นางขยับตัวอย่างโคลงเคลงเล็กน้อย ในมือก็เพิ่มไม้เท้าขึ้นมาอีกด้ามหนึ่ง พูดจาด้วยน้ำเสียงออกจะลับลมคมในอยู่บ้าง
แต่ไหนแต่ไรติ๊งต๊องก็รักอิสระไม่ชอบถูกควบคุมอยู่แล้ว พอกลับมาถึงวังก็หนีหายไปจนไม่ทิ้งเงา คาดว่าน่าจะไปตามหาตะขาบพิษที่ตำหนักฉางซินของหยวนเฟยน้อยเป็นแน่
อันหร่วนพูดพลาง ก็เหลือบตามาจ้องมองดูนางไปพลางๆ
ตอนที่อยู่ในวังก่อนหน้านี้ นางเคยได้มองดูเจ้าไก่นั่นจากที่ไกลๆ ครั้งหนึ่ง มันสูงเกือบครึ่งตัวคน หน้าตาดูโง่ๆ
แต่พอตอนนี้คิดๆ ดูแล้ว ก็นับว่ามีส่วนคล้ายกับไก่ตัวที่ได้เห็นในเมืองลี่โจวอยู่เหมือนกัน
ก่อนหน้านี้ได้เห็นเพียงคร่าวๆ จึงไม่กล้ายืนยัน ดังนั้นตอนนี้จึงมาชมดูจนถึงตำหนักเฟิ่งหมิง
ตอนแรกๆ นางเพียงแต่รู้สึกว่าในวังหลวงมีผู้ที่สูงส่งทางไสยเวท์ซ่อนอยู่ แต่พวกเขาก็สืบเสาะกันมาตั้งนานแล้วกลับยังระบุตัวตนไม่ได้ วันนี้พอคิดดูให้ละเอียด ก็รู้สึกว่าจะข้ามเจ้าของตำหนักเฟิ่งหมิงผู้นี้ไปคนหนึ่ง
หากว่าไก่ตัวนั้นเป็นตัวเดียวกันกับที่ลี่โจว เช่นนั้นตู๋กูซิงหลันที่เป็นเจ้าของของมัน ก็ย่อมต้องสูงส่งกว่ามากมายหลายเท่า?
นางหรี่ตาลงมองดูตู๋กูซิงหลันอย่างใคร่ครวญเป็นนาน ก่อนหน้านี้เพียงรู้สึกว่านางมีรูปโฉมที่สามารถล่มบ้านล่มเมือง ตอนนี้พอคิดดูให้ละเอียด กลับรู้สึกว่ามองไม่ทะลุอย่างไรไม่รู้
” บนหน้าของเรามีขนมเปี๊ยะชิ้นใหญ่หรืออย่างไร? ” ตู๋กูซิงหลันจดจ้องกลับไป ดวงตาดอกท้อคู่นั้นมีแต่แววเย็นชา
อันหร่วนกับคนชุดดำที่เป็นศพคืนชีพมีความใกล้ชิดกัน ไม่แน่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองลี่โจวอาจจะเป็นการร่วมมือของพวกเขาก็ได้
แน่นอนว่า นี่เป็นเพียงแค่ความรู้สึกของตู๋กูซิงหลันฝ่ายเดียวเท่านั้น
” พระพักตร์ของไทเฮาย่อมไม่มีขนมเปี๊ยะชิ้นโต แต่เกรงว่าจะมีบางสิ่งที่ผู้คนมองไม่ออกแทน ” อันหร่วนขยับไม้เท้ากล่าวอย่างลึกลับอยู่บ้าง
พูดแล้ว นางก็หันมามองซูเม่ยอีกครั้ง กล่าวอย่างลับลมคมในอยู่บ้างว่า ” พระสนมเอกซูก็ทรงมีความสามารถอยู่ไม่น้อย คิดๆ ดูแล้วคงมิใช่ว่ามองไม่ออกละมั้ง? “
” อันกูกู ข้าคิดว่าท่านอยู่ในวังก็สมควรจะรู้จักสงบเสงี่ยมเอาไว้บ้าง เผื่อจะได้อยู่อย่างสงบไปจนถึงบั้นปลาย “
ซูเม่ยกล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี เห็นอยู่ชัดๆ ว่าอันหร่วนพูดจาซ่อนความนัย
เขาย่อมรู้ดีว่าในร่างของอาหลันมีความลับซุกซ่อนอยู่
แต่ขอเพียงอาหลันไม่ได้พูดออกมาเอง เขาย่อมไม่ถามไปชั่วชีวิต
และแน่นอนว่า เขาเองก็จะไม่ยอมให้ใครมาบีบคั้นนางด้วย
อันหร่วนยิ้มอย่างเย็นชา นางกำไม้เท้าในมือแนบแน่นกว่าเดิม ดวงตาที่มืดหม่นคู่นั้นยังคงจับจ้องตู๋กูซิงหลันไม่ยอมวางตา
แต่ยังไม่ทันได้มองสักเท่าไหร่ นางก็รู้สึกถึงความเย็นวาบจากด้านหลัง
” อันกูกูดูท่าจะไม่ค่อยชอบตำหนักชางอู๋สักเท่าไหร่นะ? ” ฮ่องเต้ตรัสพระสุรเสียงเย็นชา ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็นฤดูใบไม้ผลิแล้วก็ยังทำให้หนาวเข้าไปถึงในกระดูก
อันหร่วนตะลึงไปเล็กน้อย พอหันศีรษะกลับไปดู ก็สบเข้ากับดวงเนตรหงส์ที่ลุ่มลึกของฝ่าบาทในทันที
หัวใจของนางเต้นดังตึกตัก เพราะคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะมาอย่างรวดเร็วเพียงนี้
” ฝ่าบาท ” นางหันไปถวายคำนับจีเฉวียนครั้งหนึ่ง เมื่อมองดูดวงพักตร์ที่งดงามราวเทพบุตรนั้นก็เห็นว่า นอกจากผ่ายผอมกว่าตอนก่อนออกจากวังไปเล็กน้อย ก็ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ อีก
พิธีหุ่นสาปแช่งในวันนั้นสิ้นเปลืองฐานพลังของนางไปถึงสิบปี แต่กลับไม่มีผลกับเขาแม้สักเส้นผมเดียว
ไม่เพียงไม่ถูกมนต์สาปแช่งนั้น พลังยังย้อนกลับมาทำลายหุ้นไม้ของนางจนแหลกละเอียด หากจะบอกว่าเป็นพลังของเทพมาทำลาย นางก็ไม่อยากจะเชื่อ
นางรู้สึกว่าเรื่องนี้จะต้องมีอะไรที่ลับลมคมในซุกซ่อนอยู่แน่
” นับตั้งแต่ที่ฝ่าบาททรงกลับมาวังหลวง บ่าวเฒ่าก็คิดถึงฝ่าบาท จึงคิดมาเข้าเฝ้าไทเฮาที่นี่ วอนขอไทเฮาให้ทรงพระกรุณาการทูลในทางที่ดี ให้บ่าวได้พ้นจากการถูกกักบริเวณ ” ขณะที่พูดไป อันหร่วนก็หลั่งน้ำตาของหญิงชราออกมา ” บ่าวคิดถึงคำที่อดีตฮองเฮาทรงเคยรับสั่งให้บ่าวคอยดูแลพระองค์อย่างดีอยู่ทุกๆ วัน ทั้งยังคิดถึงสถานะของตนเอง ในตอนนี้ก็รู้สึกละอายใจเหลือเกิน “
พอเห็นนางอะไรๆ ก็เป็นต้องยกอดีตฮองเฮาขึ้นมาอ้าง เอาแต่สาดเกลือลงไปในแผลของจีเฉวียนไม่มีหยุด อยู่ๆ ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกเห็นใจจีเฉวียนขึ้นมาในทันที
” ไหนเลยจะไปรู้ว่าพอบ่าวมาถึงตำหนักเฟิ่งหมิงเท่านั้นแหละ ก็เผอิญได้เห็นไทเฮา และซูหวงกุ้ยเฟยกำลังแสดงกริยาสนิทสนมกันอย่างใกล้ชิด ผลัดกับจูบอยู่พอดี เป็นความผิดของบ่าวเองเพคะ บ่าวไม่ควรจะมาขอเข้าเฝ้าไทเฮาในตอนนี้ “
อันหร่วนรู้ดีว่าจีเฉวียนทรงสนพระทัยและห่วงใยในตัวตู๋กูซิงหลัน แล้วนางก็ยังรู้อีกว่าเขาเป็นคนที่อิจฉารุนแรง
ไทเฮาประพฤติองค์ไม่เหมาะสม ทั้งยังถูกจับได้อย่างคาหนังคาเขาเช่นนี้ ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นหญิงเหมือนกัน แต่อย่างไรก็ไม่มีทางหลบพ้นจากความเกลียดชังของฝ่าบาทเป็นแน่
จีเฉวียนทรงทอดพระเนตรเห็นรอยจูบบนดวงหน้าของตู๋กูซิงหลันตั้งแต่แรกแล้ว รอยชาดทาปากสีแดงเข้มขนาดนั้น ยังสะดุดตาเสียยิ่งกว่าดอกไฮ่ถางเสียอีก
พอสายพระเนตรของฮ่องเต้กวาดผ่านจูเม่ยไปอย่างเย็นชา อยู่ๆ ซูเม่ยก็รู้สึกหนาวขึ้นมาในทันที ทำไมทุกครั้งที่เขาจะเข้าไปใกล้ชิดกับอาหลันฮ่องเต้เป็นต้องเสด็จออกมาทันทีในทุกครั้ง?
เขาวางสายคอยสอดส่องในตำหนักเฟิ่งหมิงอยู่กี่คนกันแน่?
องครักษ์ลับที่มีอยู่อย่างมากมายนับไม่ถ้วนเหล่านี้ ทำให้คนต้องปวดศีรษะอยู่ตลอดเวลา
ตู๋กูซิงหลันเองก็ปวดหัวอยู่เหมือนกัน ดูอย่างไรอันหร่วนผู้นี้ก็พูดจาผีเจาะปากอยู่บ้างจริงๆ แต่ละเรื่องๆ ไม่เคยจะพลาดการโจมตีเลยสักครั้ง
นางมองดูจีเฉวียนแวบหนึ่ง นึกอยู่ว่าเขาจะต้องบอกให้นางอยู่ให้ห่างๆ จากหวงกุ้ยเฟยของเขาสักหน่อยเป็นแน่
ไหนเลยจะรู้ว่าเขาจดจ้องดูนางอยู่ครู่หนึ่ง ก็หันไปตรัสกับอันหร่วนว่า
” ก่อนที่ไทเฮาและหวงกุ้ยเฟยจะเข้าวังมา ก็เป็นดั่งพี่สาวน้องสาวกันอยู่ก่อนแล้ว พี่สาวน้องสาวจะใกล้ชิดกันมากสักหน่อยก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา เจ้าจะมาทำเป็นผิดแปลกไปเพื่ออะไร? “
ตู๋กูซิงหลันและซูเม่ย “??? “
อันหร่วนเองก็อึ้มอึ้งไปเหมือนกัน นางคาดการณ์เอาไว้ไม่สมควรจะเป็นเช่นนี้ ทำไมฮ่องเต้ถึงได้ไม่เอาเรื่องกัน?
เขาเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับระเบียบกฎเกณฑ์เสมอมามิใช่หรือ?
” หมัวมัวอยู่ที่นี่ก็พอดีเลย อีกหนึ่งเดือนจะถึงวันเกิดของเรา ทางกรมพิธีการยังไม่มีเวลาตกฟากโดยละเอียด หมัวมัวท่านเป็นคนทำคลอดเรา ย่อมต้องรู้อย่างชัดเจน? “
จีเฉวียนตรัสถามออกไปอย่างสบายๆ แต่กลับทำให้อันหร่วนตื่นตัวขึ้นมาในทันที
นางกำไม้เท้าในมือแน่นเข้า ว่ากันตามโบราณประเพณีในราชวงค์ของต้าโจว ทุกครั้งที่มีองค์ชายประสูติออกมา ย่อมต้องมีการจดลงในบันทึกของราชวงศ์โดยละเอียด
แต่ว่าของจีเฉวียนนั้นแตกต่างออกไป ฉางซุนฮองเฮาทรงเกรงว่าจะมีคนทำร้ายเขา จึงใส่เพียงช่วงเวลาเกิดคร่าวๆ ไม่ได้ระบุรายละเอียดลงไป
ผู้ที่ทราบช่วงเวลาก็มีแต่ฉางซุนฮองเฮา อดีตฮ่องเต้ และก็นาง
ยามนี้อยู่ๆ จีเฉวียนก็ทรงไต่ถามขึ้นมา หรือว่าเขาจะไปพบเจออะไรเข้า?
เป็นไปไม่ได้…..พิธีหุ่นไม้สาปเป็นศาสตร์ลึกลับ คนทั่วไปไม่มีทางรู้จัก หรือต่อให้เขาจะมีความสามารถไปรู้อะไรมาอยู่บ้าง ก็ไม่มีทางสืบพบเรื่องนี้ได้
” บ่าวอายุมากแล้วเพคะ จดจำได้แต่ช่วงเวลาที่ฝ่าบาททรงพระสูติ แต่รายละเอียดที่ว่ากี่โมงกี่ยามนั้น คิดอย่างไร……ก็คิดไม่ออกจริงๆ เพคะ ” ยามที่อันหร่วนทูลตอบกลับไป หัวใจก็เต้นแรงยิ่งกว่าเดิม
จีเฉวียนยังคงมีสีพระพักตร์เย็นชาปานภูเขาน้ำแข็ง รอจนอันหร่วนทูลจบ เขาถึงถอนพระทัยเบาๆ ” ถ้าเช่นนั้นก็น่าเสียดายแล้ว “
” ปากก็บอกว่าห่วงใยฝ่าบาท แต่แม้กระทั่งช่วงเวลาประสูติที่แน่นอนก็ยังจำไม่ได้ อันกูกูช่างใส่ใจเหลือเกินนะ ” สายตาของตู๋กูซิงหลันเย็นชาขึ้นมาอีกหลายส่วน
ตั้งแต่ที่จีเฉวียนเอ่ยพระโอษฐ์ถามอันหร่วน นางก็รู้แล้วว่าเขาคิดจะทำอะไร
หากว่านางคาดเดาไม่ผิดละก็ เขาคงจะรู้ตัวแล้วว่าตอนที่อยู่ที่ลี่โจวนั้น มีคนใช้คาถาหุ่นไม้สาปแช่งเขา
วิธีการสาปแช่งนี้จำเป็นจะต้องระบุวันเดือนปีเกิดและช่วงเวลาตกฟากที่แน่นอนลงไป
หมากตานี้ของจีเฉวียน หากใช้อย่างผิดพลาดก็คือตีหญ้าให้งูตื่น
หากใช้ได้ถูกก็จะเป็น ล่องูออกจากถ้ำ
คนที่เป็นฮ่องเต้ย่อมต้องมีฝีมือที่หลากหลายอยู่แล้ว และไม่เคยเชื่อใจผู้ใดอีกด้วย