแล้ว!”
“หา นางหนูนี่ก่อเรื่องอีกแล้วหรือ?” นักพรตฟางเหยาตกใจร้องว่า น้ำเสียงกลับเผยความรู้สึกเหมือนคุ้นเคยจนเห็นเป็นเรื่องปกติแล้วอย่างไม่รู้ตัว
นักพรตซานอินโกรธจนชะงัก จากนั้นถึงพูดชัดถ้อยชัดคำว่า “นางฆ่าลื่อของข้าเถียนหยวน!”
“อะไรนะ?” นักพรตฟางเหยาสีหน้าเปลี่ยนอย่างรุนแรง เห็นนักพรตซานอินสีหน้าอึมครึมรังสีเข่นฆ่าแสดงออกอย่างชัดเจน จึงรีบว่า “ศิษย์พี่ซานอิน เรื่องนี้ศิษย์น้องต้องแจ้งศิษย์น้องเหอกวงสักหน่อย”
“เชิญตามสบาย!” นักพรตซานอินเอ่ยเสียงเข้ม
นักพรตฟางเหยาส่งยันต์ส่งสารออกไป ไม่นานนักกู้หลีและนักพรตจื่อซีก็รุดมาพร้อมกันอย่างไม่คาดคิด
เมื่อเข้าโถงใหญ่ สายตาของกู้หลีมองไปบนร่างมั่วชิงเฉินทันที
“ฮึ ศิษย์น้องเหอกวง อย่าดูดีกว่า ศิษย์หัวแก้วหัวแหวนเจ้านั่นไม่ตายหรอก ทว่าก็เร็วแล้ว!” นักพรตซานอินเอ่ยเสียงเย็นชา
กู้หลีกลับมองก็ไม่มองนักพรตซานอินสักปราด เดินตรงไปข้างมั่วชิงเฉิน ก้มตัวอุ้มนางขึ้นมา ส่งพลังวิญญาณเข้าไปพบว่านางไม่เป็นอะไรมาก ถึงพูดกับนักพรตฟางเหยาว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก เหอกวงขอส่งศิษย์ไปเขาป่าไผ่ก่อนแล้วค่อยคุยเรื่องนี้กัน”
นักพรตฟางเหยายังไม่ทันตอบ นักพรตซานอินก็ลุกขึ้นยืนขวางทางไว้ว่า “ศิษย์น้องเหอกวง จะปกป้องกันก็ไม่ได้ปกป้องกันเช่นเจ้านี้กระมัง ศิษย์เจ้าฆ่าลื่อของข้าเถียนหยวน หรือว่ายังคิดว่าจะได้กลับถึงเขาป่าไผ่โดยสวัสดิภาพ? จะไม่เห็นข้าในสายตาไปหน่อยกระมัง?”
“ศิษย์พี่ซานอิน เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วจะแก้ไขเช่นไรพวกเราหารือกันได้ ศิษย์ต่อให้กลับถึงเขาป่าไผ่ ก็ยังมีเหอกวงอยู่นี่มิใช่หรือ?” กู้หลีเอ่ยนิ่งเรียบ
นักพรตซานอินหัวเราะเย้ยเสียงหนึ่ง “หารืออันใด ศิษย์น้องเจ้าสำนัก กฎสำนักเขียนไว้ว่าเช่นไรไม่ต้องให้ข้าสอนเจ้าหรอกกระมัง ผู้ฆ่าศิษย์ร่วมสำนักตาย นี่เป็นกฎเกณฑ์ของเหยากวงมาหมื่นพันปี”
“อ้าว ยามนี้เอากฎเกณฑ์มาพูดเสียแล้ว ปกติลื่อของเจ้านั่นประพฤติตนเช่นไรพวกเราก็มิใช่ตาบอดมองไม่เห็น อีกอย่าง เจ้าอาศัยอะไรบอกว่าเจ้าเด็กนั่นถูกชิงเฉินฆ่า มีหลักฐานหรือไม่? ต่อให้มีหลักฐานแสดงว่านางหนูชิงเฉินฆ่าเจ้าเด็กนั่น เช่นนั้นเขาต้องมีที่ที่สมควรตายแน่นอน!” นักพรตจื่อซีพูดอย่างเอ้อระเหย
ฟังคำพูดข้างหน้าของนักพรตจื่อซี นักพรตซานอินกำลังจะเอาตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาของเถียนหยวนออกมา เมื่อได้ยินคำพูดข้างหลังอีกก็โกรธจนหน้าหงายทันที
นักพรตฟางเหยาหงายท้องเช่นกัน นี่ นี่ตรรกะอะไรกันน่ะ ไม่ก็ศิษย์หลานชิงเฉินไม่ใช่คนฆ่า หากนางเป็นคนฆ่านั่นก็เพราะคนคนนั้นสมควรตาย
นี่ นี่มิใช่หาเรื่องยุ่งหรอกหรือ ใครฟังแล้วไม่โมโหตายบ้างล่ะ
เป็นไปตามคาดคำพูดนี้พูดจบ นักพรตซานอินก็พลานุภาพปะทุ ดูเหมือนจะอาละวาดแล้ว
นักพรตจื่อซีค้อนตาคว่ำ พลานุภาพปะทุขึ้นเช่นกัน เอ่ยอย่างไม่ยอมอ่อนข้อว่า “กลัวเจ้าหรือ ข้าก็ระดับก่อแก่นปราณระยะปลายเช่นกัน!”
เห็นทั้งสองคนไม่ยอมกันราวกับไก่ชน ลงมือสู้กันได้ตลอดเวลา นักพรตฟางเหยาเหงื่อออกหน้าผากทันที
กู้หลีกลับฉวยโอกาสนี้นั่งลงบนพื้นโดยตรง ปรับลมหายใจให้มั่วชิงเฉินขึ้นมา